เศรษฐีผู้ร่ำรวย:เริ่มจากการได้รับซองแดง 7 พันล้านซอง - ตอนที่ 195 : โรงแรมเอ็มเพอเรอร์
วันถัดไป
หลินฟานมาที่ห้องเรียนตามปกติ
แต่เมื่อเสียงกริ่งของชั้นเรียนดังขึ้น เขาก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศในห้องเรียนวันนี้นั้นแตกต่างออกไปจากเดิม
หลินฟานจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “วันนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”
“มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ?” หม่าจงงงงวย
จากนั้น ซงหยี่ที่อยู่ข้างๆเขาก็พูดว่า “ฉันรู้นะว่าพี่ฟานกำลังหมายถึงอะไร… ที่บรรยากาศในห้องเรียนมันแปลกไป นั่นเป็นเพราะตอนนี้พวกเราทุกคนไม่มีใครอยากเล่นกับผานเฉินเลย”
เจิ้งจินเป่าที่อยู่ข้างๆพูดเสริม “นั่นคือสิ่งที่คนอย่างมันสมควรได้รับแล้ว เพื่อที่จะเอาใจเกาเจิ้นโป มันถึงกับยอมขายเพื่อนร่วมห้องของเรา ซึ่งมันก็ถือว่าเป็นความอัปยศของชั้นเรียนอย่างยิ่ง!”
ซงหยี่กล่าวว่า “ใช่! นอกจากนี้ ฉันได้รู้เรื่องที่ครอบครัวของเกาเจี้ยนโปนั้นล้มละลายแล้วด้วย และในชั้นเรียนก็ไม่มีใครต้องการที่จะพูดกับผานเฉิน ตอนนี้มันทำได้แค่นั่งจ๋อยอยู่ในห้องเรียนคนเดียวเท่านั้น ฉันล่ะอยากจะหัวเราะเยาะมันจริงๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
“ฉันรู้สึกดีมากเลยที่เห็นมันเป็นอย่างนี้! นี่สินะที่เขาพูดกันว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง!” เจิ้งจินเป่ากล่าวอย่างมีความสุข
สาเหตุที่หลินฟานนั้นรู้สึกว่าชั้นเรียนในวันนี้แตกต่างไปจากเดิมก็เพราะ
ก่อนหน้านั้น…
ปกติทุกคาบเรียน ผานเฉินจะนั่งในแถวแรกและเป็นคนบอกให้นักศึกษาทำความเคารพ
แต่ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะไม่ได้ยินผานเฉินพูดแบบนั้นเลย
หลินฟานจึงมองไปที่แถวแรก ซึ่งเขาก็ไม่เห็นว่าผานเฉินนั่งอยู่
จากนั้น หลินฟานจึงหันไปมองที่ด้านข้าง และเขาก็พบว่าผานเฉินนั่งเหงาอยู่คนเดียวตรงมุมห้อง
เกี่ยวกับเรื่องนี้…
หลินฟานไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจเลยเหมือนกัน เนื่องจากเขาเลือกที่จะทำแบบนั้นเอง เขาจึงต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เขากระทำลงไป!
ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลินฟานนั้น กิน นอน เรียน… ชีวิตของเขาผ่อนคลายและสบายมาก
ซึ่งการลงชื่อเข้าใช้และการเปิดซองแดงในช่วงที่ผ่านมาก็ล้วนแต่ได้เงินทั้งนั้น
ทำให้ตอนนี้เงินทั้งหมดของเขามีถึง 4.586 พันล้านหยวนแล้ว!
