เศรษฐีผู้ร่ำรวย:เริ่มจากการได้รับซองแดง 7 พันล้านซอง - ตอนที่ 167 : เสียใจ
ในสถานที่จัดงาน มีผู้คนพลุกพล่านอยู่มากมาย ทุกคนดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
ต่างคนต่างเดินคุยกันเพราะไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้เป็นเพื่อนกับคนอื่นๆในงาน
เนื่องจากท้ายที่สุดแล้ว โอกาสดีๆแบบนี้ก็หายากมากจริงๆ
ผ่านไปไม่นาน ทุกคนก็หาที่นั่งและค่อยๆนั่งลง
“ตึก!”
ในเวลานี้ ชายในชุดสูทที่มีรูปร่างกลางๆไม่อ้วนไม่ผอม ค่อยๆเดินขึ้นมาบนเวทีอย่างช้าๆ
“ยินดีต้อนรับทุกท่านจากทั่วประเทศ และขอขอบคุณที่อุตส่าห์เดินทางไกลเพื่อมาร่วมการประชุมอินเทอร์เน็ตในครั้งนี้…”
ชายในชุดสูทกล่าวเปิดงานบนเวทีอย่างตั้งใจ
แต่ดูเหมือนเขาจะเห็นว่าทุกคนไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาพูดมากนัก
เขาเลยรีบเข้าเรื่อง
“คงมีบางคนที่อาจจะยังไม่รู้… ว่าทศวรรษที่แล้ว ประธานต้าหม่าแห่งอารีย์กรุ๊ปและประธานเสี่ยวหม่าแห่งเพนกวินกรุ๊ปก็เคยมาเข้าร่วมการประชุมอินเทอร์เน็ตแบบนี้ด้วย และในตอนนั้น ทั้งสองก็พูดคุยกันเรื่องอินเทอร์เน็ตอยู่บนเวทีแห่งนี้เป็นเวลานาน”
“ซึ่งในวันนี้ พวกเราก็โชคดีอย่างมากที่ได้มีแขกรับเชิญอย่างประธานแห่งอารีย์กรุ๊ปและประธานแห่งเพนกวินกรุ๊ปกลับมาเข้าร่วมอีกครั้ง พวกเขาจะพูดอะไรในวันนี้ ขอเชิญท่านทั้งสองท่านขึ้นมาบนเวทีได้เลยครับ”
“เปาะเแปะเปาะเแปะ!”
ทันใดนั้น ทั้งสถานที่จัดงานก็มีเสียงปรบมือขึ้นมาอย่างดัง
สิ่งนี้บ่งบอกได้ว่าทั้งต้าหม่าและเสี่ยวหม่าเป็นบุคคลในตำนานอย่างแท้จริง
มีหลายคนที่เลือกทำงานด้านอุตสาหกรรมทางอินเทอร์เน็ตเพียงเพราะชื่นชมในตัวของพวกเขา
ซึ่งตอนนี้ ไอดอลของพวกเขาก็กำลังจะขึ้นมาพูดบนเวทีแล้ว พวกเขาจึงรู้สึกยินดีอย่างมาก
ผู้คนจำนวนมากต้องการให้ต้าหม่าและเสี่ยวหม่าชื่นชอบในตัวของพวกเขา เพราะต้องการให้พวกเขามาลงทุนในบริษัทของตนเอง
ซึ่งเสียงปรบมือก็อาจสร้างความประทับใจได้ไม่มากก็น้อย และแน่นอนว่ายิ่งปรบมือได้ดังเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น
ท่ามกลางการต้อนรับของทุกคน ต้าหม่าและเสี่ยวหม่าก็ก้าวขึ้นไปบนเวที
ต้าหม่าพูดขึ้นก่อน “สิ่งที่เจ้าภาพของงานพูดนั้นถูกต้อง คุณเสี่ยวหม่ากับฉันเคยยืนบนเวทีด้วยกันเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วจริงๆ และก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็ยิ้มและพูดต่อ”แต่อย่างไรก็ตาม มันมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ถูกต้อง ในตอนนั้น เสี่ยวหม่ากับฉันเป็นเพียงแค่มือใหม่ในโลกของอินเทอร์เน็ตเท่านั้น พวกเราเลยไม่มีโอกาสที่จะได้พูดอยู่บนเวทีนานเท่าสักไหร่ เพราะพวกเราพูดได้เพียงไม่กี่คำก็ถูกผลักไสแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”
หลังจากจบประโยคนี้ ผู้คนที่อยู่ในงานก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาทันที
