เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 61 เล่าเรื่องในคืนนั้นของพวกเรา ให้เยี่ยเม่ยฟัง
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]
- ตอนที่ 61 เล่าเรื่องในคืนนั้นของพวกเรา ให้เยี่ยเม่ยฟัง
สายตาคนทั้งหลายมองไปยังทิศทางที่ฮ่องเต้เสด็จ
ยามนี้เยี่ยเม่ยก็มิสนใจมู่หรงเหยาฉืออีกแล้ว อย่างไรเสียในยามนี้ยังอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ เล่นละครเป็นลูกสะใภ้แสนภักดี
ทันทีที่ไม่ระวังอาจเผยพิรุธออกมาได้ อย่างนั้นก็ไม่มีเวลาไปสนใจมู่หรงเหยาฉืออีก
“ถวายบังคมฝ่าบาท!” คนทั้งหมดคุกเข่าลงน้อมรับเสด็จ
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรภาพตรงหน้า ยามนี้ก็รู้สึกพอพระทัย ยิ่งทอดพระเนตรเยี่ยเม่ยก็ยิ่งรื่นตา หลังจากดำเนินเข้ามาแล้ว ยังตั้งใจมองเยี่ยเม่ยอีกหลายครั้ง รู้สึกว่าสะใภ้ผู้นี้มาได้ถูกจังหวะนัก
นับตั้งแต่เยี่ยเม่ยปรากฏตัวบนท้องประโรงของราชสำนักเป่ยเฉิน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็คล้ายกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เชื่อฟังเสียจนน่าแปลกใจ ทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในสภาพสงบสามัคคี
ฮ่องเต้ย่อมยึดเอาทุกอย่างนี้เป็นความชอบของเยี่ยเม่ย
พระองค์ยกพระหัตถ์ขึ้น ตรัส “ลุกขึ้นเถิด!”
คนทั้งหมดลุกขึ้น ต่างกลับไปนั่งประจำที่ ฮ่องเต้ทรงแย้มพระโอษฐ์ “วันนี้ถือว่าเป็นงานเลี้ยงในครอบครัว ขุนนางทั้งหลายทำตัวตามสบาย”
“พ่ะย่ะค่ะ! ขอบพระทัยฝ่าบาท!” เหล่าขุนนางตอบรับ
ในเวลานี้เอง
ฮ่องเต้ทรงถามขึ้นอีกว่า “จวินซ่างเล่า”
คราวนี้เหล่าขุนนางค่อยตระหนักได้ว่า นับตั้งแต่องค์ชายสี่แต่งงาน ทุกคนก็ไม่ได้พบจวินซ่างอีกเลย เขาไปที่ไหนแล้วก็ไม่มีใครรู้
แต่ว่าตามหลักในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรจวินซ่างก็สมควรปรากฎตัวนี่นา
หัวหน้าขันทีเอ่ยปากว่า “ส่งคนไปเชิญแล้ว ดูเหมือนว่าจวินซ่าง…อืม ลืมวันประสูติของพระองค์ กอปรกับการศึกที่ชายแดนจบลงแล้ว จวินซ่างบอกว่ากลับไปพำนักที่ตำหนักเขาหลิงซานเหมาะกว่า แต่ว่าตำหนักเขาหลิงซานค่อนข้างไกล ดังนั้นไปเชิญจวินซ่างจำเป็นต้องใช้เวลาอยู่บ้าง”
ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ที่ฉลองงานวันพระราชสมภพ ก็พลันอารมณ์ไม่ดีแล้ว
โลกนี้ยังมีเรื่องอันใดอีกที่ทำให้พระองค์เสียใจได้มากกว่าเสินเซ่อเทียนจดจำวันประสูติของพระองค์ไม่ได้กัน
จริงด้วย ยังมีอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือเสินเซ่อเทียนบอกว่าชอบเยี่ยเม่ย คิดแต่งงานกับนาง
สามเดือนมานี้ไม่ง่ายเลยกว่าฮ่องเต้จะปรับอารมณ์ขึ้นมาได้ แต่แล้วก็พังทลายลงไปชั่ววูบเดียว คนทั้งหมดเห็นท่าทางของฮ่องเต้คล้ายสตรีที่ถูกสามีลืมเลือนวันเกิด ในใจทุกคนต่างหมดคำพูด ไม่รู้สมควรเอ่ยอะไรดี
เป็นพวกเขารู้สึกไวเกินไป สมองมีปัญหาหรือว่าคิดมากไปแล้วกันเล่า
ในเวลานี้เอง
มีบ่าวส่งเสียงขึ้นมาว่า “จวินซ่างมา!”
