เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 183 / ตอนที่ 184 หากข้าไม่อภัยล่ะ
ตอนที่ 183
เป่ยเจี้ยนเกอได้ฟังคำตอบของเยี่ยเม่ย ถึงยังมีความสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็คล้ายไม่มีปัญหาอะไรอีก
ฐานะและค่าตัวของจิ่วหุนก่อนหน้านี้ ไม่มีใครที่ไม่รู้
ดังนั้นหากบอกเหตุผลเช่นนี้ก็คล้ายจะผ่านไปได้
ดังนั้นเป่ยเจี้ยนเกอจึงตอบว่า “ข้าทราบแล้ว จะรีบไปรายงานจวินซ่างทันที”
“อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า มองเป่ยเจี้ยนเกอจากไป
หลังจากเป่ยเจี้ยนเกอก้าวออกจากประตูใหญ่ เยี่ยเม่ยก็รู้สึกผ่อนคลายลงไปได้ ในใจกลับยังวางไม่ลง ดังนั้นจึงหันไปมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามว่า “เจ้ารู้สึกว่าเสินเซ่อเทียนจะเชื่อหรือไม่”
“เชื่อชั่วคราว” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักเงียบไปสักพักหนึ่ง น้ำเสียงน่าฟัง ค่อยๆ เอ่ยว่า “ดังนั้นทรัพย์สมบัติก้อนนี้ พวกเราจำเป็นต้องหาสถานที่ใกล้ๆ และลับตาเพื่อเก็บรักษา ให้จิ่วหุนนำกลับมาเพียงไม่กี่ลัง ส่วนที่เหลือต้องซ่อนไว้สถานที่ลับ”
อย่างไรซะต่อให้จิ่วหุนร่ำรวยแค่ไหน หลังจากให้สินเดิมเยี่ยเม่ยเป็นตั๋วเงินหีบใหญ่ไปแล้วก็ไม่อาจเหลือทรัพย์สินมากมายเท่าคลังหลวงอีก หากเป็นเช่นนี้ก็เกินเหตุไปหน่อยแล้ว
ย่อมต้องปลุกความสงสัยของเสินเซ่อเทียนแน่ ดังนั้นการจัดการเช่นนี้จึงเป็นหนทางคลี่คลายเดียว อีกทั้งไม่มีเรื่องดีไปกว่านี้อีกแล้ว
สิ้นเสียงของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เยี่ยเม่ยตีหน้าขรึม พยักหน้ารับ
ความรู้สึกแท้จริงในใจกลับคิดว่า เสินเซ่อเทียนผู้นี้ไม่ใช่คนที่ขัดขวางเพียงเรื่องเล็กๆ เท่านั้น เสียดายที่ความสามารถนางไม่พอ ไม่เช่นนั้นอยากกำจัดเขาเสียจริง
เห็นเยี่ยเม่ยคล้ายจะกังวลใจ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยเสียงนุ่มว่า “ไม่ต้องกลัว ต่อให้ต้องรู้ให้ได้ นั่นก็แค่ทหารมาส่งขุนพลไปต้าน น้ำมาก็ใช้ดินต้านเท่านั้น”
“อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า ก็คงเป็นไปได้เช่นนี้จริงๆ
ในเวลานี้เอง ขอทานผู้หนึ่งมาถึงหน้าประตูองค์ชายสี่ ในมือถือจดหมายฉบับหนึ่งบอกว่าจะมอบให้กับเยี่ยเม่ย
นางสั่งให้คนนำมาให้ อีกทั้งยังสั่งพ่อบ้านมอบเงินให้ขอทานไปด้วย
คนที่ใช้วิธีการนี้ส่งจดหมาย แปดเก้าส่วนน่าจะเป็นจิวมั่วเหอ
เยี่ยเม่ยคาดการณ์ไม่ผิดเลย
หลังจากเปิดจดหมายออกดูก็เป็นจิวมั่วเหอจริงๆ
หลังอ่านจบแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองนาง ถามว่า “จิวมั่วเหอจากไปแล้วหรือ”
“หืม?” เยี่ยเม่ยแปลกใจไม่น้อย เหตุใดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงดูออกว่าจิวมั่วเหอจะจากไปตอนนี้
ภายใต้ความฉงน เยี่ยเม่ยถามตามตรง “ท่านรู้ได้อย่างไร”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นหัวเราะ ตอบเป็นจังหวะว่า “หากจิวมั่วเหอยังอยู่ในเมืองหลวงถึงเที่ยงวันนี้ ย่อมถูกคนของเสินเซ่อเทียนพบแน่ เมื่อถึงตอนนั้นคิดจากไปก็เกรงว่าไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นตอนนี้ดูท่าจะมีคนชี้แนะ เขาถึงจากไปแล้ว”
