เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 28 การชอบท่าน ถือเป็นเคราะห์กรรมที่สั่งสมมาสามชาติ!
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]
- ตอนที่ 28 การชอบท่าน ถือเป็นเคราะห์กรรมที่สั่งสมมาสามชาติ!
“แต่ว่า…” ในเวลานี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับเอ่ยออกมาสองคำ
อวี้เหว่ยคลายใจลง คิดว่ามีคำว่า ‘แต่ว่า’ ก็ยังดี อย่างน้อยท่านผู้นี้ก็มิได้คลุ้มคลั่งเกินไป อยู่ในขั้นที่รักษาได้
เขาส่งสายตามองเตี้ยนเซี่ยทีหนึ่ง ถามว่า “แต่ว่าอะไรหรือ”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบช้าๆ “แต่ว่าเยี่ยนไม่อยากให้เยี่ยเม่ยเข้าใจผิด ดังนั้นจึงไม่อยากให้นางคาดหวัง ทั้งคร้านจะทรมานนาง เช่นนั้นก็ถือว่าปล่อยนางไปเถอะ!”
อวี้เหว่ย “…”
เสียทีเขายังอุตส่าห์คิดว่าครั้งก่อนที่เตี้ยนเซี่ยมอบสุราให้มู่หรงเหยาฉือดื่มไหหนึ่ง อย่างน้อยในใจก็รู้สึกต่อมู่หรงเหยาฉือต่างไปบ้าง อ้อ สรุปไปมาก็ยังเทียบไม่ได้แม้แต่คนแปลกหน้า
เป็นของเล่นที่เตี้ยนเซี่ยใช้หาความสุข ยามว่างก็เอาออกมาทรมานเสียหน่อย
“เตี้ยนเซี่ย หากท่านไม่พบนาง บางทีนางอาจไม่ไปจริงๆ ก็ได้!” ฤดูหนาวแบบนี้ ยืนอยู่หน้าประตูคืนหนึ่งก็น่าสงสารอยู่บ้าง
แต่ว่าอวี้เหว่ยคิดได้ทันที ครั้งก่อนมู่หรงเหยาฉือคิดไล่เขาไปเพื่ออยู่กับเตี้ยนเซี่ยโดยลำพัง เช้าวันที่สองยังแสดงละครฉากเด็ดสร้างข่าวลือออกไป ทำเอาเขาเกือบถูกเตี้ยนเซี่ยกำจัด
ยามนี้เขาไม่เหลือความเห็นใจมู่หรงเหยาฉือเลยสักนิดเดียว
ต่อให้สตรีนางนี้แข็งตายอยู่ด้านนอก ก็เป็นนางที่รนหาเรื่องเองแล้ว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังก็มองอวี้เหว่ย ถามว่า “ทำไม เจ้าคิดว่าปล่อยให้นางยืนสักหน่อยก็จะแข็งตายหรือ”
“ถูกต้อง!” อวี้เหว่ยพยักหน้า “แต่หากท่านไม่อยากพบ ก็ไม่ต้องพบ กันไม่ให้แม่นางเยี่ยเม่ยรู้เข้าแล้วจะไม่ดี!”
อวี้เหว่ยที่มีความแค้นต่อมู่หรงเหยาฉืออยู่ในใจ รีบยกเยี่ยเม่ยออกมา กลัวว่าเตี้ยนเซี่ยจะออกไปพบสตรีนางนั้น
แต่เขาคิดมากเกินไปแล้ว
หลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังคำพูดเขา ก็แค่นหัวเราะออกมาเบาๆ เอ่ยว่า “นางยืนแข็งตายอยู่หน้าประตู ไม่ใช่เรื่องดีหรือไง ดูสิ ความรักล้ำค่าเช่นนั้น ความรู้สึกยิ่งใหญ่เพียงนั้น เยี่ยนจ่ายเงินให้พวกนักเล่านิทานทั่วหล้า เอาความยึดมั่นในรักของนางออกไปโพนทะนาให้คนไร้หัวจิตหัวใจทั่วหล้าได้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”
อวี้เหว่ย “…อ้อ!”
