เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 27 เล่นสนุกแล้วค่อยทิ้ง
“พ่ะย่ะค่ะ !” เป่ยเฉินเสียงตอบรับอย่างรวดเร็ว
ความจริงฮองเฮาไม่อยากเห็นบุตรชายสุดที่รักของนางเสียเวลากับสตรีนางหนึ่งขนาดนี้ รวมถึงทำเรื่องเสี่ยงอันตรายด้วย นี่อาจก่อให้เกิดปัญหาจนสูญเสียพระทัยของฮ่องเต้ไป
แต่ว่า…
รูปการณ์ในตอนนี้เป็นเวลาที่เยี่ยเม่ยกำลังจะแต่งงาน หากห้ามไม่ให้เขาไปยุ่งกับเยี่ยเม่ย ทั้งไม่ปล่อยให้เขาไปยุ่งกับมู่หรงเหยาฉือ รอจนบุตรชายเกิดความโมโห ด้วยนิสัยร้อนใจทำอะไรไม่คิด ไม่รู้ว่าสุดท้ายพานจะก่อเรื่องใดขึ้นมาอีก ดังนั้นเรื่องของมู่หรงเหยาฉือก็ปล่อยเขาไปเถอะ
ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นแค่หญิงกำพร้าไร้บิดามารดาและอำนาจ ไม่อาจก่อคลื่นลมอะไรได้
…
หลังจากไฉ่ซังเข้ามาในห้องมู่หรงเหยาฉือ ก็อยู่ในอาการขวัญหนีดีฝ่อ เวลานี้ท่านหญิงอารมณ์เลวร้าย
เดิมคิดว่าที่ชายแดนวันนั้น องค์ชายสี่เชิญท่านหญิงร่วมดื่มสุรา นับจากนั้นก็จะมีความสนิทกับท่านหญิงมากขึ้น อย่างไรก็เห็นว่าท่านหญิงเป็นสหายได้บ้าง
จากนั้น…
หลังคืนที่เตี้ยนเซี่ยเอ่ยคำพูดพวกนั้นกับซือหม่าหรุ่ย ก็ไม่ยินยอมพบท่านหญิงอีกเลย ท่านหญิงขอเข้าพบหลายครั้งหลายหน ทุกครั้งได้แต่ยืนอยู่หน้าประตู สาวใช้จำนวนไม่น้อยที่ชายแดนต่างหัวเราะเยาะที่ท่านหญิงไม่รู้จักละอาย
พากันคิดเป็นจริงเป็นจังว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นระหว่างท่านหญิงและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว ซ้ำยังคิดว่ามู่หรงเหยาฉือถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเล่นสนุกจนพอใจแล้วโยนทิ้ง องค์ชายสี่ต้องการเพียงร่างกายของนาง หลังจากนั้นก็ไม่อยากได้นางอีก
เรื่องนี้สำหรับมู่หรงเหยาฉือนับเป็นการลบหลู่อย่างร้ายกาจ
ไม่ว่าเป็นการคาดเดาแบบไหน ก็ทำให้นางไม่เหลือศักดิ์ศรีบนหน้า ครั้นพูดถึงเรื่องนี้นางก็อารมณ์เลวร้ายอย่างถึงขีดสุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องหลายวันนี้ที่สี่ชายงามต้องการแต่งงานกับเยี่ยเม่ย รวมไปถึงเรื่องขององค์ชายสี่ปะทุขึ้นมาอย่างดุเดือด
อารมณ์ขุ่นมัวเช่นนี้ จะให้นางทนได้อย่างไร
ดังนั้นหลายวันมานี้ไฉ่ซังล้วนแต่ระมัดระวัง เพราะอาจจะยั่วยุอารมณ์ของท่านหญิงให้ปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ หากท่านหญิงไม่พอใจ ชีวิตน้อยๆ ของนางอาจแตกสลายไปได้
หลังจากเข้ามาก็ถามว่า “ท่านหญิง ท่าน…”
“ตอนนี้องค์ชายสี่อยู่ที่ไหน” มู่หรงเหยาฉือถามขึ้น
