เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 92 เช่นนั้นก็ถือว่าเยี่ยนดึงดันขอให้ชดเชยแล้ว
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]
- ตอนที่ 92 เช่นนั้นก็ถือว่าเยี่ยนดึงดันขอให้ชดเชยแล้ว
“ชดเชยอย่างไร” เยี่ยเม่ยเบิกตากว้างมองเขา
ในใจเกิดความหวาดหวั่น ทันทีที่นางเอ่ยจบก็รู้สึกถึงมือของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่เลิกสาบเสื้อนางออก จากนั้นก็ดึงกางเกงนางลง
ยามนี้เยี่ยเม่ยสีหน้าซีดขาว สายตาสาดส่องไปรอบทิศ ตัวก็ถูกเขารวบเข้าไปในอก นางรีบปรามว่า “ท่านอย่าซุกซนเชียว ที่นี่มันกลางป่านะ!”
นางเอ่ยไปพลางใช้มือขวางเขาไว้ ที่คิดไม่ถึงก็คือหลังจากเยี่ยเม่ยเอ่ยจบ ไม่เพียงเขาไม่หยุดมือ กลับกระตือรือร้นมากขึ้นอีกด้วย
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก้มลงข้างหูนาง ค่อยๆ กล่าว “วางใจเถิด ไม่มีใครมาหรอก! เยี่ยนก็ไม่ยินยอมให้ผู้อื่นเห็นร่างกายเจ้า!”
เมื่อสิ้นเสียง เขาก็เริ่มหยอกเย้านาง
เยี่ยเม่ยหน้าแดงซ่านขึ้นในบัดดล นางรู้สึกตื่นเต้น มองไปรอบๆ ด้วยความตระหนก
ไม่ช้านางก็ถูกสัตว์ร้ายตัวนี้รุกราน
เยี่ยเม่ยจับสาบเสื้อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแน่น เอ่ยเสียงนิ่งเล็ดลอดจากไรฟัน “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ท่านทำเกินไปแล้ว!”
ใครจะรู้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่เพียงแต่ไม่ขอโทษ ซ้ำไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด กลับเอ่ยตอบว่า “ในเมื่อเป็นการชดเชยให้สามี แล้วจะเกินกว่าเหตุได้อย่างไร”
“ข้าไม่เคยเป็นฝ่ายเอ่ยว่าจะชดเชยให้ท่านเลย!” เยี่ยเม่ยหน้าคล้ำง้ำงอ ทว่าเสียงครางก็ยังสอดแทรกมาน้อยๆ อย่างเกินที่จะทนไหว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า เอ่ยด้วยเสียงสบายๆ “เช่นนั้นก็ถือว่าเยี่ยนดึงดันขอการชดเชยแล้วกัน!”
เยี่ยเม่ย “…”
ไฉนเขาถึงได้ไร้ยางอายขนาดนี้นะ
ให้ตายสิ!
กลางวันเปิดศึกในรถม้า ราตรีกรำศึกกลางป่าเขา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังสติดีอยู่ใช่ไหม คนโบราณอย่างเขาเปิดกว้างถึงขั้นนี้ถูกต้องแล้วจริงหรือ เยี่ยเม่ยรู้สึกอาลัยให้ตัวเองยิ่งนัก
“ท่าน…”
หลังจากผ่านไปสักพักนางซบลงบนไหล่เขา ถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนตรึงไว้กับต้นไม้ “ทางที่ดีท่านก็ทำเร็วหน่อย ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็เป็นข้างนอก!”
เขาได้ฟังแล้ว หัวเราะเสียงต่ำออกมา “เพราะว่าอยู่ข้างนอกถึงตื่นเต้นดี ไม่เช่นนั้นฮูหยินไม่คิดหรือว่าทำไมเยี่ยนไม่พาเจ้ากลับจวน”
มารดาท่านเถอะ !
เยี่ยเม่ยเกิดความอยากด่าว่าคนขึ้นมาแล้ว นางกลอกตามองท้องฟ้าอย่างสิ้นหวัง ปรารถนาว่าจะไม่มีใครผ่านมา !