เยี่ยเม่ยได้ฟัง ไม่ช้าก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ
นางจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามว่า “ดังนั้น…ท่านรู้อยู่แต่แรก หากจิวมั่วเหอรั้งอยู่ในเมืองหลวงต่อไป ความจริงอันตรายมาก ทั้งท่านยังรู้อีกว่าจิวมั่วเหอไม่มีทางตระหนักถึงอันตรายนั้นได้ด้วยตัวเอง แต่ท่านก็ไม่คิดเตือนเขาหรือ”
ไม่เช่นนั้นเหตุใดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงบอกว่ามีคนเตือนจิวมั่วเหอให้ออกจากเมืองก่อนช่วงเที่ยง ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายคิดได้เอง
“ถูกต้อง” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่อ้อมค้อม
คราวนี้เยี่ยเม่ยกระตุกมุมปากขึ้น “เหตุใดท่านทำเช่นนี้”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเย็นชา เอ่ยนิ่งๆ ว่า “ดึกดื่นค่อนคืนเขาเข้าห้องนอนเจ้า ข้ายังต้องห่วงความปลอดภัยเขาอีกหรือ”
ตอนที่ 184 หากข้าไม่อภัยล่ะ
ครั้งนี้คำแทนตัวเองของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ใช่ ‘เยี่ยน’ แต่เป็น‘ข้า’
เห็นได้ชัดว่ายามพูดถึงคนผู้นี้ ถึงน้ำเสียงและท่าทางขององค์ชายสี่จะเรียบเฉยคล้ายไม่ใส่ใจ แต่ความเป็นจริง เขาไม่อยากรักษาท่วงท่าสง่างามอย่างไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไปแล้ว
เยี่ยเม่ยยิ้มยกมุมปาก
ไม่ผิด นี่ไม่แปลกเลย
หากเรื่องเช่นเดียวกันเกิดขึ้นกับนาง เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าตัวเองคงไม่มีท่าทางใจกว้างเช่นนี้
แต่…
เยี่ยเม่ยกลับยกประเด็นหนึ่งขึ้นมา “เมื่อวานท่านเตือนข้า พวกเราสามารถใช้ปลาของตัวเองไปแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ได้ ใช้เงินทองของจวนองค์ชายสี่เพื่อแลกเปลี่ยน แต่จิวมั่วเหอส่งข่าวว่า…”
“บอกว่าเสด็จอายินยอมจ่ายเงินก้อนนี้?” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้ว น้ำเสียงประชดประชันเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจเท่าไร
ความจริงนี่เป็นเรื่องของเขากับเยี่ยเม่ย เขาไม่อยากเห็นเป่ยเฉินอี้สอดมือเข้ามาเลยสักน้อย
เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก “ท่านคงไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นหมอดูหรอกนะ”
เรื่องนี้ยังเดาได้อีก?
จะยอดเยี่ยมเกินไปหรือไม่
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเย็นชา เอ่ยช้าๆ ว่า “ข้าไม่ได้เป็นหมอดู แต่เรื่องนี้เดาได้ไม่ยาก คนที่คิดได้ว่าต้องเตือนให้จิวมั่วเหอรีบออกจากเมืองหลวง นอกจากเสด็จอาแล้วก็ไม่มีใครคนที่สองให้คิดถึงอีก อย่างไรเสียไม่ใช่ว่าใครๆ จะมีสติปัญญาเช่นนี้ อย่างจิวมั่วเหอยังไม่มีเลย”
อวี้เหว่ย “…” เตี้ยนเซี่ย ท่านอย่าคิดว่าผู้น้อยดูไม่ออกว่าท่านจงใจดูถูกสติปัญญาของจิวมั่วเหอต่อหน้าเยี่ยเม่ย
ก็ได้ จะว่าไปก็เหมือนจะไม่ใช่ปัญหาอะไร
เยี่ยเม่ยหางตากระตุกทีหนึ่ง…
ไม่ช้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอธิบายต่อ “จิวมั่วเหอรู้ว่าอันตรายจึงเลือกจากไป อย่างนั้นย่อมหมายความว่า…เขาได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เดิมทีการที่เขามาเมืองหลวงก็เสี่ยงอยู่แล้ว ครั้นบรรลุเป้าหมาย ไฉนยังต้องเสี่ยงต่อไปเล่า”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า ก็ถูก