แต่ต้องรู้ว่า ต้าหม่ากลายเป็นประธานกลุ่มใหญ่ของอุตสาหกรรมทางอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันแล้ว
คำพูดของเขาเพียงไม่กี่คำก็สามารถทำให้การประชุมทางอินเทอร์เน็ตที่จริงจังผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก
เสี่ยวหม่าเริ่มพูดบ้าง “ต้าหม่าพูดถูก ถ้าฉันจำไม่ผิดก็น่าจะแค่สี่ประโยคเองมั้งที่พูดในตอนนั้น และพอลงจากเวทีพวกเราก็ทำได้แค่โชว์หน้าโชว์ตาเฉยๆด้วย ”
“จากนั้นพวกเราก็ใช้เวลานานเป็นสิบปี กว่าจะมาถึงในจุดที่เราอยู่ตอนนี้… ดังนั้น การประชุมทางอินเทอร์เน็ตจึงถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ดีอย่างมาก”
“วันนี้ถ้ามีโอกาสขึ้นมาพูด มีโอกาสแสดงใบหน้า…ก็มีโอกาสเป็บแบบพวกเราในอนาคตอย่างแน่นอน…”
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่บนเวทีสักพักแล้วก็กำลังเตรียมที่จะลงจากเวที
“ตึกตึกตึก!”
ตอนนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าที่ค่อนข้างเร็วมาจากไกลๆ
และหลินฟานก็ค่อยๆเดินเข้ามาจากข้างนอก
ซึ่งเมื่อเห็น…
ดวงตาของต้าหม่ากับเสี่ยวหม่าก็เป็นประกายทันที
พวกเขามีความสงสัยอยู่ตลอดเกี่ยวกับบุคคลคนนี้ที่ซื้อหุ้นของบริษัทไป 5%
พวกเขาอยากเจอคนคนนนี้มานานแล้ว
จากนั้น ต้าหม่ากับเสี่ยวหม่าก็เดินเข้าไปด้วยกัน พวกเขาริเริ่มยื่นมือออกไปพร้อมกับยิ้มมุมปากและพูดว่า “สวัสดีคุณหลิน”
ฉากนี้……
อยู่ในสายตาของทุกคนในสถานที่จัดงาน
ทุกคนต่างประหลาดใจและแอบสงสัยในตัวตนของหลินฟาน
เขาได้รับการต้อนรับจากนักธุรกิจอินเทอร์เน็ตผู้โด่งดังทั้งสองคนพร้อมกันเลยหรอ แถมเขายังดูเด็กมากอีกด้วย?
ใครกันนะ…
จริงๆแล้วนี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
เพราะอย่างไรก็ตาม ประธานเสี่ยวหม่าถือหุ้นของบริษัทอยู่ 8% และหลินฟานก็มีอยู่ 5% ทำให้เขากลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับสามนั่นเอง!
ส่วนประธานต้าหม่ามีหุ้นอยู่ 4.8% ในบริษัทของเขาเท่านั้น แต่หลินฟานนั้นถือหุ้น 5% จากมุมมองนี้ หลินฟานคือผู้ถือหุ้นที่ถือมากกว่าประธานต้าหม่าและเป็นถึงผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับสองของบริษัทด้วย
หลักการที่หลินฟานยึดถือมาโดยตลอดก็คือเขาจะปฏิบัติตัวดีก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนดี
และตอนนี้ ประธานต้าหม่ากับประธานเสี่ยวหม่าก็เป็นคนเข้ามาทักทายและริเริ่มที่จะจับมือกับตัวของเขา
ดังนั้น เขาจะต้องไม่หยาบคาย
หลินฟานจึงค่อยๆยื่นมือซ้ายและมือขวาออกไปจับมือของประธานต้าหม่าและประธานเสี่ยวหม่า
ทันใดนั้น เฉียวชีหยาซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังก็ได้เห็นหลินฟานจับมือกับทั้งสองคนเข้าพอดี
ฉากนี้ทำให้ดวงตาที่กลมใสของเธอขาวเหมือนกับว่าเห็นผี
ตัวตนของต้าหม่าและเสี่ยวหม่าคืออะไร?
พวกเขาคือผู้นำในอุตสาหกรรมเครือข่ายของจีน และเป็นมหาเศรษฐีที่มีมูลค่ารวมกว่าแสนล้านดอลลาร์!
