เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 185 เช่นนั้นก็ทิ้งชีวิตไว้!
“อ้อ…”
เซี่ยโหวเฉินชะงักไปเล็กน้อย เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาคิดไม่ถึงว่าเยี่ยเม่ยจะพูดเช่นนี้
สายตาเยี่ยเม่ยที่มองเซี่ยโหวเฉินเย็นเยียบอย่างที่สุด
ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อได้เห็นแววตาเย็นเยือกของนาง เขาถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล สัมผัสถึงแรงกดดันอันรุนแรงบีบคั้นมาจากด้านบน ยามเขาพบฮ่องเต้หรือเป่ยเฉินเสียงก็ยังไม่อาจสัมผัสความรู้สึกเช่นนี้ได้
เยี่ยเม่ยยังคล้ายทรงอำนาจดั่งราชันย์เสียยิ่งกว่าเป่ยเฉินเซี่ยว
เซี่ยโหวเฉินชะงักไปเล็กน้อย เตรียมจะพูดบางอย่าง
เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็นชา เอ่ยนิ่งๆ ว่า “ข้าขอเตือน เจ้าอย่าได้ลอบกัดข้า สำหรับคนที่เป็นปรปักษ์กับข้า ข้ามักเลือกกำจัดให้สิ้นซากในครั้งเดียวเพื่อความสุขในภายหน้า ท่านอ๋องน้อยเซี่ยโหว ข้าหวังว่าท่านจะเข้าใจ ไม่ใช่ว่าข้าต้องการให้ท่านเห็นแก่หน้าจงรั่วปิง เป็นปรปักษ์กับข้าให้น้อยลงหน่อย แต่…ข้าเห็นแก่หน้าจงซานถึงไว้หน้าท่านบ้าง หากน้ำใจนี้ท่านไม่อยากรับไว้ เช่นนั้นทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ก็ได้”
ครั้นพูดจบเยี่ยเม่ยก็หมุนกายจากไปแล้ว
เมื่อเซี่ยโหวเฉินฟังจบแล้ว ร่างกายก็เย็นวาบไปหมด บทสนทนาของทั้งสองเกิดขึ้นในบริเวณเล็กๆ ขุนนางใหญ่ทั้งหลายล้วนจากไปหมดแล้ว รอบด้านไม่มีใครอื่นอีก มีเพียงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้านข้างเท่านั้นที่ได้ยิน
เซี่ยโหวเฉินยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ค่อยหันไปมองแผ่นหลังของเยี่ยเม่ยอย่างไม่อยากเชื่อสายตา นี่หมายความว่าอย่างไรกัน
เขาถูกข่มขู่แล้วหรือ
อีกทั้งยังเป็นการข่มขู่เอาชีวิตอย่างไม่ปรานีเลยแม้แต่น้อยด้วย
ความจริงเซี่ยโหวเฉินคิดจะมาขอบคุณ และประกาศจุดยืนของตัวเองไปด้วย แสดงออกว่าถึงเขามีใจแต่งกับจงรั่วปิง แต่ไม่มีทางเปลี่ยนจุดยืนแน่
คิดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยเม่ยคล้ายไม่ใส่ใจจุดยืนเขาสักนิด เตือนเขาอย่างตรงไปตรงมาแล้ว?