…
ชั้น 25 ชุมชนยี่เกอ
เนื่องจากใกล้ถึงวันปีใหม่ ร้านที่บ้านของหวงหลิงจึงเริ่มคึกคัก
ดังนั้นเธอจึงกลับไปช่วยงานที่บ้านเมื่อสองวันก่อน
ในเวลานี้เลยมีแค่หลินฟานกับฉิวจือเฉียนในห้องขนาด 178 ตารางฟุตเพียงสองคนเท่านั้น
หลินฟานนั่งที่โต๊ะอาหารและกินอาหารที่ฉิวจือเฉียนเป็นคนทำ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน
ซึ่งหลังจากกินอาหารเสร็จ หลินฟานกับฉิวจือเฉียนก็กอดกันและดูรายการทีวีอย่างสบาย ๆ
ในเวลานี้ ฉิวจือเฉียนถามด้วยรอยยิ้ม “คุณแฟน อยากกินขนมนำเข้าไหม?”
ขนมนำเข้า?
เธอไปซื้อมาตอนไหนกัน?
อย่างไรก็ตาม หลินฟานก็ตอบว่า “อยากสิ”
จากนั้น ฉิวจือเฉียนก็นำขนมเข้าปากของเธอแล้วขยับหัวของเธอไปไว้ข้างหน้าของหลินฟาน
“ฟึ้บ!”
ไม่กี่วินาทีต่อมา ฉิวจือเฉียนก็ขยับปากกับลิ้นของเธอช้าๆ
ซึ่งหลินฟานก็รู้สึกถึงความหวานในปากของเขาและยิ้ม “ลูกอมนำเข้านี่อร่อยมากเลย มีขนมนำเข้าอย่างอื่นอีกมั้ย?”
เป็นอีกคืนที่ความเงียบสงบได้ถูกทำลาย
…
อาคารทั้งหลังของชุมชนยี่เกอสั่นสะเทือนอย่างกับเกิดแผ่นดินไหว
…
วันถัดไป.
เมื่อหลินฟานตื่นขึ้นมา เขาก็ไม่เห็นว่าฉิวจือเฉียนนอนอยู่ข้างๆเขาแล้ว
เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเหมือนอย่างเคย และก็มีข้อความปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
“เงินเข้าบัญชี 3,6330,000 หยวน เวลา 00.00 น ”
จากนั้น หลินฟานก็พึมพำในใจ “ฉันหวังว่าการลงชื่อเข้าใช้วันนี้จะไม่ได้เงินนะ”
“เข้าสู่ระบบ!”
【ติ๊ง! ยินดีด้วย คุณได้รับ 1 อาคารของโรงแรมเอ็มเพอเรอร์ 】
เมื่อเห็นข้อความนี้…
ดวงตาของหลินฟานก็สว่างขึ้นเล็กน้อย
ต้องรู้ว่า…
โรงแรมเอ็มเพอเรอร์เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวที่หรูหราเป็นพิเศษ ซึ่งก็เพิ่งเสร็จสมบูรณ์เมื่อปีที่แล้ว
น่าเสียดายที่ประเทศจีนมีได้สูงสุดแค่ 5 ดาวเท่านั้น
มิฉะนั้น โรงแรมเอ็มเพอเรอร์คงได้เป็นโรงแรมระดับ 6 ดาวไปแล้ว!
เกี่ยวกับสิ่งนี้ หลินฟานจำได้ดี เขาจำได้ว่าตอนนั้นมีข่าวมากมายเกี่ยวกับโรงแรมเอ็มเพอเรอร์ตอนเปิดตัว
ซึ่งหลังจากนั้นก็กลายเป็นอาคารแลนด์มาร์คที่เทียบได้กับอาคารโบราณ และอาคารอื่นๆ
ตึกแลนด์มาร์คหลังนี้…เป็นของเขางั้นหรอ?
“วันนี้โชคเข้าข้างเขาสินะ!”
“กริ๊ง!”
