เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 3 เหอซั่วหนี่ว์อ๋อง
ครั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเสนอความเห็น ฮ่องเต้พลันรู้สึกว่าพระองค์ไม่อาจตอบกลับไปง่ายๆ อีก
กระทั่งรู้สึกระคายพระศออยู่บ้าง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว ยังมีใครกล้าแย้งว่าเยี่ยเม่ยไม่เหมาะสมอีก
เสินเซ่อเทียนเป็นคนที่เสนอความคิดนี้ ย่อมไม่ก้าวออกมาขัดขวางเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแน่
ขุนนางใหญ่ทั้งหลายพลันรู้สึกเหน็บหนาวราวตกอยู่ในฤดูเหมันต์
องค์ชายสี่มีนิสัยอย่างไร พวกเขาเข้าใจแจ่มแจ้ง คนที่กล้าเป็นปรปักษ์กับองค์ชายสี่ เกรงว่าคงมีแต่คนถือตะเกียงออกไปคุ้ยหาอาจมในสุขาเท่านั้น
พวกเขาล้วนไม่อยากตาย ซ้ำยังไม่อยากพาคนทั้งตระกูลตกตายตามไปด้วย ดังนั้นคนที่ก้าวออกมาคัดค้านร่วมกับซือถูจ้าวเวลานี้ไม่ส่งเสียงสักแอะ
ฝ่ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองพวกเขา น้ำเสียงน่าฟังดังว่า “ใต้เท้าทั้งหลาย พวกท่านมีความเห็นอื่นไหม”
พวกขุนนางใหญ่ที่เมื่อครู่ยืนคัดค้านอยู่ด้านหลังเสนาบดี หลังได้ฟังคำถามลอยๆ ของ เป่ยเฉินเสียเยี่ยน
ก็ตัดสินใจไปในทางเดียวกัน…
หันกลับไปก้มหัวให้ฮ่องเต้ “ฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกว่าคำพูดขององค์ชายสี่มีเหตุผลนัก ทำให้กระหม่อมเหมือนถอนต้นหญ้าที่อุดตันในสมองออกไปพลันตระหนักได้ถึงความโง่งมของตนเอง การแต่งตั้งแม่นางเยี่ยเม่ยเป็นอ๋อง เป็นเรื่องถูกต้องสมควรกระทำ กระหม่อมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง!”
ฮ่องเต้ “…”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพูดอะไรแล้ว เขาก็แค่แสดงความคิดส่วนตัวของตน คิดว่าเยี่ยเม่ยดำรงตำแหน่งอ๋องได้ พวกขุนนางเหล่านี้กลัวเขาอย่างออกนอกหน้าไปแล้ว ถึงกับใช้คำว่าถอนต้นหญ้าที่อุดในสมองออกไป
คนที่ไม่รู้ความพลางจะหลงคิดไปว่า เมื่อครู่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกหลักการเหตุผลมากล่าวกับพวกเขาเสียอีก
ในเวลานี้เอง สิ่งที่ทำให้คนแปลกใจก็คือเซี่ยโหวเฉินก้าวออกมาสนับสนุน “ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นด้วยกับความคิดขององค์ชายสี่และใต้เท้าทั้งหลาย!”