เพราะว่าเยี่ยเม่ยเอาแต่กังวลว่าจะมีคนผ่านมา ดังนั้นครั้งนี้พวกเขาถึงตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ ทำเอานางเกือบสลบไปหลายครั้ง…
ตำหนักเขาหลิงซาน
เสินเซ่อเทียนนั่งอยู่บนหลังคา มองพระจันทร์กระจ่างบนฟ้า พรูลมหายใจออกมายาวๆ คำหนึ่ง
เฉิงเสี่ยวจวนที่อยู่ด้านข้างเปิดปากว่า “จวินซ่าง นี่ไม่รู้ว่าเป็นการถอนหายใจครั้งที่เท่าไรของท่านในวันนี้แล้ว ท่านเป็นอะไรกันแน่ ระยะนี้เอาแต่นั่งชมจันทร์บนหลังคา ถึงจะไม่เป็นอะไร แต่ว่า….”
การที่จวินซ่างขึ้นมานั่งชมจันทร์บนหลังคาทุกวันไม่เป็นอันใดก็จริง เพราะว่าจวินซ่างก็ชมชอบการชมจันทร์มาโดยตลอด
แต่ว่าเมื่อก่อนจวินซ่างไม่ได้มีท่าทางเช่นนี้เลยสักน้อยนี่นา
เมื่อก่อนยามจวินซ่างชมจันทร์จำเป็นต้องมีสุรารวมถึงอาหาร จวินซ่างเคยบอกว่าต้องมีของเหล่านี้ การชมจันทร์ถึงได้รสชาติเป็นมากพิเศษ
ไม่ผิด
ตอนนั้นจวินซ่างใช้คำว่า ‘ได้รสชาติ’ มาอธิบายการชมจันทร์
พวกจอมตะกละแตกต่างจากคนทั่วไป เฉิงเสี่ยวจวนเคยชินกับเรื่องนี้มานานแล้ว ดังนั้นคำอธิบายของจวินซ่างนางจึงไม่รู้สึกว่ามีที่ใดที่ไม่ถูกต้อง แต่ว่าระยะนี้จวินซ่างเปลี่ยนไปแล้ว
เขาเอาแต่ชมจันทร์โดยแท้จริง ไม่มีความอยากอาหาร ไม่คิดดื่มสุรา
หลายครั้งที่ฝ่าบาทส่งคนมาตามจวินซ่างไปร่วมงานเลี้ยง จวินซ่างตอบกลับไปว่าระยะนี้เขาไม่อยากอาหาร กินไม่ลง ขอให้ฝ่าบาทกินดื่มอย่างมีความสุข เรื่องนี้ไม่เข้ากับนิสัยของจวินซ่างเอาเสียเลย ทั้งทุกอย่างยังเกิดขึ้นหลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยแต่งงานกัน
เยี่ยเม่ยมีผลกระทบกับจวินซ่างมากขนาดนี้เชียวหรือ เฉิงเสี่ยวจวนที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่สัมผัสถึงรสชาติของความรักรู้สึกสงสัยยิ่งนัก!
ฝ่ายเสินเซ่อเทียนหาได้สนใจคำพูดห่วงใยประโยคนั้นของเฉิงเสี่ยวจวน
เขาถอนสายตากลับมามองเป่ยเจี้ยนเกอที่อยู่ด้านล่าง ค่อยๆ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขามว่า “เป่ยเจี้ยนเกอ วันนี้เป็นวันที่เท่าไรแล้ว”
เป่ยเจี้ยนเกอกระตุกมุมปาก เอ่ยว่า “วันที่หนึ่งร้อยแล้ว!”
“เฮ้อ!” เสินเซ่อเทียนถอนลมหายใจยาว กล่าวต่อว่า “หนึ่งร้อยวันแล้ว วันนี้คือวันที่ข้าอกหักครบหนึ่งร้อยวัน!”
เฉิงเสี่ยวจวน “…” มารดามันเถอะ จวินซ่าง ท่านยังให้เป่ยเจี้ยนเกอช่วยท่านนับด้วยหรือเนี่ย
เป่ยเจี้ยนเกอ “…!” จวินซ่างท่านน่าจะพอได้แล้ว พรุ่งนี้ข้าไม่อยากนับต่อไปอีกแล้ว ท่านไม่รู้สึกหรือว่าการทำเช่นนี้น่าเบื่อมาก?