ไฉ่ซังเอ่ยปากว่า “น่าจะ…น่าจะอยู่ที่จวนเจ้าค่ะ ได้ยินว่าหลังจากนี้อีกสามวันแม่นางเยี่ยเม่ยถึงจะให้คำตอบ”
“ไป ไปจวนองค์ชายสี่!” มู่หรงเหยาฉือเอ่ยพร้อมลุกขึ้น
“เอ๋?” ไฉ่ซังชะงักไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าไฉนมู่หรงเหยาฉือถึงได้ดึงดันถึงขั้นนี้ นางถามว่า “ท่านหญิง พวกเรายังจะไปอีกหรือเจ้าคะ”
หากยังจะไปอีก นางยังรู้สึกเสียหน้าแทนท่านหญิงแล้ว
เกิดเรื่องราวมาถึงขั้นนี้ยังจะดันทุรังไปทำไมอีก ไม่ต้องการศักดิ์ศรีแล้วหรือ หรือคิดจะเสียหน้าแบบตอนอยู่ชายแดนในเมืองหลวงด้วยหรือ
เหล่าคุณหนูสูงศักดิ์ทั้งหลายในเมืองหลวงต่างก็ไม่พอใจที่ท่านหญิงได้รับฉายาเป็นอัจฉริยะหญิงอันดับหนึ่งกับหญิงงามอันดับหนึ่งอยู่แล้ว หากเวลานี้ปล่อยให้พวกนางเอาไปเป็นหัวข้อซุบซิบ
นั่นไม่เท่ากับกลายเป็นเรื่องดีให้คนอื่นแต่งแต้มเชียวหรือ
“ไม่เช่นนั้นเล่า” มู่หรงเหยาฉือมองนาง ลุกขึ้นเอ่ยเสียงสูงว่า “ไม่อย่างนั้นจะให้ข้าทำอย่างไร หรือว่าจะให้ข้านั่งรอความตายอยู่ที่นี่ รอจนเตี้ยนเซี่ยแต่งงานกับสตรีผู้นั้นกัน ข้าเป็นท่านหญิงทั้งคน หรือต่อไปจะต้องเป็นอนุ แล้วยังต้องเรียกสตรีนางนั้นเป็นพี่สาวอีก”
ไฉ่ซังฟังคำพูดนี้ ก็อดตกใจไม่ได้ ท่านอยากเป็นอนุ ก็ใช่ว่าเตี้ยนเซี่ยจะยินยอม…
แต่คำพูดนี้ย่อมไม่อาจเอ่ยออกไป ในเมื่อท่านหญิงดึงดัน นางก็พูดอะไรไม่ได้ เพียงเต้นไปตามมู่หรงเหยาฉือ ปล่อยอีกฝ่ายก่อเรื่องไปตามอำเภอใจ
…
หน้าประตูจวนองค์ชายสี่
เสี่ยวกวนยืนมองมู่หรงเหยาฉืออยู่หน้าประตู สีหน้าลำบากใจ “ท่านหญิง วันนี้ข้ารับหน้าที่เฝ้าเวร ข้าขอให้ท่านกลับไปก่อนเถอะ เตี้ยนเซี่ยสั่งการแล้ว ไม่ว่าท่านมาหาเตี้ยนเซี่ยด้วยเรื่องอันใดก็ไม่พบท่าน ดังนั้นท่านกลับไปเถอะ”
“ไม่มีทาง! เตี้ยนเซี่ยหาได้ไร้น้ำใจเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นเจ้าลองไปรายงานสักหน่อย หากเตี้ยนเซี่ยไม่พบจริงๆ ข้าค่อยจากไป!” มู่หรงเหยาฉือจ้องเสี่ยวกวน ยืนยันเสียงแข็ง
ไม่ว่าอย่างไร ข่าวนี้ต้องส่งไปถึงหูเตี้ยนเซี่ยให้ได้
นางถึงยังพอมีหวังว่าจะได้พบ หากข่าวนี้ไม่ได้ส่งออกไป นั่นย่อมมิมีอะไรให้พูดอีกแล้ว
เสี่ยวกวนเอ่ยโดยไม่ทน “ท่านหญิง ขอร้องให้ท่านกลับไปเถอะ เตี้ยนเซี่ยกล่าวแล้ว ขอเพียงท่านมาก็ไม่พบเด็ดขาด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนข้าต้องไปรายงานเตี้ยนเซี่ยด้วย ไปให้ถูกด่าหรืออย่างไร”
ข้าอยากร้องไห้เหลือเกิน ทำไมวันนี้ต้องเป็นเวรเขาด้วยนะ
