เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 2 ชิงตำแหน่งอ๋อง
ในเวลานี้ทั้งเยี่ยเม่ยและซือหม่าหรุ่ยไม่มีใครยินยอมตอบคำถามนี้ ทั้งสองสบตากัน เยี่ยเม่ยตอบกลับด้วยเสียงนิ่งๆ ว่า “ทำไม เป่ยเฉินอี้ได้รับหน้ากากแล้วถึงกระอักเลือด เจ้ากลับไปถามท่านพ่อเจ้าดูเถิด!”
หากไป๋หลี่ซือซิวยอมเล่าให้จงรั่วปิงฟัง นั่นก็หมายความว่าเขาคิดว่าจงรั่วปิงเชื่อถือได้
อย่างไรเสียนางก็ไม่สนิทกับจงรั่วปิง ส่วนไป๋หลี่ซือซิวถึงเป็นคนที่เข้าใจจงรั่วปิงมากที่สุด ถึงจะตัดสินความน่าเชื่อถือของจงรั่วปิงได้
“ก็ได้!”
จงรั่วปิงพยักหน้า นางมองออกว่าคำพูดนี้ของเยี่ยเม่ยคือการผลักไสปัญหา ส่วนเรื่องนี้เกรงว่านางคงต้องกลับไปถามบิดาที่บ้านจึงจะได้รับคำตอบ
เยี่ยเม่ยแววตาลุ่มลึกมองตรงไปที่ประตู เอ่ยว่า “ที่ว่าทำไมต้องใช้หน้ากากอันนี้ ก็เพราะหากในใจเขารู้สึกผิดต่อข้า เห็นหน้ากากอันนี้ก็จะคิดขึ้นได้ ทั้งช่วยให้ข้าบรรลุเป้าหมายได้มากที่สุด!”
การบอกฐานะที่แท้จริงกับเป่ยเฉินอี้ตรงๆ ไม่แน่ว่าเขาจะเชื่อนาง
ต่อให้เชื่อก็ไม่แน่ว่าจะถอยให้ แต่เมื่อเอาหน้ากากผีอันนี้ออกมา ทุกอย่างก็ต่างออกไปแล้ว เชื่อว่าขอเพียงได้เห็นหน้ากาก เป่ยเฉินอี้ต้องฉุกคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ในปีนั้น คิดถึงเรื่องที่เขาทำผิดต่อนางทั้งหลาย
จงรั่วปิงยังคงงุนงงอยู่ ไม่เข้าใจความหมายของเยี่ยเม่ยตามเดิม
ซือหม่าหรุ่ยกลับฟังเข้าใจ นางพรูลมหายใจออก ไม่ส่งเสียง
ได้แค่คิดว่าเป่ยเฉินอี้ผู้นี้ก็สมควรแล้ว หากความรู้สึกผิดเกาะพันมานานขนาดนี้ แล้วไฉนตอนแรกต้องกระทำเรื่องเหล่านั้นด้วยเหล่า
ในเวลานี้
เซียวเยว่ชิงมาถึง รายงานกับเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย ทัพพร้อมแล้ว ท่านจะออกเดินทางในยามนี้เลยหรือไม่”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยว่า “ถูกต้อง ออกเดินทางเลย!”
……
ทัพใหญ่ภายใต้การนำของเยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินทางเข้าสู่เมืองหลวง
เป่ยเฉินอี้ประกาศว่าโรคเก่ากำเริบตั้งแต่เช้าตรู่เป็นลมไป ด้วยเหตุนี้จึงเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงด้วยรถม้า
เพียงแต่สภาพร่างกายของเขาในเวลานี้ เกรงว่าไม่อาจเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ จึงได้แต่ขอลาป่วยแล้ว
……
ในวังหลวง
เยี่ยเม่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เซียวเยว่ชิง หลูเซียงฮั่วและคนอื่นๆ เข้ามาถึงท้องพระโรง
พระเนตรของฮ่องเต้ย้ายไปจับจ้องเยี่ยเม่ยอย่างอดพระทัยไม่ไหว สตรีที่สวมชุดดำตลอดร่าง ท่วงท่าสง่างาม หว่างคิ้วเผยพลังอำนาจ ทั้งยังมีความเย่อหยิ่งทระนง สตรีเช่นนี้ต้องเป็นเยี่ยเม่ยอย่างแน่นอน!