สีพระพักตร์ไม่น่าชมของฮ่องเต้ในที่สุดก็ค่อยๆ สงบลง ทอดพระเนตรมองคนผู้นั้นในอาภรณ์สีขาวเดินรับลมเข้ามาในอุทยาน คล้ายกับเทพแห่งสงครามอันดับหนึ่งบนสวรรค์ดึงดูดสายตาคน ฮ่องเต้พลันสายตาสุขุมลง ในใจกลับหวั่นไหว
จากนั้นเมื่อคิดได้ว่าเสินเซ่อเทียนเอาแต่ปฏิเสธพระองค์ ก็ต้องฝืนบังคับให้ตัวเองสงบลงแล้ว
สีหน้าเสินเซ่อเทียนซีดเซียวกว่าเมื่อก่อนอยู่บ้าง คนยังดูผอมซูบลงไปไม่น้อย
เดิมทีเขาก็ไม่ได้อ้วน ผอมลงเช่นนี้หาได้กระทบต่อความสง่างามเกินเปรียบ ทว่ายังทำให้คนทั้งหมดกลัดกลุ้มได้อย่างชัดเจน เรื่องที่ว่าจวินซ่างชอบกินนั้น แม้แต่เด็กอายุห้าขวบในเมืองหลวงยังรู้เลย ไฉนไม่พบจวินซ่างไม่กี่วัน เขาถึงเปลี่ยนไปอยู่ในสภาพนี้ได้แล้ว
ช่วงนี้ไม่มีของอร่อยหรือว่าจวินซ่างไม่อยากอาหาร นี่เป็นไปได้ด้วยหรือ!
เสินเซ่อเทียนเดินเข้ามาถึงก็คำนับ “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท กระหม่อมมาช้า มีโทษสมควรตาย ขอฝ่าบาททรงลงโทษด้วย”
หลังจากฮ่องเต้สงบไปสักครู่ ก็ตรัสถามว่า “ช่วงนี้เจ้าซูบเซียวไม่น้อย ป่วยแล้วหรือ”
คราวนี้ไม่ใช่แค่ฮ่องเต้ ขุนนางทั้งหลายของเป่ยเฉินล้วนแตกตื่นกันหมด
จวินซ่างมีฐานะเช่นไร เป็นเกราะกำบังของราชสำนักเป่ยเฉิน หากเขาล้มป่วยแล้ว นี่ถือเป็นใหญ่ของเรื่องบ้านเมือง หากพูดจาไม่เคารพสักหน่อยก็คือ พวกเขายังกังวลมากกว่าฝ่าบาททรงประชวรเสียอีก ดังนั้นทุกคนต่างพากันกังวลใจ
เสินเซ่อเทียนตอบ “ฝ่าบาททรงคิดมากไปแล้ว กระหม่อมสบายดี ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง ที่ซูบเซียวไปบ้าง ก็เพราะช่วงนี้ไม่มีความอยากอาหารก็เท่านั้น”
ไม่อยากอาหาร?
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเขาที่ก้มเอวคำนับ ทรงโบกพระหัตถ์ “เจ้าไปนั่งก่อนเถอะ!”
เสินเซ่อเทียนก็ไปนั่งจริงๆ
เขานั่งลงตรงข้ามเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยพอดี
มีขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งอดรนทนไม่ไหว เกิดจากความกังวลเรื่องใหญ่ระดับบ้านเมือง ถามว่า “ไม่ทราบว่าเหตุใดจวินซ่างถึงไม่อยากอาหาร หากบอกออกมาได้ ข้าน้อยจะช่วยจวินซ่างคลายความกังวลได้บ้าง!”
พวกเขาพากันกังวล หรือว่าราชสำนักเป่ยเฉินจะเกิดเรื่องแล้ว ไม่นะ อย่าได้แย่งชิงเอาความมั่งคั่งร่ำรวยของพวกเขาไปเชียว
เสินเซ่อเทียนรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ในใจ
ก็ปรายตามองพวกเขา เสียงที่ทรงอำนาจค่อยๆ เอ่ยว่า “ใต้เท้าทั้งหลายคิดมากไปแล้ว ข้ากินไม่ลง ไม่ใช่เพราะเรื่องบ้านเมือง แต่เพราะเรื่องส่วนตัว ก็แค่ไม่อาจแต่งงานกับสตรีที่ชอบ เป็นบุรุษน่าสงสารที่ปวดใจเท่านั้นเอง!”
