เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 9 ท่านไม่คู่ควรเรียกข้าว่าอาซี!
เกี่ยวกับ…เรื่องแต่งงานหรือเปล่านะ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกล่าวจบก็เดินจากไปโดยไม่รอให้เยี่ยเม่ยตอบตกลง ความจริงเขาไม่คิดฟังคำตอบนาง เพราะว่าบางทีนางอาจปฏิเสธเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ฟังจะดีกว่า
เขาสาวเท้ากว้างๆ เดินจากไป
จงซานเดินมาถึงข้างกายเยี่ยเม่ย มองแผ่นหลังของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคราหนึ่ง สีหน้าก็ซับซ้อนขึ้นมาก เอ่ยเสียงเบาว่า “หากต้องการคำชี้แนะจากข้า ก็ให้ปิงปิงมาหาข้า”
ครั้นเอ่ยจบ จงซานก็จากไป
เยี่ยเม่ยมองส่งจงซานจากไป เป็นครั้งแรกที่นางได้พบเขา หรืออาจพูดว่า…ไป๋หลี่ซือซิว ความสามารถในการวิเคราะห์แยกแยะของคนผู้นี้ ทำให้นางตกใจได้จริงๆ เมื่อครู่ยามอยู่ในท้องพระโรง ก็มองอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
ในเวลานี้เอง
เป่ยเฉินอี้ก็เดินมาข้างกายนาง สีหน้าของเขาว้าวุ่น สายตาล้ำลึกยากหยั่งกลับแฝงไปด้วยความเจ็บลึกๆ อยู่หลายส่วน เอ่ยกับเยี่ยเม่ย “พวกเราไปคุยกันหน่อย”
“ได้!”
เยี่ยเม่ยตอบรับอย่างตรงไปตรงมา
นางรู้ดีว่าเป่ยเฉินอี้ต้องมาคุยกับนาง หนีอย่างไรก็ไม่พ้น หากดึงดันหลบเลี่ยง บางทีอาจยั่วโทสะของบุรุษเบื้องหน้านี้ ก่อให้เกิดผลลัพธ์เกินคาดได้ ดังนั้นเยี่ยเม่ยไม่คิดหลบหลีก
ชิงเกอเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน นำรถม้าเข้ามา
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า เยี่ยเม่ยจะเป็นองค์หญิงซีไปได้! คิดถึงวันนั้นตอนที่เขาขับรถม้า สาบานว่าหากเยี่ยเม่ยคือองค์หญิงซีเขา…เขาจะทำไมนะ
ไอ้หยา อายุก็มากปูนนี้แล้ว เขาจำอะไรไม่ได้อีก เขาไม่เคยสาบานอะไรมาก่อน ทั้งไม่เคยทำเรื่อง…
แต่ว่า เรื่องนี้เป็นจริงได้อย่างไรกันนะ…
พวกเขาทั้งหมดต่างก็คิดว่าองค์หญิงซีตายไปแล้ว ยามนี้จู่ๆ ก็มาบอกพวกเขาว่า นางยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งอยู่ต่อหน้าพวกเขามานานขนาดนี้ ส่วนพวกเขาเห็นใบหน้าที่เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนนั่น กลับจับพิรุธอะไรไม่ได้…
ชิงเกอเพียงรู้สึกว่า โลกใบนี้ออกจะมหัศจรรย์เกินไปหน่อยแล้ว
เป่ยเฉินอี้ขึ้นรถม้า เยี่ยเม่ยก็ติดตามขึ้นไปนั่งด้วยกันอย่างว่องไว ชิงเกอขับรถม้า เดินทางอย่างไม่ช้าไม่เร็วนัก
จวนอ๋องของเยี่ยเม่ยยังไม่เปิดใช้งาน นางพักที่จวนแม่ทัพที่ครั้งก่อนได้รับการแต่งตั้งเป็นการชั่วคราว
เยี่ยเม่ยไม่คิดเสียเวลากับเป่ยเฉินอี้นานเกินไป
ดังนั้นนางมองเขา เอ่ยปากว่า “ท่านมีอะไรอยากพูด ก็พูดมาเถอะ!”