ในเมื่อเสี่ยงภัยมาแล้ว สุดท้ายยังไม่ทันบรรลุเป้าหมายก็ชิงจากไปก่อน ไม่เท่าเสี่ยงอันตรายโดยเปล่าประโยชน์หรือ จิวมั่วเหอไม่น่าจากไปง่ายๆ
ตอนนี้เมื่อเขายอมจากไป พูดอย่างนี้ก็อธิบายเรื่องนี้ได้ชัดเจน
หลังจากเยี่ยเม่ยกวาดตาอ่านจดหมายต่อ ก็หันมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “ท่านเดาถูกหมดเลย เขาบอกว่าเป่ยเฉินอี้เตือนเขา หากอยู่ต่อจนถึงเที่ยงวันจะถูกคนพบเห็นได้ง่าย เป่ยเฉินอี้เสนออีกว่า เสบียงงวดนี้เขาจะออกเอง ดังนั้นจิวมั่วเหอจึงจากไปแล้ว”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเย็นอีกครั้ง บ่นโดยไม่รักษาท่าทีเลยว่า “จุ้นจ้านนักเชียว”
เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก
รู้อยู่แก่ใจว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกำลังบ่นเป่ยเฉินอี้
ความจริงที่เป่ยเฉินอี้คอยสอดมือในช่วงนี้ องค์ชายสี่ไม่พอใจมานานแล้ว หรือว่าเรื่องชิงอำนาจทหารเล็กๆ นี้ เขาจะช่วยเยี่ยเม่ยไม่ได้เชียวหรือ เหตุใดต้องให้เป่ยเฉินอี้คอยมายุ่มย่ามด้วย
สถานการณ์ยามนี้ก็แค่เรื่องต้องใช้เงินก้อนหนึ่ง เป่ยเฉินอี้ก็ยังจะแสดงการมีตัวตน เขาย่อมไม่พอใจ
เยี่ยเม่ยมองออกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่พอใจแล้ว
หลังจากครุ่นคิดนางก็ตบบ่าเขา เอ่ยความจริงด้วยน้ำเสียงทรงพลังเต็มเปี่ยม “ที่รัก อย่าโกรธไปเลย มีคนรับเคราะห์ยอมเสียเงินแทนพวกเรา ไม่ดีหรือไง”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยน “…” ก็ไม่ผิด
คล้ายจะดีมากด้วย
อืม โดยเฉพาะเมื่อรับรู้ความคิดของเยี่ยเม่ยที่มีต่อเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าเป่ยเฉินอี้ช่วยนางมากมายแล้วนางจะซาบซึ้งตื้นตัน ในสายตานางเขาก็แค่คนรับเคราะห์ อารมณ์ไม่พอใจของเขาพลันดีขึ้นมากแล้ว
ถึงขนาดเรียกได้ว่า ท้องฟ้าแจ่มใส ทุกอย่างสวยงาม
อวี้เหว่ย “…” เขาแปลกใจขึ้นบ้างแล้วว่า หากอี้อ๋องได้ยินคำพูดนี้ของเยี่ยเม่ยจะรู้สึกอย่างไร
ส่วนเยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง แววตาเปลี่ยนไปเย็นเยียบ “อีกอย่าง สิ่งที่เขาติดค้างข้าต่อให้ทำมากกว่านี้ก็ชดใช้ไม่หมด”
เขาไม่ช่วยนาง เยี่ยเม่ยก็ไม่รู้สึกอะไร
เขาช่วยนาง เยี่ยเม่ยก็เพียงรู้สึกว่าเขาก็คือคนรับเคราะห์เท่านั้นเอง
ถึงในใจจะเต็มไปด้วยความสับสนขัดแย้งต่อการกระทำเช่นนี้ของเขา จะมากน้อยนางก็ใจอ่อนอยู่บ้าง แต่ว่าความใจอ่อนนี้ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความเจ็บปวดที่ญาติพี่น้องตกตายอย่างอนาถได้ ดังนั้นถึงแม้มีช่วงเวลาที่ใจอ่อนและสับสน นางก็ได้แต่ใจแข็งแล้ว
ได้ยินเยี่ยเม่ยตอบ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เข้าใจ ไม่ว่าอย่างไรศัตรูหัวใจก็ไม่อาจส่งผลกระทบใดๆ ต่อเขาได้แล้ว
คราวนี้องค์ชายสี่ค่อยวางใจ
แต่เขาก็ยังคงแค่นเสียงเย็นอีกคำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “ครั้งหน้าหากจิวมั่วเหอยังเข้าห้องเจ้าโดยพลการอีก เยี่ยนจะตัดขาเขาทิ้งซะ”