นี่เป็นการตักเตือนที่รุนแรงที่สุดตั้งแต่เซี่ยโหวเฉินมีชีวิตมาเลย ไม่เคยมีใครรวมถึงฮ่องเต้ที่เคยข่มขู่ถึงความปลอดภัยในชีวิตเขามาก่อน
ฮ่องเต้ยังไม่เคยตรัสว่าจะตัดหัวเขาเลย
แต่วันนี้เยี่ยเม่ย…
อีกอย่างเมื่อครู่นางพูดว่าอะไรนะ นางเห็นแก่หน้าจงซานอย่างนั้นหรือ นั่นไม่เท่ากับยอมรับแล้วหรือว่านางลอบร่วมมือกับจงซาน
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะสงสัยเรื่องนี้ แต่ไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้มาตลอด นี่ เยี่ยเม่ยถึงกับยอมรับแล้วหรือ เช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า…
คิดถึงตรงนี้สีหน้าเซี่ยโหวเฉินเปลี่ยนไปไม่น่าชม กระทั่งเรื่องเช่นนี้ยังไม่กลัวที่จะเล่าให้เขาฟัง นอกเสียจากว่า…ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
เซี่ยโหวเฉินหน้าตึงอยู่สักพัก
ในห้วงสมองพลันมีสีหน้าประชดประชันของบุรุษผู้หนึ่ง คล้ายกับว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ที่สุดในโลก…
เมื่อความคิดย้อนกลับมา ภาพเมื่อครู่ก็ค่อยๆ หายไปแล้ว
เขากลับกำพัดในมือแน่น
แค่นหัวเราะเสียงเย็นชาคำหนึ่ง สาวเท้ากว้างๆ กลับจวนอ๋อง ต่อให้เยี่ยเม่ยควบคุมความเป็นตายได้แล้วจะเหตุใด ในมือของเขายังมีหมากอีกมากพอที่จะทำให้นางรู้สึกว่าคนเป็นปรปักษ์กับนางไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นคนในสังกัดอีกหลายคนที่พร้อมออกหน้าแทนเขา
…
ตำหนักทรงงาน
ฮ่องเต้เสด็จเข้าในตำหนักอย่างรีบร้อน เห็นบุรุษสวมอาภรณ์สีขาวยืนอยู่กลางตำหนัก ดูแล้วมีอำนาจประดุจดั่งทวยเทพ โดยเฉพาะยามที่สายลมพัดผ่านชายเสื้อเขาปลิวสะบัดยิ่งเพิ่มความน่าเกรงขามนั้นขึ้น
อาศัยแค่ความสง่างามเช่นนี้ก็ทำให้เป่ยเฉินเซี่ยวหลงใหลแล้ว
ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง เสินเซ่อเทียนหันหน้ากลับไป คุกเข่าก้มศีรษะลง “ฝ่าบาท”
ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงกระแอมไอกลบเกลื่อนอาการเสียกิริยาของพระองค์ ครั้นเสด็จมาอยู่ข้างบัลลังก์ก็ทอดพระเนตรมองเสินเซ่อเทียน “ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อปรึกษาเรื่องของเยี่ยเม่ย เจ้านั่งก่อนเถอะ นั่ง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เสินเซ่อเทียนลุกขึ้น รีบเดินไปนั่งด้านข้าง
ถัดมาฮ่องเต้ก็เล่าข้อสงสัยของพระองค์ทั้งหมด สุดท้ายก็สรุปว่า “ถึงบอกว่าแต่ละเรื่องเหล่านี้ดูแล้วไม่เกี่ยวกับเยี่ยเม่ย แต่ว่าสุดท้ายคนที่ได้รับประโยชน์กลับเป็นนาง อีกอย่างข้าตระหนักได้จริงๆ ว่า นับตั้งแต่เยี่ยเม่ยเข้าราชสำนักมา ทั่วทั้งราชสำนักไม่เคยสงบมากก่อน องค์ชายทั้งหลายของข้ายิ่งเกิดเรื่องต่อๆ กันมา ข้า…ไม่อาจไม่คิดมาก”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ฮ่องยังตรัสต่อว่า “พูดถึงตอนนั้นที่เป่ยเฉินอี้ให้ร้ายองค์ชายใหญ่ บีบให้ข้ายกกองกำลังทหารให้เขา…มาถึงวันนี้ทันทีที่เริ่มสงสัยเยี่ยเม่ย ข้าถึงกับรู้สึกว่าพวกเขาร่วมมือกันแสดงละครหรือเปล่า เป้าหมายก็เพื่อหลอกล่อให้ข้ามอบอำนาจทางทหารให้เยี่ยเม่ย”