พระองค์ตรัสถาม “เจ้าก็คือเยี่ยเม่ย?”
“ทูลฝ่าบาท ใช่เพคะ!” เยี่ยเม่ยคุกเข่าก้มหน้าลงถวายความเคารพพร้อมกับคนอื่นๆ
การคุกเข่าให้ศัตรู ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกเจ็บหัวเข่า รวมถึงเจ็บปวดไปถึงลูกตาด้วย แต่ว่าเยี่ยเม่ยจำเป็นต้องกล้ำกลืนฝืนทน มุมปากเหยียดยิ้มเย็นชา หากทำเช่นนี้จะได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ส่งตระกูลเป่ยเฉินลงนรกได้
เช่นนั้น…
การอดกลั้นความอัปยศรวมถึงสิ่งที่นางจ่ายออกไปล้วนคุ้มค่า
ครั้นเห็นเยี่ยเม่ยตามคำเล่าลือที่เย่อหยิ่งพยศ ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น คุกเข่าแสดงความเคารพอยู่เบื้องหน้า ความระแวงที่มีต่อเยี่ยเม่ยในพระทัยก็พลันลดลงไปกว่าครึ่ง ทั้งยังอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
เยี่ยเม่ยที่ไม่คารวะใครทั้งนั้น ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้นกลับยินยอมคุกเข่าพินอบพิเทาให้พระองค์ นี่มิได้หมายความว่าในใจนางพระองค์ถึงเป็นเจ้านายของแว่นแคว้น เป็นฮ่องเต้ที่สูงส่งเกินใครเปรียบอย่างนั้นหรือ
ฮ่องเต้พอพระทัย พลันตรัสว่า “ศึกนี้ เจ้าเป็นขุนนางสร้างความชอบใหญ่หลวงให้กับราชสำนักเป่ยเฉิน ลุกขึ้นเถิด ข้าจะต้องตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม!”
ในเวลานี้ เสินเซ่อเทียนที่ยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ไม่ไกลออกไป เอ่ยทีเล่นทีจริงด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยอำนาจว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า ด้วยความชอบของเยี่ยเม่ย หากพระองค์ต้องพระราชทานรางวัลใหญ่ให้นางจริงๆ ต่อให้พระราชทานตำแหน่งท่านอ๋องท่านโหวให้ก็ไม่ถือว่าเกินไปพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อเขาเสนอออกมา ทั่วทั้งท้องพระโรงเกิดเสียงเซ็งแซ่
เยี่ยเม่ยเป็นเพียงสตรีต่ำต้อยได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ ก็ถือเป็นการทดสอบขีดจำกัดของคนทั้งหมดมากแล้ว ตอนนั้นที่ได้ยินเรื่องนี้ ภายใต้การชักนำของเสนาบดี พวกเขาต่างก็คัดค้านเต็มกำลัง
น่าเสียดายที่จงซานสนับสนุนอย่างสุดตัว ฝ่าบาทเองก็ยืนยันจะทำเช่นนี้ ดังนั้นเรื่องราวจึงได้แต่คล้อยตามไป
ยามนี้จากความหมายของจวินซ่าง ยังคิดจะแต่งตั้งเยี่ยเม่ยเป็นท่านอ๋องท่านโหวอีก นี่ไม่ทำเกินไปหรอกหรือ
จวินซ่างจำได้หรือไม่ว่าเยี่ยเม่ยเป็นสตรีหรือเปล่า
ซือถูจ้าวเป็นคนแรกที่อดทนไม่ไหว ก้าวออกมาคัดค้าน “ฝ่าบาท จวินซ่าง ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร เยี่ยเม่ยก็เป็นแค่สตรีนางหนึ่ง ได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ก็ถือว่าเป็นรางวัลอันใหญ่หลวงแล้ว หากยังแต่งตั้งเป็นอ๋องหรือโหวอีกก็จะถือว่าทำเกินกว่าเหตุไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“คำพูดของท่านเสนาบดีถูกต้องแล้ว ขอให้ฝ่าบาทและจวินซ่างโปรดพิจารณาด้วย!” ขุนนางจำนวนไม่น้อยก้าวออกมาสนับสนุนเสนาบดี
จงซานกลับก้าวออกมาทัดทาน “คำพูดของท่านเสนาบดีไม่ถูกต้อง ราชสำนักเราสถาปนาขึ้นมาเป็นเวลาหลายปี ทำศึกกับต้ามั่วมานับไม่ถ้วน มีครั้งไหนบ้างที่เป็นเช่นครั้งนี้ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งปีก็จบศึกลงได้ อีกทั้งเป็นเพราะต้ามั่วเป็นฝ่ายขอสงบศึก หาใช่ทั้งสองฝ่ายเจรจาสงบศึกกันอย่างที่แล้วมา ต้าซือคงอย่างข้าคิดว่า เยี่ยเม่ยคู่ควรเป็นท่านอ๋องหรือท่านโหวมากกว่าหลายคนนัก!”