ครั้งนี้ไม่ตัดขาเพราะว่าเป็นครั้งแรก เขาไม่เคยเตือนเยี่ยเม่ย หากลงมือก็แสดงว่าเขาไม่มีเหตุผล แต่เมื่อครั้งนี้เขาพูดออกไปแล้ว สถานการณ์ย่อมแตกต่างกัน
เยี่ยเม่ย “…” ต้องเหี้ยมโหดขนาดนี้เชียวหรือ
ก็เห็นๆ อยู่ว่าอีกฝ่ายมาคุยเรื่องงานเท่านั้นนี่นา
ช่างเถอะ พูดไม่ได้ แต่เยี่ยเม่ยย้อนคิดถึงตอนนั้นที่ชายแดน นางรู้ว่ามู่หรงเหยาฉือค้างคืนในเรือนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางก็หงุดหงิดเป็นที่สุด จิวมั่วเหอมาห้องนางกลางดึกดื่น คุยกันสักพักใหญ่ถึงกลับไป
เขาอดทนได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เข้าใจได้
แต่นางยังหยอกว่า “ข้าหลงคิดว่าท่านเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น เป่ยเฉินถังน้ำส้มสายชู[1]เสียเยี่ยน”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยน “…”
อวี้เหว่ย “…” ข้ารู้สึกว่าชื่อนี้ก็ออกจะใกล้เคียงอยู่บ้าง นี่มันอะไรกันเนี่ย
…
การประชุมเช้าผ่านไปอย่างสงบ ขุนนางทั้งหลายต่างพูดถึงเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยของตน
ระยะนี้ไม่เกิดภัยพิบัติ ทั้งไม่มีคนก่อเรื่อง ดังนั้นเหล่าขุนนางผู้แสนว่างทั้งหลายก็ได้แต่รายงานเรื่องดินฟ้าอากาศในท้องพระโรงอย่างน่าเบื่อหน่าย ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของฮ่องเต้
เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องใดให้พูด ฮ่องเต้อยากจะไปพบเสินเซ่อเทียนจนแทบทนไม่ไหว โบกพระหัตถ์ให้ขุนนางทั้งหลายล่าถอยออกไป
ตอนที่ออกจากวังเห็นสีพระพักตร์ร้อนรนของฮ่องเต้ แววตาเย็นเยือกของเยี่ยเม่ยหรี่ลง สีพระพักตร์เช่นนี้ของฮ่องเต้ จะปรากฏก็ต่อเมื่อได้พบเสินเซ่อเทียนเท่านั้น
ดังนั้นเสินเซ่อเทียนเข้าวังแล้วหรือ
เช่นนั้น…
เขาเป็นฝ่ายเข้ามาเอง หรือว่าฮ่องเต้เรียกตัวเข้ามา
จู่ๆ เข้าวังด้วยเรื่องใดกัน
ขณะใช้ความคิด จงซานเข้ามาใกล้นาง ยามที่เดินผ่านเยี่ยเม่ยไป เอ่ยเสียงเบาว่า “ได้ข่าวลับมาว่า เมื่อคืนฮ่องเต้พบเซี่ยโหวเฉินแล้ว”
เมื่อเอ่ยจบจงซานก็สาวเท้ากว้างๆ จากไป
เยี่ยเม่ยในเวลานี้นวดหว่างคิ้ว
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง จุดยืนในราชสำนักของเซี่ยโหวเฉินเป็นฝ่ายตรงข้ามของพวกนาง แต่เพียงเมื่อคิดว่าตัวนางทุ่มเทเพื่องานแต่งงานของจงรั่วปิงกับเขา ส่วนเจ้านี่กลับทำเช่นนี้อยู่ข้างหลัง เยี่ยเม่ยรู้สึกอับจนคำพูดเหลือเกิน
จากนั้นนางยังจะกล่าวอะไรได้อีกเล่า
ตอนแรกนางทำเพื่อจงรั่วปิงเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อเซี่ยโหวเฉินนี่นา เฮ้อ
ยามนี้เซี่ยโหวเฉินเดินออกจากวังหลวงเช่นกัน
เจ้านี่เป็นฝ่ายชิงเอ่ยก่อนอย่างเหนือคาดว่า “เรื่องงานแต่งงาน ขอบคุณท่านอ๋องมากที่ช่วยเหลือ”
เยี่ยเม่ยจ้องมองเขา ไม่ส่งเสียงตอบ
เซี่ยโหวเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง เข้าใจว่าเยี่ยเม่ยคาดการณ์อะไรได้ เขายิ้มๆ ประสานมือเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง เรื่องไหนก็ส่วนเรื่องนั้น บุญคุณของท่าน ยามที่ต้องการให้ข้าชดใช้ ข้าก็จะชดใช้ แต่ข้ามีหนทางของตัวเอง หวังว่าท่านอ๋องจะอภัย”
เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว “หากข้าไม่อภัยล่ะ”
[1] ถังน้ำส้มสายชู หมายถึงหึงหวง