ทำไมพวกเขาถึงเดินมาพบกับหลินฟานและจับมือกับเขากันนะ?
ต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ?
จากนั้น เฉียวชีหยาก็นึกถึงตอนที่นัดบอดและพบกันกับหลินฟานครั้งแรก เธอจำได้ว่าตอนนั้นเขาขับลัมโบร์กีนีและเขาก็กล่าวว่ามันเป็นรถของเขา แต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นรถที่ถูกเช่ามา
เมื่อตอนพบกันครั้งที่สองที่เหลียนเจีย หลินฟานก็ถือใบรับรองอสังหาริมทรัพย์จำนวนหนึ่งของคฤหาสน์ว่านเจียอยู่ และหลินฟานก็กล่าวว่านี่คือบ้านของเขา แต่เธอก็รู้ว่าเขาเป็แค่ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น
เมื่อตอนพบกันครั้งที่สามที่หน้าปานหลงวิลล่า หลินฟานก็บอกว่าบ้านเขาอยู่ในวิลล่าแห่งนี้… แต่เธอก็รู้ว่าเขาแค่กำลังคุยโวโอ้อวดเฉยๆ
แต่ตอนนี้ ประธานต้าหม่ากับประธานเสี่ยวหม่าต่างก็ปฏิบัติตัวต่อเขาด้วยความสุภาพ…
บางที หรือว่า… สิ่งที่หลินฟานพูดจะเป็นความจริง?
ไม่นะ…
ความเสียใจ!
ฉันต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่!
ตอนนี้ กระแสน้ำแห่งความบ้าคลั่งกำลังไหลท่วมท้นอยู่ในหัวใจของเฉียวชีหยา
ความโศกเศร้าได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเธอ
ถ้าตอนที่นัดบอดตอนนั้นฉันทำตัวดีๆกับหลินฟาน ฉันก็คงไม่ต้องมาทำงานหนักแบบนี้แล้วแท้ๆ
ฉันคงจะได้ขับรถหรู อาศัยอยู่ในวิลล่า และสามารถจับมือทักทายกับประธานต้าหม่าและประธานเสี่ยวหม่าได้อย่างสง่าผ่าเผย
“ชีหยา เธอคือคนต่อไปนะ เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ” ชายหัวล้านข้างๆเธอเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
แต่อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เฉียวชีหยากำลังเต็มไปด้วยความเสียใจและความโศกเศร้า เธอจึงไม่ได้ยินคำพูดของชายหัวโล้นเลย
ในขณะเดียวกัน ชายหน้ากลมที่ยืนอยู่บนเวทีก็พูดขึ้น “ขอบคุณทุกคนนะครับ”
“เปาะแปะเปาะแปะ!”
เสียงปรบมือดังลั่นขึ้นมา
ซึ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวชีหยายังนั่งอยู่ในที่นั่ง ชายหัวล้านก็เลยผลักไหล่เธอและพูดว่า “ทำไมเธอถึงยังนั่งอยู่ล่ะ ถึงตาของเธอที่จะต้องขึ้นไปพูดแล้วนะ”
เฉียวชีหยาเริ่มรู้สึกตัว แต่ท่าทางของเธอนั้นเหมือนคนที่ไม่มีเรี่ยวแรงเลย
พิธีกรพูดต่อ “คนต่อไปที่จะขึ้นมาบนเวทีแห่งนี้ก็คือ เฉียวชีหยาโฆษกของคาโมซอฟต์”
แต่ตอนนี้ เฉียวชีหยาเหมือนกับคนตายเดินได้ เธอใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะเดินขึ้นไปบนเวที
และเมื่อเธอมองลงไป เธอก็เห็นว่าหลินฟานกำลังนั่งอยู่แถวแรกกับต้าหม่าและเสี่ยวหม่าอย่างไกล้ชิด
ฉากนี้ทำให้ความโศกเศร้าในใจของเธอทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก
และเนื่องจากมีบางอย่างกวนใจของเฉียวชีหยา เธอจึงไม่มีสมาธิกับการพูดโปรโมทเลย
เธอพูดอย่างตะกุกตะกัก
พูดข้อมูลแบบผิดๆ
และเมื่อเธอก้าวลงจากเวที หากไม่ใช่เพราะความงามของเธอ ก็คงไม่มีเสียงปรบมือแม้แต่นิดเดียว