เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 93 ความสงสัยของเสินเซ่อเทียน
“ถูกต้อง!” เป่ยเจี้ยนเกอรีบพยักหน้าตอบ
เสินเซ่อเทียนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ใช่คนนิสัยเช่นนี้!”
“เขาย่อมมิใช่คนเช่นนี้อยู่แล้ว!” เป่ยเจี้ยนเกอเบ้ปาก ส่ายหน้ากล่าวว่า “ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นว่าเขาไม่ใช่คนเช่นนี้ แต่ว่านี่คือการตัดสินใจของเยี่ยเม่ย ท่านก็รู้…สตรีผู้นั้นสามารถทำให้คนลุ่มหลงงมงาย ไม่เพียงแค่ท่านที่เอาแต่นั่งนับวันอกหักอยู่ที่นี่ กูเยว่อู๋เหินก็กลับหมู่ตึกกูเยว่ไปแล้ว ระยะนี้ได้ยินว่าเก็บตัวฝึกวิชาไม่ออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียวมาสามเดือนแล้ว”
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ เป่ยเจี้ยนเกอกล่าวสรุป “ดังนั้นในเมื่อเยี่ยเม่ยตัดสินใจแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะคัดค้านได้อย่างไรกัน สตรีของเขาเอ่ยอย่างไรเขาก็ทำเช่นนั้น หลังจากฝ่าบาททรงมอบตราคุมทัพให้นาง เยี่ยเม่ยก็บอกว่าจะร่วมกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจงรักภักดีต่ออีกฝ่าย สนับสนุนองค์ชายใหญ่ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไม่คัดค้าน!”
เสินเซ่อเทียนแววตาสงบลง ทว่ายังคงรู้สึกว่าเรื่องนี้มิได้ง่ายดายเช่นนั้น เขาเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ก่อนหน้านี้เยี่ยเม่ยเคยบอกกับข้าว่านางต้องการมีอำนาจ แต่ว่าหากคิดมีอำนาจ สนับสนุนเป่ยเฉินเสียงหาได้สร้างประโยชน์อันใด นอกเสียจากนางทำไปเพื่อเอาใจฝ่าบาท ทำให้พระองค์เชื่อใจนาง…ในมือนางก็มีกำลังทหารแล้ว เป็นถึงเหอซั่วอ๋อง ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทอีก เช่นนั้นสิ่งที่นางต้องการนั้นคืออะไรกันแน่”
ว่ากันตามหลักแล้ว ฐานะของเยี่ยเม่ยก็นับว่าอยู่ในจุดสูงสุดของขุนนางแล้ว ต่อให้เป็นเสนาบดีก็ไม่มีกำลังทหารมากเท่านี้ ต่อให้เสนาบดีพบนางยังต้องเรียกนางด้วยความเคารพว่าเหอซั่วอ๋องหรือว่าพระชายาองค์ชายสี่ด้วยซ้ำ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็น่าจะรู้จักพอได้แล้ว
แต่ว่าหลังจากได้รับกำลังทหารสี่แสน มีฐานะสูงส่งเช่นนี้แล้วนางยังแสดงออกว่าจะจงรักภักดี ทำไปเพื่อหวังความโปรดปรานจากฝ่าบาทหรือว่ายังมีเป้าหมายอื่นกันแน่
เป่ยเจี้ยนเกอได้ฟังคำนี้ก็อึ้งไปเล็กน้อย “ท่านพูดก็ถูก เรื่องนี้…” เหมือนจะไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น ทำไมฟังแล้วรู้สึกแปลกอยู่บ้าง
เฉิงเสี่ยวจวนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยสอดขึ้นว่า “เช่นนั้น…จวินซ่าง ท่านคิดจะทำอย่างไร”
ถึงเรื่องนี้จะแปลกมาก แต่ก็ไม่อาจทำให้จวินซ่างระแวงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยกระมัง ไม่ว่าอย่างไรคนหนึ่งก็เป็นสตรีที่จวินซ่างชอบ อีกคนก็เป็นลูกศิษย์ที่จวินซ่างสั่งสอนมาด้วยตนเอง หากให้จวินซ่างคอยป้องกันพวกเขา ก็คล้ายกับว่า…จะพูดได้ยากอยู่บ้าง
เพียงแต่ในใจของจวินซ่าง ความปลอดภัยของราชสำนักเป่ยเฉินถึงเป็นเรื่องอันดับแรกนี่นา
เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว เขาเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็มองเป่ยเจี้ยนเกอเอ่ยปากว่า “พรุ่งนี้ไปตามเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาพบข้า!”