สตรีนางนี้รบเร้าพัวพันไม่เลิก เขาเองก็ไม่อาจทำร้ายสตรี ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นท่านหญิง ไม่อาจลงมือไล่ได้โดยสะดวก เสี่ยวกวนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยใจยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ
“ท่านหญิง ไม่สู้พวกเรากลับไปก่อน!” ไฉ่ซังดึงชายเสื้อมู่หรงเหยาฉือ
เสี่ยวกวนมองไฉ่ซังด้วยสายตาซาบซึ้งเป็นที่สุด ไม่ว่าอย่างไรก็ยังเป็นคนพอมีเหตุผลอยู่บ้าง ยิ่งโน้มน้าวให้มู่หรงเหยาฉือกลับไปได้ เช่นนั้นก็ดีจนไม่มีอะไรเทียบได้อีกแล้ว
หากปล่อยให้เตี้ยนเซี่ยรู้ว่าเขาถูกมู่หรงเหยาฉือรบเร้าอยู่หน้าประตู แล้วพรุ่งนี้เกิดเรื่องเล่าอะไรขึ้นมา บอกว่ามู่หรงเหยาฉือมาพบเตี้ยนเซี่ยที่จวน แม่นางเยี่ยเม่ยรู้เข้าไม่แน่อาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ได้
มู่หรงเหยาฉือหันไปมองสาวใช้ “เจ้าหุบปาก!”
นางตวาดออกมา ไฉ่ซังพลันเงียบลง รู้สึกเสียใจอย่างมาก นางจงรักภักดีต่อท่านหญิง หลายปีที่ผ่านมาท่านหญิงให้นางทำอะไร นางไม่เคยปฏิเสธมาก่อน ที่นางไม่เห็นด้วยในวันนี้ก็เพราะอดเห็นท่านหญิงทำร้ายตัวเองเช่นนี้ไม่ได้ กลัวว่าท่านหญิงจะกลายเป็นตัวตลกในเมืองหลวง สรุปแล้วนางทำอะไรผิดหรือ
ท่านหญิงถึงต้องชักสีหน้าใส่นาง
ไฉ่ซังก้มหน้าลง ไม่ส่งเสียงอีก
มู่หรงเหยาฉือมองเสี่ยวกวน “เจ้าไปรายงานเตี้ยนเซี่ย สรุปแล้วหากวันนี้ข้าไม่ได้พบเตี้ยนเซี่ย ข้าจะไม่ไปไหนแน่!”
“เช่นนี้ท่านก็ยืนอยู่หน้าประตูเถอะ ปิดประตู!” เสี่ยวกวนถูกก่อกวนจนหงุดหงิด หมุนตัวนำเหล่าข้ารับใช้กลับเข้าจวนจนหมด จากนั้นปิดประตูใหญ่ลง
มู่หรงเหยาฉือหน้าเปลี่ยนสี ยืนหยัดอยู่หน้าประตูไม่ขยับไปไหน
บนหลังคาห้อง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนอนเอาหัวหนุนแขนสองข้างมองพระจันทร์บนฟ้า ย่อมเห็นมู่หรงเหยาฉือที่หน้าประตูจวน
อวี้เหว่ยที่อยู่ข้างกายถามว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านไม่พบท่านหญิงเหยาฉือจริงหรือ”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว น้ำเสียงน่าฟังของเขาก็ค่อยๆ เอ่ยว่า “ย่อมเป็นไปไม่ได้แล้ว หากทำตามนิสัยของเยี่ยนเมื่อก่อน กลับต้องมอบความหวังให้นาง ทำให้นางหลงคิดว่าเยี่ยนสนใจนาง ปล่อยให้นางพะว้าพะวงสุดท้ายไม่ได้รับอะไรตอบแทนทั้งนั้น ถึงจะย่ำยีจิตใจคนได้ถึงที่สุด…”
อวี้เหว่ยหมดคำพูด ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร ผู้อื่นก็ชอบท่าน ท่านก็อย่าได้คิดทรมานผู้อื่นเลย