เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 168 ใช้แผนนางนกต่อ
ดังนั้นเขาในยามนี้ถึงได้มีท่าทางเคารพนบนอบกับเยี่ยเม่ยนัก
เยี่ยเม่ยเองก็ไม่อ้อมค้อมกล่าวตามตรง “ได้ยินว่าช่วงก่อนใต้เท้าเย่บังเอิญพบสตรีนางหนึ่ง รถม้าของนางเสีย ใต้เท้าเย่ช่วยซ่อมจนใช้ได้หรือ”
เย่จื่อหนานพลันใจเต้นระส่ำจ้องเยี่ยเม่ยแววตาเย็นเยือกลง “ไม่ทราบว่าเหอซั่วอ๋องเอ่ยถึงเรื่องนี้เพื่อจุดประสงค์อันใด”
เยี่ยเม่ยยังตอบตรงๆ ว่า “เจ้าก็คิดเสียว่า ข้าแค่อยากรู้อยากเห็นก็แล้วกัน”
เย่จื่อหนาน “…” ก็แค่อยากรู้อยากเห็น?
ทุกคนต่างก็เป็นขุนนาง รบกวนช่วยพูดอะไรให้คนเชื่อได้บ้าง ขอถามหน่อยเถอะ อะไรที่เรียกว่าอยากรู้อยากเห็น…
ยิ่งไปกว่านั้น เยี่ยเม่ยเป็นคนอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่นอย่างนั้นหรือ
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่
แต่สตรีนางนั้น ในเมื่อเป็นว่าที่พระชายาองค์ชายใหญ่ เย่จื่อหนานคิดว่าต่อให้เขายอมรับ ก็ไม่อาจเผยความคิดในใจออกไปมากเกินไป ด้วยเหตุนี้เขาเพียงตอบว่า “มีเรื่องนั้นจริงๆ ทำไมหรือ”
เยี่ยเม่ยกล่าวต่อ “ตอนนั้นนางนั่งรถม้าจวนเสนาบดี ใช่หรือไม่”
เย่จื่อหนานสีหน้าแปรเปลี่ยน สายตาสงบนิ่งขึ้นมาก คาดไม่ถึงเลยสักนิด เยี่ยเม่ยจะรู้แม้กระทั่งรายละเอียด ทำให้เขาทนไม่ไหว หันกลับไปถลึงตาใส่บ่าวข้างหลัง หรือเจ้านี่จะปากมากกัน
เรื่องนี้มีแค่ตัวเองและอีกฝ่ายเท่านั้นที่รับรู้
ผู้ติดตามมองสีหน้าของเย่จื่อหนาน หน้าก็ปรากฏความหมองหม่นทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยคำว่าถูกปรักปรำ ส่ายหน้าอย่างรุนแรง เอ่ยเบาๆ “ใต้เท้า ท่านอย่ามองข้าเลย ข้าไม่ได้พูดอะไรออกไปทั้งนั้น”
เย่จื่อหนานฟังแล้ว หลังจากมองเขาด้วยความสงสัยครู่หนึ่ง ค่อยหันกลับไปหาเยี่ยเม่ย เอ่ยนิ่งๆ ว่า “เหอซั่วอ๋องอยากพูดอะไรกันแน่ ต่อให้ผู้น้อยเคยช่วยว่าที่พระชายาครั้งหนึ่งก็ไม่มีความหมายอันใด หรือเหอซั่วอ๋องคิดใส่ร้ายผู้น้อย”
ไม่ว่าอย่างไรการสนใจสะใภ้ของราชวงศ์ก็มีโทษตาย
แม้ว่าเย่จื่อหนานรู้สึกว่าเป่ยเฉินเสียงไม่คู่ควรกับคนที่ตนชอบเป็นร้อยเท่า แต่ในตอนนี้เขายังไม่ปรารถนารนหาที่ตาย
ทว่า…คำตอบของเย่จื่อหนาน เป็นที่ยอมรับอย่างชัดเจนว่า เขานึกว่าแม่นางในตอนนั้นคือว่าที่พระชายาแล้ว