ครั้นตรัสมาถึงตรงนี้ ฮ่องเต้พลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
หากเป็นเช่นนี้จริง การตัดสินใจของพระองค์ก่อนหน้านี้ก็หละหลวมเกินไปแล้ว อีกทั้ง…พระองค์ยังรู้สึกว่าถูกหลอกมานานอีกด้วย
เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว กลับเงียบไม่พูดจา
คล้ายกำลังใช้ความคิด
ผ่านไปสักพัก ฮ่องเต้ตรัสว่า “มีเพียงจุดหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ หากการคาดเดาของข้าเป็นความจริง อย่างนั้นเพราะอะไรเป่ยเฉินอี้จึงอยู่ฝ่ายเดียวกับเยี่ยเม่ยได้ หรือว่าเขากำลังช่วยนางอยู่ นี่เป็นไปไม่ได้เลย เป่ยเฉินอี้มีความทะเยอทะยาน เขาจะช่วยเหลือเยี่ยเม่ยได้อย่างไร แต่หากกลับกัน เยี่ยเม่ยเป็นฝ่ายช่วยเหลือเป่ยเฉินอี้ เช่นนั้นเหตุใดนางถึงร่วมมือกับเป่ยเฉินอี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่นางมีทุกวันนี้ก็มากพอแล้ว ทรยศข้าหันไปติดตามเป่ยเฉินอี้ นางก็ไม่อาจได้รับอะไรมากกว่านี้”
ฮ่องเต้ดำริอยู่นาน รู้สึกว่าพระเศียรจวนจะระเบิด
ไปๆ มาๆ ก็หาความเชื่อมโยงของเรื่องนี้ไม่ออก พระองค์รู้สึกว่าคล้ายจะละเลยอะไรบางอย่างไป แต่ไม่อาจคิดออกได้ในชั่วครู่ชั่วคราว
หลังจากเสินเซ่อเทียนเงียบไปพักหนึ่งก็มองฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ความจริงหาใช่ข้ามิเคยระแวงมาก่อนว่าเป่ยเฉินอี้ร่วมมือกับเยี่ยเม่ยจริงหรือไม่ แต่มาถึงวันนี้ต่อให้ร่วมมือกัน เป่ยเฉินอี้เป็นฝ่ายช่วยเหลือเยี่ยเม่ยมากกว่า ตัวข้าก็หาเหตุผลที่เป่ยเฉินอี้ยอมปล่อยวางผลประโยชน์ส่วนตัว เสี่ยงอันตรายยั่วโทสะพระองค์เพื่อช่วยเหลือเยี่ยเม่ยไม่ออก”
หากมีสักเหตุผลหนึ่งก็ถือว่ายืนยันได้แล้ว
แต่นี่…ไม่มีเหตุผลชัดๆ
ฮ่องเต้กลับตรัสด้วยความลังเล “หรือเพราะว่าเป่ยเฉินอี้ชอบเยี่ยเม่ย ถึงได้ช่วยเหลือนาง ก่อนหน้านี้เขาก็ตัดสินใจแต่งงานกับนางจริงๆ”
เสินเซ่อเทียนกลับแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าเห็นว่าก่อนหน้าที่เขาจะแต่งงานกับเยี่ยเม่ย ไม่แน่ว่าจะเป็นจริง เป่ยเฉินอี้รักจงเจิ้งซีอย่างลึกซึ้ง ฝ่าบาทก็ทรงรับรู้อยู่แก่ใจ เขายอมทิ้งบัลลังก์ที่อยู่ในมือตน หากปีนั้นชิงเกอมิได้ช่วยเข้าขึ้นมา เกรงว่าเป่ยเฉินอี้คงตายเพราะไม่สมหวังในความรักกับจงเจิ้งซีไปแล้ว ชั่วชีวิตคนผู้หนึ่งจะมีความรักเช่นนี้ได้สักกี่หนกัน”
เสินเซ่อเทียนกล่าวเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
อย่างไรเสียหากบอกว่าชั่วชีวิตหนึ่งชอบใครหลายคน ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แต่ว่าชั่วชีวิตหนึ่งยอมทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางอนาคตตัวเองเพื่อคนถึงสองคน นี่เป็นไปไม่ได้
ครั้นพูดมาถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ฉุกคิดขึ้นได้ว่า ช่วงนี้คล้ายพระองค์จะละเลยรายละเอียดปลีกย่อยที่สำคัญไปเรื่องหนึ่ง