แววตาของนางเย็นชา มองไม่เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึก
ไม่อาจเห็นความยินดีในกาลก่อนดังทุกครั้งยามที่นางพบเขาในวังอีก เป่ยเฉินอี้เห็นความเย็นชาของนาง พลันรู้สึกเจ็บใจเหมือนถูกมีดกรีด
ราวกับว่าเขาเคยมีสิ่งของล้ำค่าชิ้นหนึ่ง แต่ไม่จับเอาไว้ให้ดีซ้ำยังเหยียบย่ำมัน เมื่อของปรากฏต่อหน้าอีกครั้ง ก็หาใช่ของของเขาอีกต่อไป
“อาซี หลายปีนี้…” เป่ยเฉินอี้พูดออกมา พลางรู้สึกปวดหนึบที่ลำคอ ใช้สายตาสงสารมองนาง “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เขาคิดว่า คงจะไม่ดีอย่างแน่นอน
สี่ปีก่อนนางเป็นองค์หญิงที่ไร้ทุกข์ไร้กังวลผู้หนึ่ง สูญเสียฐานะสูงส่งไปภายในคืนเดียว สูญเสียชีวิตสมบูรณ์แบบไป รวมถึงสูญเสียญาติมิตร หนีออกจากวังหลวง ซ้ำยังตกแม่น้ำหมิง
วันเวลาสี่ปีที่ผ่านมาของนางจะอยู่อย่างสุขสบายได้หรือ
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ตัวนางในยามนี้เปลี่ยนไปเป็นคนเย็นชา ตัดสินใจเด็ดขาด ฝีมือโหดเ**้ยม ฆ่าคนอย่างไม่ไว้ไมตรี ก็พอให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปของนางในเวลาหลายปีนี้
การเปลี่ยนแปลงของคน ไม่อาจเป็นไปโดยไร้สาเหตุ
อีกทั้ง…
เป่ยเฉินอี้เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดคือความรับผิดชอบของเขา หากไม่ใช่เพราะเขา วันนี้นางยังคงเป็นองค์หญิงผู้ไร้กังวล เสพสุขกับความสูงศักดิ์หรูหราในราชสำนักจงเจิ้ง
เมื่อได้ยินคำถาม
เยี่ยเม่ยคล้ายได้ฟังเรื่องตลกมากเรื่องหนึ่ง นางแค่นหัวเราะมองเป่ยเฉินอี้ “อี้อ๋อง นี่นับว่าท่านเป็นห่วงข้าอย่างนั้นหรือ”
น้ำเสียงเย็นชา ไม่ปิดบังแววประชดประชัดเลยสักนิด ยิ่งทำให้เป่ยเฉินอี้เจ็บหัวใจ
“ข้ารู้ว่า ข้าไม่มีสิทธิ์เป็นห่วงเจ้า”
เป่ยเฉินอี้หลุบตาลงยามเอ่ยคำพูดประโยคนี้ ไม่รู้ว่าเขากำหมัดแน่นตั้งแต่เมื่อไร นางมีชีวิตอยู่ เขาก็ยังเจ็บใจเหมือนถูกมีดกรีด บางทีเห็นสภาพนางในยามนี้แล้ว เห็นความเจ็บแค้นที่ไม่ปิดบังในแววตาของนาง หัวใจเขาก็ยิ่งเจ็บปวด
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เสียดสีว่า “ท่านรู้ว่าท่านไม่มีสิทธิ์ห่วงใยข้าก็ดี อี้อ๋อง พวกเราสองคนหาใช่สหาย! ไม่เพียงไม่อาจเป็นสหายได้อีก ทั้งยังเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลก ดังนั้นคำพูดทักทายตามมารยาทเกินความจำเป็นกับความห่วงใยจอมปลอม ท่านก็ละเว้นไว้สักหน่อยเถอะ บอกเป้าหมายของท่านมาตามตรงจะดีกว่า!”