ภายในรถม้าเป่ยเฉินหลิวอวี่ฟังแล้วก็หลุดยิ้มออกมา เช่นนั้น…หากพูดเช่นนี้ ไม่แน่ว่าเป็นการเข้าใจผิดจริงๆ ใช่หรือไม่
คิดได้ดังนี้แล้วอารมณ์ของนางก็ดีขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ความคาดหวังผุดขึ้นในหัวใจหลายส่วน
เยี่ยเม่ยรู้ว่าตัวนางคงจะเดาถูกถึงแปดเก้าส่วน นางปรายตามองคนตรงหน้า จากนั้นก็รีบเอ่ยว่า “ใต้เท้าเย่คิดมากไปแล้ว ไม่รู้ว่าการใส่ร้ายใต้เท้าเย่มีผลประโยชน์อันใดกับข้าด้วย ข้าเพียงอยากบอกท่านว่า คนวันนั้นความจริงไม่ใช่ลูกสาวท่านเสนาบดีก็เท่านั้นเอง”
“อะไรนะ” คราวนี้เย่จื่อหนานเป็นฝ่ายอึ้งไป มองเยี่ยเม่ยอย่างไม่เชื่อสายตา
เขาเอ่ยอย่างละล้าละลัง “เช่นนั้น…เหอซั่วอ๋องทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร แล้วทำไมถึงรู้ว่า…”
เยี่ยเม่ยตอบตรงๆ “เพราะบังเอิญว่าข้ารู้จักกับแม่นางผู้นั้น แล้วก็เพราะว่าแม่นางผู้นั้นก็บังเอิญมีใจให้ใต้เท้าเย่ ดังนั้นถึงให้ข้ามาสืบ ดังนั้นข้าจึงอดใจไม่ไหวถามออกมาแล้ว ใครจะคิดว่าใต้เท้าเย่เข้าใจผิดหลงคิดว่านั่นคือว่าที่พระชายาองค์ชายใหญ่”
เย่จื่อหนานเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากเชื่ออีกครั้ง “ท่านอ๋อง ท่านว่าอะไรนะ แม่นางผู้นั้นมีใจให้ข้า”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ถูกแล้ว”
คราวนี้ถึงตาเป่ยเฉินหลิวอวี่ที่อยู่บนรถเป็นฝ่ายอึดอัดบ้างแล้ว พี่สะใภ้บอกว่าอะไรนะ ในเมื่อพูดออกมาตามตรงเช่นนี้ นางจะมีหน้าพบคนได้ที่ไหน นี่ทำให้คนขัดเขินจนเกินไปแล้ว
ชั่วขณะนั้นใบหน้าเย่จื่อหนานแดงก่ำ
ยังมีเรื่องอันใดที่ชวนให้คนดีใจมากกว่า คนที่ตนชอบก็ชอบตนด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่านางไม่ใช่คู่หมั้นขององค์ชายใหญ่ด้วย
เขารีบเอ่ยว่า “เช่นนั้น…เช่นนั้นไม่ทราบว่าแม่นางผู้นั้นคือใคร ความจริงหลังจากพบหน้ากันครั้งที่แล้ว ผู้น้อยก็คิดถึงนางมาตลอด เพียงเพราะเข้าใจผิดว่านางเป็นว่าที่พระชายา ผู้น้อยจึงไม่กล้าคิดเกินเลย ดังนั้นถึง…”
คราวนี้ผู้ติดตามเย่จื่อหนานถึงกับกุมขมับ
นี่มันเรื่องผีสางอันใดเนี่ย…
ใต้เท้าตื่นเต้นจนพูดออกมาตามตรงว่าชอบแม่นางผู้นั้นแล้ว หรือว่าเหอซั่วอ๋องหลอกใต้เท้า ต้องการให้ใต้เท้าพูดความจริง ไม่เท่ากับว่าใต้เท้าถูกหลอกให้สารภาพว่ามีใจให้ว่าที่พระชายาหรอกหรือ
ยามปกติใต้เท้าฉลาดมากไหวพริบ ไม่คล้ายคนที่กระทำเรื่องเช่นนี้เลยนี่นา