“หา” เป่ยเจี้ยนเกอตะลึงเล็กน้อย เอ่ยยถามว่า “จวินซ่าง องค์ชายสี่จะมาหรือ”
หากอยากพบองค์ชายสี่ จวินซ่างไปหาเขาเองน่าจะดีกว่า
ให้ไปเชิญเป่ยเฉินเสียเยี่ยนขึ้นเขามา ด้วยนิสัยของคนผู้นั้นแล้วบอกได้ยากว่าจะมาหรือไม่
เสินเซ่อเทียนลุกขึ้นอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร ตอบนิ่งๆ ว่า “หากเขาพอรู้ขอบเขตอยู่บ้าง อยากปกป้องเยี่ยเม่ยจริงๆ ต้องไว้หน้าข้าอย่างแน่นอน!”
ครั้นเอ่ยจบ เสินเซ่อเทียนก็กระโดดลงจากหลังคากลับเข้าห้อง
ถึงเป่ยเจี้ยนเกอจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็รับคำสั่งของเสินเซ่อเทียน
……
จวนอี้อ๋อง
เซียวชินนั่งอยู่เบื้องหน้าเป่ยเฉินอี้จับชีพจรให้เขา ในขณะเดียวกันก็เอ่ยว่า “ได้ยินว่า วันนี้อี้อ๋องทำเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งหรือ”
ช่วงนี้เซียวชินพักอาศัยอยู่ในจวนอี้อ๋อง คนที่เคยเป็นจั่วอี้อ๋องของต้ามั่วย่อมมีความรู้สึกไวเรื่องการเมืองเป็นพิเศษ เห็นสีหน้าต่างๆ นานาของ เป่ยเฉินอี้ เขาก็รู้ว่าเป่ยเฉินอี้คิดทำอะไร
กอปรกับเคยสนทนากับเป่ยเฉินอี้หลายครั้ง เป่ยเฉินอี้ไม่เคยปิดบังปัญหาเรื่องความรักกับเซียวชิน ไม่เพียงเท่านั้นยังคล้ายกับสหายรู้ใจ เซียวชินถามอันใดก็เล่าให้ฟังทุกสิ่ง บางครั้งยังเป็นฝ่ายชวนเซียวชินสนทนาก่อนด้วย
ดังนั้นการที่เป่ยเฉินอี้คิดช่วยเยี่ยเม่ย เซียวชินย่อมรู้
เป่ยเฉินอี้กวาดตามองเขา มุมปากเหยียดออกเล็กน้อย เอ่ยเสียงขรึม “ในเมื่อรู้แล้ว เหตุใดยังต้องถามอีก”
“แต่อี้อ๋องก็คงเข้าใจว่าหลังจากเรื่องในวันนี้แล้ว ฮ่องเต้ต้องเกลียดท่านเข้ากระดูกอย่างแน่นอน!” เซียวชินผู้เป็นคนนอกวิเคราะห์สถานการณ์ออกมา
เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ แผนของเป่ยเฉินอี้สำเร็จลุล่วง ทำให้เยี่ยเม่ยได้รับตราคุมทหารรักษาเมืองไว้ได้
และยังทำให้ฮ่องเต้มีความไว้วางใจเยี่ยเม่ย ในขณะเดียวกันก็แสดงความระแวงที่ฮ่องเต้มีต่อเป่ยเฉินอี้ได้อย่างชัดเจน! ดังนั้นฮ่องเต้ต้องเข้าใจว่า ตั้งแต่ต้นเรื่องทั้งหมดเป็นสถานการณ์จัดฉากขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการเชิญขุนนางบุ๋นบู๊ไปงานเลี้ยง หรือว่าจะเป็นเรื่องแม่ทัพทั้งสองทะเลาะกัน ล้วนแล้วแต่เป็นแผนการของเป่ยเฉินอี้ทั้งสิ้น
เป้าหมายก็เพื่อกล่าวโทษฮ่องเต้ในท้องพระโรงว่าไม่รู้จักใช้คน ด้วยคำพูดรุนแรงเช่นนี้ ฮ่องเต้รู้สึกว่าถูกดูหมิ่นอย่างรุนแรง คิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้ เป่ยเฉินอี้ทำไปเพื่อแย่งชิงอำนาจทางทหาร เช่นนั้น…ฮ่องเต้ย่อมเกิดความคิดจะสังหารเป่ยเฉินอี้อีกแน่!
เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วกลับไม่คัดค้าน ยิ้มอ่อนกล่าวว่า “แต่ไหนแต่ไรเสด็จพี่ก็เกลียดข้าเข้ากระดูกอยู่แล้ว มิใช่หรือ”
เซียวชินส่ายหน้า “ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ว่าหลังจากยกเลิกการกักบริเวณ ปล่อยท่านออกจากจวนอีกครั้ง เสด็จพี่ของท่านก็ไม่ได้ลงมือกับท่านอีก บางทีอาจเป็นเพราะไม่รู้จะลงมืออย่างไร หรือว่ากลัวจะยั่วโทสะท่านพาลทำให้เรื่องไม่อาจคลี่คลายได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังนับว่าเขาปล่อยให้ท่านมีอิสระ เลิกควบคุมท่าน แต่หลังจากเรื่องในวันนี้…”
เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว กลับหัวเราะเอ่ยว่า “หลังจากเรื่องในวันนี้ เสด็จพี่อาจจะส่งคนมาลอบสังหารข้าใช่ไหม”
“แน่นอน!” เซียวชินพยักหน้า จากนั้นเสริมขึ้นอีก “เรื่องนี้เป็นไปได้ที่กษัตริย์แห่งแคว้นจะกระทำ! อี้อ๋องไม่กังวลเลยสักนิดหรือ”
เป่ยเฉินอี้ไม่ปฏิเสธ มองเซียวชินที่ตรวจชีพจรเสร็จแล้ว เป่ยเฉินอี้ถอนมือกลับมา กล่าวต่อ “ส่งคนมาลอบสังหารข้า จะส่งใครได้ เสินเซ่อเทียนเป็นคนยโส ต่อให้คิดสังหารข้า ก็ต้องทำอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นเขาต้องไม่ลอบสังหารแน่ ส่วนคนอื่นๆ…คิดว่ามาจนถึงวันนี้หมอปีศาจคงมองออกแล้ว ร่างกายของข้าหายแล้ว ยังมีใครลอบสังหารข้าได้อีก”
เซียวชินพยักหน้า คลี่ยิ้มออก “ที่ท่านพูดก็ถูก ไม่ว่าท่านก็ดี เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ช่าง คนที่สามารถเทียบวรยุทธ์สูงต่ำกับพวกท่านก็มีแต่เสินเซ่อเทียนเท่านั้น วันนี้เขาไม่ยินยอมกระทำเรื่องลอบสังหาร แต่ระหว่างพวกท่านช้าเร็วก็ต้องเผชิญหน้ากัน ด้วยสติปัญญาของเสินเซ่อเทียนไม่มีทางไม่รู้เรื่องที่พวกท่านจะทำแน่ ดังนั้นหลังจากนี้อี้อ๋องต้องระวังไว้ให้มาก!”
เป่ยเฉินอี้ยิ้มมองเขา “หมอปีศาจคิดว่าจะแสดงความห่วงใยข้าสักหน่อยก่อนจากไปอย่างนั้นหรือ”
“สมกับเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งของใต้หล้า อี้อ๋องคงรู้แล้วว่าวันนี้ข้าจะขอลาจากไป ข้าจะต้องไปแล้ว ร่างกายของท่านหายดี เรื่องที่รับปากท่านข้าก็ทำสำเร็จลุล่วง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าย่อมจากไปเสียที!”
เซียวชินกล่าวต่อว่า “ส่วนที่เป็นการห่วงใยท่านหรือไม่…พูดตามตรงแล้ว ความเห็นใจก็เป็นความรู้สึกของมนุษย์ ดังนั้นข้าแค่เห็นใจท่านเท่านั้น”