คนทั้งหมด “…”
เสินเซ่อเทียนเอ่ยคำพูดนี้ออกมา แววตาทอประกายมองเยี่ยเม่ยที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่หลบเลี่ยง
มุมปากเยี่ยเม่ยกระตุกไปเล็กน้อย นางรู้สึกว่าการกระทำของเสินเซ่อเทียนช่างหาเรื่องให้นางแล้ว
เป็นอย่างคาดไว้
เมื่อเขาเอ่ยออกมา สายตาเตือนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็มองไปที่เยี่ยเม่ย ในสีหน้าฉายแววว่าหากเยี่ยเม่ยปรายตามองเสินเซ่อเทียนสักเล็กน้อย เขาก็พร้อมจะโมโหขึ้นมา
สีพระพักตร์ฮ่องเต้กลับเต็มไปด้วยโทสะ สายพระเนตรราวกับสังหารคนมองจ้องไปยังเยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยไม่อยากให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรนางด้วยความแค้น ทั้งไม่หวังให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอาแต่มองนางเช่นนี้อีก ดังนั้นนางก็ไม่เอ่ยอย่างชัดเจนเกินไป เพียงกล่าวว่า “จวินซ่างสมควรเข้าใจว่า เรื่องราวทุกประการที่สมควรปล่อยวางก็ควรปล่อยวาง อย่าทำให้ตัวเองลำบาก ความว่างเปล่าฉากหนึ่งเท่านั้น ไฉนต้องทุ่มเทแรงใจถึงเพียงนี้”
ความจริงคนทั้งหลายต่างรู้ถึงความขัดแย้งระหว่างหลายคนนี้ ดังนั้นทุกคนก้มหน้าดื่มสุรา ไม่กล้าพูดได้แต่คิดในใจว่าแม่นางเยี่ยเม่ยพูดได้ดีนัก
ที่คิดไม่ถึงคือ เมื่อนางกล่าวออกไป เสินเซ่อเทียนยังไม่ทันเอ่ยปาก
เป่ยเฉินอี้ที่นั่งเงียบมาตลอด กลับยิ้มอย่างมิได้ยิ้มถามว่า “จริงหรือ”
คราวนี้บรรยากาศในที่นี้เต็มไปด้วยความน่าอึดอัดอย่างประหลาด ในในคนทั้งหลาย ‘พอแล้ว! พอแล้ว! รู้แล้วว่าพวกท่านเป็นศัตรูหัวใจ ขอให้พวกท่านนั่งลง ไม่ต้องโพนทะนาอีก ให้พวกเราเลี้ยงฉลองกันดีๆ ได้หรือไม่’
บรรยากาศในยามนี้แปลกพิกลมาก
ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยกับคำพูดของเยี่ยเม่ย จึงตรัสว่า “พอแล้ว ไม่ต้องเอ่ยอีกแล้ว กินข้าวเถอะ!”
การแสดงดนตรีฟ้อนรำก็เริ่มขึ้น
บรรยากาศนี้ช่างพิลึกนัก สายตาของบุรุษทั้งสามไม่เป็นตัวของตัวเอง เยี่ยเม่ยหาเหตุผล หลบออกไปหาความสงบชั่วคราว
คิดไม่ถึงเลย นางเพิ่งจะเดินมาใกล้ๆ ภูเขาจำลองลูกหนึ่ง
ระหว่างที่เลี้ยวมาตรงหัวมุมทางเดิน ก็เห็นมู่หรงเหยาฉือไล่ตามเป่ยเฉินเสียเยี่ยน คล้ายร้อนรนจะพูดอะไรบางอย่าง เยี่ยเม่ยครุ่นคิด ก็พรางกายเข้าไปใกล้พวกเขา
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงร้อนรนของมู่หรงเหยาฉือ “เตี้ยนเซี่ย หากท่านไม่แต่งกับข้า ข้าจะเอาเรื่องหลายคืนนั้นของพวกเราไปบอกกับเยี่ยเม่ย!”