เอาแต่นับวันได้ประโยชน์อันใด
หลังจากเฉิงเสี่ยวจวนนิ่งเงียบไปสักพัก ก็เอ่ยปากว่า “จวินซ่าง ท่านจะกลับมาร่าเริงได้อีกครั้งเมื่อไรกัน”
อืม ถึงแม้ระยะนี้จวินซ่างจะไม่หมดอาลัยตายอยาก เรื่องที่สมควรใส่ใจก็ยังให้ความใส่ใจอยู่ แต่ว่าระยะหลังจวินซ่างแปลกไปจริงๆ เฉิงเสี่ยวจวนไม่ชินเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นนางหวังเหลือเกินว่าจวินซ่างของนางจะร่าเริงขึ้นมาได้โดยไว
เสินเซ่อเทียนมองนางคราหนึ่ง ถามว่า “ช่วงนี้ข้าดูซึมเศร้ามากหรือ”
เป่ยเจี้ยนเกอตอบ “ความจริงก็ไม่ใช่ แค่ผิดปกติมาก”
เสินเซ่อเทียนพยักหน้า ไม่พูดต่อ เพียงเอ่ยถามว่า “วันนี้มีเรื่องอะไรใหม่ๆ บ้าง”
เป่ยเจี้ยนเกอเข้าใจแล้ว นี่ย่อมถามถึงเรื่องในท้องพระโรง
เป่ยเจี้ยนเกอรายงาน “วันนี้เป่ยเฉินอี้จัดงานเลี้ยง จ้าวเยว่กับเฉินควนเกิดทะเลาะกันขึ้นเพราะสตรีนางหนึ่งในงานเลี้ยง สตรีนางนั้นคล้ายจะเป็นฮูหยินของเฉินควน คนทั้งสองต่อยตีกันอย่างหนักหน่วง ภายหลังไม่รู้เพราะอะไรข่าวนี้แพร่ไปถึงค่ายทหาร ทหารทั้งสองฝ่ายก็ทะเลาะกันขึ้นมา…สุดท้ายมีคนบาดเจ็บจำนวนมาก!”
แต่ว่าอยู่เบื้องหน้าจวินซ่าง นอกจากว่าวันนี้มีคนบุกทำลายวังหลวง ส่งผลให้ชีวิตฮ่องเต้ตกอยู่ในอันตราย จึงถือเป็นเรื่องที่คุ้มค่าพอให้หยิบยกขึ้นมา ดังนั้นเป่ยเจี้ยนเกอจึงไม่รายงานเรื่องนี้ในทันที เพราะว่าเรื่องเล็กเช่นนี้ ฮ่องเต้ทรงจัดการได้
เสินเซ่อเทียนเลิกคิ้วถาม “จากนั้นเล่า”
เป่ยเจี้ยนเกอรายงานต่อ “เป่ยเฉินอี้ฉวยโอกาสนี้บีบให้ฝ่าบาททรงมอบตราคุมกำลังทหารรักษาเมืองออกมา ถึงแม้เหล่าขุนนางต่างเห็นด้วย สนับสนุนเป่ยเฉินอี้ ฝ่าบาทย่อมไม่มีทางมอบให้เขา ในเวลานั้นเยี่ยเม่ยก็โผล่ออกมา สุดท้ายฝ่าบาทจึงมอบตราคุมทัพให้นางไปเสีย!”
“มอบให้เยี่ยเม่ยไปแล้ว?” แววตาเสินเซ่อเทียนฉายแววครุ่นคิด
เป่ยเจี้ยนเกอเอ่ยปากตอบ “ถูกต้อง! ดูท่าเป่ยเฉินอี้คงคิดไม่ถึง ตอนนั้นเขาโมโหเสียหน้าเปลี่ยนสีสะบัดแขนเสื้อจากไป เยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังแสดงออกว่าภายหน้าจะช่วยสนับสนุนองค์ชายใหญ่อีกด้วย! แต่ว่าจวินซ่าง พูดตามความจริงแล้วข้าไม่เข้าใจเลย องค์ชายใหญ่มีคุณธรรมความสามารถอันใดกันแน่ องค์ชายสี่ถึงกับยอมอุ้มชูเขา!”
เป่ยเจี้ยนเกอและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต่างก็เติบโตขึ้นมากับเสินเซ่อเทียน ดังนั้นจึงค่อนข้างเข้าใจเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาก ครั้นได้ยินว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสนับสนุนเป่ยเฉินเสียง เขาได้แต่เสียดายแทนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
สีหน้าของเสินเซ่อเทียนกลับยิ่งสงบลงแฝงไปด้วยความสงสัยหลายส่วน “เขาบอกว่าจะช่วยสนับสนุนเป่ยเฉินเสียงจริงหรือ”