ทันทีที่ได้ยินว่าแม่นางผู้นั้นชอบตนเองก็ลืมมันสมองอันชาญฉลาดไปแล้วหรืออย่างไร ได้แต่หวังว่าเหอซั่วอ๋องจะพูดความจริง หวังว่าเหอซั่วอ๋องไม่ได้วางหลุมพราง ปวดหัว
คราวนี้เป่ยเฉินหลิวอวี่ที่ยู่บนรถได้ฟัง ใบหน้าก็แดงเรื่อขึ้นเช่นกันแล้ว
นั่นก็บ่งบอกว่า ความรู้สึกนางไม่ได้ผิดพลาด เย่จื่อหนานชอบนางเช่นกัน หลายวันนี้นางมิได้คิดถึงอยู่ฝ่ายเดียวแล้วใช่หรือไม่
เยี่ยเม่ยมองรถม้าของตนทีหนึ่ง
จากนั้นก็เอ่ยตรงๆ กับเย่จื่อหนาน “แม่นางผู้นั้นอยู่บนรถม้า ใต้เท้าเย่อยากรู้อะไร ถามนางก็รู้แล้ว”
หา
เวลานี้เป่ยเฉินหลิวอวี่แทบอยากหาหลุมหลบลงไปแล้ว
สายตาเย่จื่อหนานมองที่รถม้าในบัดดล คิดถึงคำพูดแทนความในใจเมื่อครู่ก็ยิ่งขวยเขิน ชั่ววูบเดียวแม้กระทั่งใบหูยังพลอยแดงไปด้วย
อยากก้าวออกไป สุดท้ายก็เขินอายแล้ว เกิดความรู้สึกว้าวุ่นจับจิต
เยี่ยเม่ยปรายตามองผู้ติดตามด้านหลังเย่จื่อหนาน
บอกเป็นนัยว่าให้อีกฝ่ายถอยออกมาพร้อมกับนาง
ผู้ติดตามเป็นคนมีไหวพริบ เห็นเยี่ยเม่ยหลบไปด้านหนึ่ง เขาก็รีบตามเยี่ยเม่ยไปแล้ว
ถัดมาก็เหลือเพียงเย่จื่อหนานและเป่ยเฉินหลิวอวี่สองคน
คนหนึ่งอยู่บนรถม้า อีกคนอยู่นอกรถม้า
เย่จื่อหนานมองรถม้าเอ่ยว่า “แม่นาง เจ้า…เจ้าอยู่บนรถม้าจริงหรือ”
เมื่อถามออกไป เขารู้สึกว่าตัวเองถามได้โง่เง่านัก หากไม่ได้อยู่บนรถม้า ทำไมเยี่ยเม่ยต้องบอกแบบนี้ ทั้งยังทิ้งเขาไว้ที่นี่ด้วย
แต่หากไม่พูดเช่นนี้ เขาก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรเพื่อคลี่คลายบรรยากาศนิ่งเงียบตรงหน้า
เขาเป็นบุรุษ รู้ว่าบนรถม้ามีสตรีอยู่ เขาย่อมไม่อาจเปิดม่านรถเข้าไปหานางตรงๆ
เป่ยเฉินหลิวอวี่เงียบสักครู่ ใบหน้าแดงอยู่นาน รู้สึกว่าจริงๆ ที่เยี่ยเม่ยบอกกับเย่จื่อหนานตามตรงว่านางชอบเขา ทำให้…ทำให้นางขัดเขินไม่กล้าเผชิญหน้าเขาจริงๆ แล้ว
แต่เมื่อคิดๆ ดู ไม่แน่ว่าเสด็จพ่อใกล้จะพระราชทานสมรสให้นาง หากไม่รีบคว้าโอกาสก็คงพลาดแล้ว ชั่วพริบตานางเข้าใจความคิดของเยี่ยเม่ย ทั้งมีความกล้ามากขึ้น เปิดม่านออกร้องเรียกว่า “ใต้เท้าเย่”
……
ไม่ไกลออกไป
ผู้ติดตามเย่จื่อหนาน มองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเย่จื่อหนานด้วยความระแวดระวัง ผ่านไปสักครู่ก็อดใจไม่ไหวถามเยี่ยเม่ยว่า “เหอซั่วอ๋อง ท่านคงไม่คิดจะใช้แผนการนางนกต่อหรอกกระมัง”