คราวนี้ฮ่องเต้เริ่มเกิดความฉงนสงสัย
เสินเซ่อเทียนเป็นฝ่ายเสนอความเห็นนี้ พระองค์ก็แปลกใจมากพอแล้ว เซี่ยโหวเฉินยังออกมาเห็นด้วยอีก เช่นนั้นหมายความว่าอะไรกันแน่
หมายความว่าเยี่ยเม่ยใช้งานได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ
หรือพิสูจน์ว่าการมอบตำแหน่งนี้ให้เยี่ยเม่ยมีประโยชน์อะไรที่ต่างไปอีก เมื่อคิดถึงจุดนี้ฮ่องเต้คล้ายกับขี่อยู่บนหลังเสือ มาตรว่ายังไม่วางพระทัยในตัวเยี่ยเม่ยอยู่บ้าง แต่กลับตรัสว่า “ในเมื่อทุกท่านต่างเห็นด้วย เช่นนั้นข้าจะแต่งตั้งเยี่ยเม่ยเป็นเหอซั่วอ๋อง ทุกท่านคิดว่าอย่างไร
เหอซั่ว
หลังจากเยี่ยเม่ยนำทัพได้ไม่นาน การศึกระหว่างราชสำนักเป่ยเฉินกับต้ามั่วก็สิ้นสุดลง นั่นก็คือสันติสุข ผลของการศึกคือฝ่ายต้ามั่วยอมจำนน ภายใต้การเจรจาราชสำนักเป่ยเฉินได้ผลประโยชน์มาไม่น้อย นั่นก็คือเก็บเกี่ยวผลผลิตมากมาย
ดังนั้นใช้คำว่าเหอซั่วเพื่อพรรณนาถึงความชอบของเยี่ยเม่ย ก็ไม่มีอะไรเหมาะสมกว่านี้อีกแล้ว
ไม่ว่าขุนนางทั้งหลายจะยินดีหรือไม่ยินดีก็ตาม ในยามนี้ยังก้าวออกมาก้มหน้าเอ่ยว่า “น้อมรับราชโองการฝ่าบาททรง… ฝ่าบาททรงปรีชา”
ซือถูจ้าวไม่เห็นด้วยเป็นพันหมื่น ในยามนี้ยังไม่กล้าปริปาก คนทั้งหลายต่างก็เห็นด้วย เขาไม่เห็นด้วยคนเดียวก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น ซ้ำยังอาจถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแว้งกัดเข้าให้อีก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงไม่พอใจแต่ก็ต้องปิดปากเงียบชั่วคราว
ดังนั้น…
การแต่งตั้งเยี่ยเม่ยก็เป็นไปตามนี้
นางรีบเอ่ยว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
ถึงฮ่องเต้ยังระแวงอยู่บ้าง แต่เพราะวาจาอันศักดิ์สิทธิ์เมื่อเอ่ยปากออกไปแล้วก็ไม่มีเหตุผลให้ถอนคำพูด พระองค์ทรงจ้องเยี่ยเม่ย “มอบบ้านเรือนให้เก็บส่วยจำนวนห้าพันครัวเรือน เงินหมื่นตำลึง จวนอ๋อง และประทานตำแหน่งจวิ้นอ๋อง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
เมื่อเป็นถึงท่านอ๋อง ได้รับพระราชทานสิ่งเหล่านี้ก็นับว่าสมควร คนจำนวนไม่น้อยในที่นี้ ถึงจะอิจฉาตาร้อน แต่ก็ไม่กล้าปริปาก ต่อให้อยากเอ่ย เมื่อมีเทพมรณะอย่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ด้วย คนทั้งหมดก็ไม่กล้าพูด
จากนั้น
เซี่ยโหวเฉินเอ่ยปากขึ้นอีกว่า “ปีนี้แม่นางเยี่ยเม่ยก็อายุไม่น้อยแล้ว กลับยังไม่มีคู่หมาย ในเมื่อฝ่าบาทแต่งตั้งนางเป็นอ๋องแล้ว ไม่สู้พระราชทานสมรสให้นางเป็นมงคลคู่ ฝ่าบาททรงคิดว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเขาเสนอ ขุนนางทั้งหลายต่างตะลึงงัน