ที่แท้ท่านไม่ได้กลัวว่าผู้อื่นจะแข็งตายเลย ทั้งยังเฝ้ารอให้ผู้อื่นแข็งตาย เอาเรื่องของผู้อื่นไปเล่าเป็นนิทานอีกด้วย?
อวี้เหว่ยคิดไปคิดมา ไม่ผิด ถึงเขาจะเกลียดมู่หรงเหยาฉือ แต่เวลานี้ยังอดเอ่ยไม่ได้ “เตี้ยนเซี่ย ท่านหญิงเหยาฉือชอบท่าน ถือเป็นเคราะห์กรรมที่สั่งสมมาสามชาติของนางจริงๆ!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วปรายตามองอวี้เหว่ย เอ่ยแช่มช้า “เจ้าจะรู้ได้อย่างไรกันว่า ชาตินี้หากนางไม่พบข้าจะรู้สึกว่าตัวเองโชคดี”
“ก็ได้…” อวี้เหว่ยรู้ว่าพูดสู้ไม่ได้ อีกทั้งบางทีในใจมู่หรงเหยาฉืออาจคิดเช่นนี้จริงๆ
เขาเลือกที่จะปิดปาก
อวี้เหว่ยมองท้องฟ้า “เตี้ยนเซี่ย ท่านคิดกลับไปพักผ่อนในห้องหรือว่าจะชมจันทร์อยู่บนหลังคาต่อไป”
เขารู้ว่าอารมณ์ของเตี้ยนเซี่ยไม่สู้ดีนัก ยามปกติหากเตี้ยนเซี่ยอารมณ์ไม่ดี ก็จะไปหาเรื่องทรมานคน นี่น่าจะเป็นเหตุที่เมื่อครู่เตี้ยนเซี่ยเอ่ยมาว่าจะทรมานมู่หรงเหยาฉือ
อย่างไรเสียความสัมพันธ์ของเตี้ยนเซี่ยและแม่นางเยี่ยเม่ยกลายเป็นอย่างนี้ เตี้ยนเซี่ยก็ยากจะอารมณ์ดีได้ การชมจันทร์น่าจะช่วยให้เตี้ยนเซี่ยปรับอารมณ์ได้บ้าง
แต่ว่า
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนลุกขึ้น เอ่ยว่า “ก้มหน้าไปก็เห็นนาง ข้ายังมีอารมณ์ชมจันทร์อีกหรือ กลับห้องเถอะ!”
พูดจบ เขาก็ดีดตัวลงจากหลังคา
……
ลมหนาวโหมพัด
มู่หรงเหยาฉือยืนอยู่ด้านนอกตลอด เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่อยู่บนหลังคาสูงย่อมมองเห็นนาง แต่นางที่อยู่ด้านล่างมีกำแพงเรือนกั้นอยู่ไม่มีทางเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้
ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่เพียงแค่เห็นนางเท่านั้น ยังถกกับอวี้เหว่ยไปยกหนึ่งด้วย
อากาศเย็นมากแล้ว ในเวลานี้นางค่อยคิดถึงคืนนั้นที่ชายแดน เตี้ยนเซี่ยดื่มจนเมามาย นางก็ยืนทนตากลมหนาว รอจนเตี้ยนเซี่ยฟื้นขึ้นมา
แต่เทียบกันกับวันนั้นแล้ว วันนี้ยังเหน็บหนาวเสียกว่า
ไม่ว่าเพราะอะไร ในคืนนั้นอย่างน้อยนางก็ยังมองเห็นเตี้ยนเซี่ย เห็นบุรุษที่นางหลงรักนอนอยู่ตรงบันไดข้างกาย ทว่าวันนี้ นางไม่เห็นแม้แต่ใบหน้า แม้กระทั่งได้พบหน้าสักครั้งยังเป็นความปรารถนาที่เกินเหตุ
เวลาสามเดือนที่อยู่ชายแดน หลังจากการขอเข้าพบล้มเหลวอยู่ทุกครั้ง ความจริงนางลองทำเป็นบังเอิญพบเตี้ยนเซี่ยบนถนนดูแล้ว
ทุกครั้งล้วนเสียเปล่า