คำพูดใจดำอำมหิตของเยี่ยเม่ยทิ่มแทงจิตใจของเขาอีกครั้ง
เป่ยเฉินอี้กุมหน้าอก ไอแรงๆ สองสามคำ สะกดความรู้สึกเจ็บหัวใจที่ปะทุขึ้นมาเมื่อครู่ให้สงบลง เป่ยเฉินอี้ช้อนตาขึ้นมองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงแหบปร่าลงเล็กน้อย “อาซี เรื่องปีนั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดทั้งหมด ข้า…”
“ไม่ใช่ทั้งหมด แล้วเป็นแบบไหน” แววตาคมกริบประหนึ่งใบมีดของนางมองตรงไปที่ใบหน้าเขา
แววตานี้ราวกับสามารถทะลุเข้ากายเนื้อของคน ทำให้เป่ยเฉินอี้รู้สึกเจ็บอยู่ทุกครั้งไป
ส่วนเยี่ยเม่ยไม่รอให้เขาเอ่ยปาก ก็กล่าวต่อ “อี้อ๋อง ท่านอยากบอกว่าปีนั้นท่านเป็นเชลย ปรากฏตัวอยู่ในราชสำนักจงเจิ้งหาใช่เป็นแผนการที่วางไว้ทำร้ายเสด็จพ่อของข้า ไม่คิดแผนการทำลายราชสำนักจงเจิ้งของเราหรอกหรือ”
เป่ยเฉินอี้เงียบไป หาคำโต้แย้งไม่ได้
จากนั้นเยี่ยเม่ยก็เสริมต่อ “หรืออี้อ๋องอยากบอกว่า ปีนั้นท่านตีสนิทข้า คบหาข้าไม่ใช่เพื่อต้องการหลอกใช้ข้า หลอกใช้ความโปรดปรานที่เสด็จพ่อมีให้ข้า ให้ท่านทำเรื่องราวได้สะดวกมากขึ้นกัน”
เวลานี้สีหน้าเป่ยเฉินอี้ขาวซีดไปหมดแล้ว
เมื่อเห็นใบหน้าเปลี่ยนสีของเขา เยี่ยเม่ยหัวเราะเสียงเย็นคำหนึ่ง กล่าวต่อไป “หรือว่าท่านอยากบอกว่า การตายของเสด็จพ่อเสด็จแม่ รวมถึงน้องชายข้า ไม่ใช่แผนการที่ท่านวางไว้กับมือกัน”
“อาซี…ข้า…” เป่ยเฉินอี้อยากพูดอะไร ทว่าเข้าใจว่าต่อให้มีอีกร้อยปากก็ยากจะแก้ตัว สิ่งเล่านี้เขาเป็นคนก่อขึ้น หากมิใช่เพราะแผนการของเขา ราชสำนักจงเจิ้งก็ไม่มีวันตกต่ำมาถึงขั้นนี้
ญาติมิตรของเยี่ยเม่ยก็ไม่ต้องตาย
ความผิดที่ไม่อาจโต้แย้งได้เหล่านี้ ล้วนเป็นความจริง เป็นความผิดที่เขาก่อทั้งสิ้น
เห็นเขาทำท่าคล้ายจะเอ่ยอะไร แต่พูดไม่ออก เยี่ยเม่ยเพียงรู้สึกน่าขัน จ้องมองใบหน้าเป่ยเฉินอี้สั่งว่า “อย่าเรียกข้าว่าอาซี ท่านไม่คู่ควรเรียกข้าเช่นนี้!”
ยามนางเอ่ยประโยคนี้ ใบหน้าของเป่ยเฉินอี้ขาวโพลนราวกระดาษ กระทั่งเรียวนิ้วยังสั่นไหว หน้าอกคล้ายกระตุกขึ้นครั้งหนึ่ง เลือดสดๆ คำหนึ่งคล้ายจะกระอักออกมา แต่ถูกเขาสะกดเอาไว้ได้
ที่แท้เขาไม่เคยรู้เลย นางใช้คำพูดประโยคเดียวก็ทำให้เขาพ่ายแพ้หมดรูป เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เขาไม่เคยรู้เลยว่า ที่แท้เป่ยเฉินอี้ก็เป็นคนอ่อนแอผู้หนึ่ง
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ทั้งก้มหน้าลง “เจ้าพูดไม่ผิด ข้าไม่คู่ควรเรียกเจ้าว่าอาซี ข้าไม่คู่ควรได้รับการอภัยจากเจ้า ทั้งไม่กล้าขอร้องให้เจ้าอภัยให้ข้าด้วย!”