คิดไม่ถึงว่าเซี่ยโหวเฉินจะเสนอเช่นนี้ แต่ก็มีคนหันกลับไปมองเยี่ยเม่ยในยามนี้เช่นกัน จากอายุของนางก็อยู่ในวัยเหมาะกับการแต่งงาน อันที่จริงสตรีทั่วไปอายุสิบหกก็แต่งงานแล้ว
ดูจากท่าทางของเยี่ยเม่ยน่าจะอายุยี่สิบปี ดังนั้นการพระราชทานสมรสให้นางก็ไม่ผิด
ฮ่องเต้ทรงชะงักไปครู่หนึ่ง
ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ เซี่ยโหวเฉินจะเสนอออกมาเช่นนี้ ถึงก่อนหน้าพระองค์เคยหารือกับเซี่ยโหวเฉินอยู่บ้าง แต่ว่ายามนี้เป่ยเฉินอี้ไม่อยู่ งานแต่งนี้จะประสบผลตามเป้าหมายได้อย่างไร
สายตาเย็นเยียบของเยี่ยเม่ยเคลื่อนไปจับที่เซี่ยโหวเฉินอย่างว่องไว นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าคนผู้นี้พอเอ่ยปากทีก็เสนอเรื่องใหญ่อย่างงานแต่งของนางออกมาได้
ครั้นมองสีพระพักตร์ฮ่องเต้ก็เป็นอันชัดเจนว่าพระองค์กำลังวางแผนบางอย่าง
เยี่ยเม่ยเร่งใช้ความคิด นางเข้าใจแล้ว คนทั้งสองต้องร่วมหัวกันวางแผนแน่ ส่วนเป้าหมายของพวกเขาคืออะไร นางก็ไม่รู้
นางจึงเอ่ยว่า “ฝ่าบาท เยี่ยเม่ยเพิ่งได้รับตำแหน่งอ๋อง ในยามนี้คิดเพียงทำประโยชน์ให้กับเป่ยเฉินเท่านั้น ความจริงไม่คิดถึงเรื่องงานแต่งงาน ถึงท่านอ๋องน้อยเซี่ยโหวจะมีเจตนาดี แต่เยี่ยเม่ยยังไม่อาจรับได้ชั่วคราว ขออภัยด้วย!”
ครั้นนางเอ่ยออกมา ฮ่องเต้พระพักตร์นิ่งลง
ทอดพระเนตรมองเยี่ยเม่ย ถึงเป่ยเฉินอี้ไม่อยู่ พูดถึงงานแต่งงานในเวลานี้ไม่ฉลาดนัก แต่หากเยี่ยเม่ยใช้เหตุผลนี้เพื่อผลักไส ยามคิดจะเอ่ยเรื่องแต่งงานครั้งหน้าอีก คงต้องรออีกนานแล้ว
แผนการนี้เกรงว่าจะไม่อาจใช้ได้ถูกเวลาอีก
ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ทรงโบกพระหัตถ์ ตรัส “ข้ากลับรู้สึกว่าคำพูดของเซี่ยโหวเฉินมีเหตุผลมาก เจ้าอายุไม่น้อยแล้ว อีกทั้งเจ้ามีความชอบต่อแผ่นดิน ข้าจะไม่คิดถึงงานแต่งงานของเจ้าได้อย่างไร หากเรื่องนี้แพร่ออกไป คนทั่วหล้าจะตำหนิที่ข้าไม่คำนึงถึงแม่ทัพใหญ่ได้!”
ฮ่องตรัสเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าปิดปากเยี่ยเม่ยจนสนิท
นางยังคิดเอ่ยอะไรอีก
ฮ่องเต้ตรัสต่อว่า “ไม่ต้องพูดอีก ข้าตัดสินใจแล้ว! ในเมื่อคิดจะประทานสมรสให้เจ้า เจ้าก็อย่าผลักไส หากยังผลักไสอีก ข้าจะไม่พอใจแล้ว!”
ท่าทางไม่ยอมให้ขัดขืนของพระองค์ทำเอาเยี่ยเม่ยได้แต่กำหมัดแน่นอยู่ใต้แขนเสื้อ
เวลานี้นางไม่คิดถึงการแต่งงานอะไรทั้งนั้น ทั้งนางก็ไม่คิดแต่งกับใครอย่างง่ายๆ การแต่งงานไม่ใช่เล่นของเด็กๆ นางไม่อยากใช้เป็นหมาก ท่าทางราวกับมีแผนการของฮ่องเต้ทำให้นางไม่อาจสงบใจ
ในขณะครุ่นคิด
ฮ่องเต้ตรัสถามว่า “ไม่รู้ว่าขุนนางทั้งหลายคิดว่ามีใครเหมาะสมกับเหอซั่วหนี่ว์อ๋องบ้าง”