แม้แต่เงาเตี้ยนเซี่ยนางยังไม่ได้เห็นเลย ไม่รู้ว่าเตี้ยนเซี่ยจงใจหลบหน้านาง หรือเพราะพวกเขาไร้วาสนา ยามที่นางคิดเดินมาที่นี่ เตี้ยนเซี่ยไม่คิดเดินไปที่นั่นพอดี
ดังนั้นสามเดือนเต็มๆ ที่นางไม่เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
ในขณะที่นางใคร่ครวญ ครุ่นคิดจนแทบคลั่ง
นางก็ยิ่งตัดสินใจแน่วแน่ว่า วันนี้นางต้องพบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนให้จงได้
ไฉ่ซังทนไม่ไหวอีก เอ่ยปากว่า “ท่านหญิง ท่านก็เห็นแล้ว เสี่ยวกวนไม่คิดไปรายงานเตี้ยนเซี่ยเรื่องของท่านเลย ต่อให้ท่านแข็งตายอยู่ที่นี้ ก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ ไม่สู้พวกเรากลับกันเถอะ…”
ความจริงตอนนางเอ่ยออกมา นางกลัวมาก กลัวว่าท่านหญิงจะโมโหระบายอารมณ์ใส่นาง
แต่สถานการณ์ในตอนนี้ หากนางไม่เกลี้ยกล่อม นางก็ต้องยืนตากลมกับท่านหญิงอยู่ที่นี่ ครั้งก่อนที่ชายแดน ท่านหญิงยืนในเรือน นางยืนตากลมอยู่ด้านนอกประตู เป็นหวัดอยู่เดือนหนึ่งถึงหายได้
นางไม่อยากรนหาที่ตายกับเจ้านายอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
ความจริงมู่หรงเหยาฉือมองออก การอยู่ที่นี่ต่อไปไม่มีประโยชน์ใดๆ เห็นท่าทางของเสี่ยวกวนแล้ว ก็ไม่มีทางไปรายงานจริงๆ เวลานี้นางเริ่มเคียดแค้นเยี่ยเม่ยอยู่ในใจ ต้องเป็นเพราะเยี่ยเม่ยแน่
เตี้ยนเซี่ยเกรงว่าเยี่ยเม่ยจะรู้เข้า เตี้ยนเซี่ยพบนาง ดังนั้นเขาจึงไม่ชายตาแลนางเลยสักน้อย แม้กระทั่งจวนองค์ชายสี่ก็ไม่ยอมให้นางเหยียบย่างเข้าไป
สิ่งที่นางประสบทุกวันนี้ล้วนเป็นเพราะเยี่ยเม่ย นางแค้นเยี่ยเม่ย!
หลังจากเงียบไปสักพัก มู่หรงเหยาฉือก็เอ่ยปาก “พวกเรากลับกันเถอะ!”
“เอ๋” ไฉ่ซังเบิกตากว้างอย่างเบิกบาน ดีเหลือเกิน ในที่สุดท่านหญิงก็คิดตกแล้ว
แต่ว่า
มู่หรงเหยาฉือเอ่ยอย่างว่องไว “กลับก็กลับ แต่ไม่ใช่กลับแบบนี้”
มู่หรงเหยาฉือเอ่ยไปพลางหมุนตัวเดินออก
ไฉ่ซังกลัดกลุ้ม รีบเดินตามไป ถัดมาก็เห็นมู่หรงเหยาฉือดึงทึ้งเสื้อผ้าหลุดลุ่ย หันมองไฉ่ซังทีหนึ่ง “เจ้าคงรู้นะว่าต้องแสดงอย่างไร”
ไฉ่ซังตะลึงงัน ไม่ช้าก็เห็นมู่หรงเหยาฉือร้องไห้วิ่งออกไปกลางถนน
ยามนี้นางเข้าใจความหมายของเจ้านายแล้ว รีบติดตามไป เอ่ยปากว่า “ท่านหญิง ท่านเป็นอะไรแล้ว ทำไมออกมาจากจวนองค์ชายสี่แล้วถึงเป็นเช่นนี้ ท่านหญิง…”
เวลานี้เป็นยามดึกมากแล้ว แต่ว่าเมืองหลวงยังคงคึกคัก
คนสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก พวกนางร้องเสียงดังเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของผู้คน