เมื่อจงซานเอ่ยจบ ก็มีคนก้าวออกมาในบัดดล เอ่ยสนับสนุนว่า “คำพูดของต้าซือคงถูกต้อง ฝ่าบาท กษัตริย์ผู้ปรีชาสามารถต้องให้รางวัลและลงโทษอย่างชัดเจน ไม่แยกแยะเพศชายหญิง แม่นางเยี่ยเม่ยคู่ควรกับตำแหน่งอ๋องหรือโหว!”
“กระหม่อมก็คิดเช่นกัน!”
ไม่ช้าในท้องพระโรงก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งสนับสนุน อีกฝ่ายหนึ่งคัดค้าน
ฮ่องเต้ทรงเลิกพระขนง ลังเลชั่วครู่ ถึงบอกว่าจงซานเอ่ยมีเหตุผล แต่ก็แต่งตั้งเยี่ยเม่ยเป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว ในยามนี้นางสร้างความชอบอีกครั้ง หลังจากจิวมั่วเหอขึ้นครองตำแหน่งราชาต้ามั่วก็ส่งหนังสือสงบศึกยอมจำนน อำนาจคุกคามที่นางมีต่อต้ามั่ว ก็คู่ควรกับตำแหน่งอ๋องหรือโหวจริงๆ
เพียงแต่ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร ฮ่องเต้ก็หาได้เข้าใจเยี่ยเม่ยทั้งหมด ให้แต่งตั้งนางเป็นท่านอ๋องในเวลานี้ พระองค์ยังคงลังเลอยู่บ้าง ไม่ว่าอย่างไรพระองค์ก็ไม่มั่นใจว่าเยี่ยเม่ยมีใจภักดีจริงหรือไม่
เห็นสีพระพักตร์ลังเลของฝ่าบาท ซือถูจ้าวรีบเสริมว่า “ใต้เท้าจง ต่อให้เยี่ยเม่ยมีความชอบ แต่ท่านเอ่ยเช่นนี้ก็ออกจะเกินจริงมากไป! ฝ่าบาท ขอพระองค์อย่าทรงกริ้ว กระหม่อมทูลตามตรงเยี่ยเม่ยมีที่มาไม่ชัดเจน เกรงว่าจะมีใจคิดไม่ซื่อ หากจะต้องแต่งตั้งเป็นอ๋องให้ได้ก็สมควรรอให้ผ่านไปอีกสักพักค่อยตัดสินก็ยังไม่สาย!”
คำพูดนี้ตรงพระทัยฮ่องเต้เป็นที่สุด
ส่วนในเวลานี้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ยืนเงียบไม่เอ่ยวาจามานาน ก็ค่อยๆ ส่งสายตามองซือถูจ้าว เอ่ยปากด้วยความจริงจังว่า “เยี่ยเม่ยมีที่มาไม่ชัดเจน เกรงว่ามีใจคิดไม่ซื่อหรือ ไฉนท่านเสนาบดีไม่พูดว่าซือถูเฟิงทำผิดมหันต์ถูกสำเร็จโทษ ท่านเสนาบดีเป็นบิดาเขา ไม่แน่ว่าอาจมีความคิดไม่ซื่อไม่ต่างกันเล่า”
เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกล่าว เยี่ยเม่ยพลันมองเขาอย่างแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าเขาจะช่วยนางพูด
เสนาบดีได้ยินคำครหานี้พลันโมโหเสียจนเลือดขึ้นหน้า
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคร้านจะสนใจเขา ตวัดสายตามองฮ่องเต้ เอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ลูกคิดว่า ความดีความชอบของเยี่ยเม่ยมากเพียงพอให้แต่งตั้งเป็นอ๋อง พระองค์ทรงมีความเห็นว่าอย่างไร”