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของหลินฟานก็ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ใช่ คุณหลินหรือเปล่าครับ” เสียงต่ำดังผ่านโทรศัพท์
“ไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใครละ” หลินฟานถามด้วยความสงสัย
“สวัสดีครับ คุณหลิน ผมชื่อหวางเฟิงยี่ เป็นผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมเอ็มเพอเรอร์” เสียงในโทรศัพท์เต็มไปด้วยความเคารพทันที
จากนั้น หลินฟานก็พูดขึ้นทันทีว่า “อ้อ คุณก็คือผู้จัดการหวางนั่นเอง สวัสดี”
“คุณหลิน สิ่งที่คุณพูดทำให้ผมรู้สึกแปลกๆนิดหน่อย เรียกผมว่าเสี่ยวหวางเถอะครับ” หวางเฟิงยี่พูดอย่างเร่งรีบ
“คุณดูแลโรงแรมแห่งนี้ได้ดีมาโดยตลอด คุณสมควรถูกเรียกว่าผู้จัดการแล้ว” หลินฟานยิ้ม
“ขอบคุณคุณหลินสำหรับคำชม ขอบคุณมากครับ!” หวางเฟิงยี่พูดด้วยความยินดี
หลังจากทักทายกันสั้นๆ หวางเฟิงยี่ก็กล่าวว่า ที่เขาโทรมาหาในครั้งนี้ เป็นเพราะเขาต้องการเชิญให้หลินฟานไปที่โรงแรมเพื่อบอกแนวทางในการทำงาน
บอกแนวทางการทำงานงั้นหรอ ?
จริงๆแล้วไม่ใช่หรอก เขาแค่อยากจะพบเจอกับหลินฟานเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม หลินฟานไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย
เขาตอบปฏิเสธทันที
และหลังจากคุยกันอีกสองสามคำ ทั้งสองก็วางสายกันไป
ในเวลานี้ มีอาหารหลายอย่างมากมายเช่น บะหมี่เขียว เกี๊ยวทอด นมถั่วเหลือง และอื่นๆ วางอยู่บนโต๊ะ
“หิม! กลิ่นหอมจังเลย!” หลินฟานอุทาน
“หอมก็กินเยอะๆนะ”ฉิวจือเฉียนยิ้ม
หลินฟานพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าและเริ่มกิน
ซึ่งหลังอาหารเสร็จ ฉิวจือเฉียนก็ถามว่า “คุณแฟนของฉันพอมีเวลาว่างหรือเปล่า”
“ว่างสิ” หลินฟานพูด
“พาฉันไปซื้อของหน่อยได้ไหม?” ฉิวจือเฉียนถามอย่างคาดหวัง
หลินฟานยิ้มและพูดว่า “ได้สิ ไม่มีปัญหา”
จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็เดินไปขึ้นรถ ซึ่งในวันนี้หลินฟานไม่ได้เป็นคนขับ แต่เป็นฉิวจือเฉียนที่ขับรถมินิของเธอแทน
ซึ่งในรถมินิก็มีกลิ่นหอมอย่างมาก จากนั้นเธอก็เหยียบคันเร่งและขับรถออกไป
ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงห้าง SK ที่อยู่ไม่ไกล
และเนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ห้าง SK จึงได้จัดงานที่ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้มาช้อปปิ้งในวันนี้
“ฉิวจือเฉียน?”
ทันทีที่หลินฟานกับฉิวจือเฉียนกำลังจะเดินเข้าไป เสียงแปลกใจก็ดังขึ้นมาจากระยะไกล
ซึ่งฉิวจือเฉียนก็หันหลังกลับมาและมองหาคนที่เรียกชื่อเธอ
เธอเห็น…
ผู้หญิงที่มีใบหน้าเป็นทรงแตงโมและใส่สร้อยคออัญมณีสีสดใสกำลังเดินมาทางนี้
จากนั้น ฉิวจือเฉียนก็พูดด้วยอย่างไม่แน่ใจ “เธอคือ… หลิวซีฉี หรอ”
“จือเฉียน เป็นเธอจริงๆด้วย! ฉันเกือบคิดว่าฉันทักผิดแล้ว! นานแค่ไหนนะที่เราไม่ได้เจอกัน สองปีแล้วมั้งหลังจากที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ใช่ไหม?” หลิวซีฉี กล่าวอย่างมีความสุข
ฉิวตือเฉียนพูดอย่างมีความสุข “ใช่”
“ถ้าฉันจำไม่ผิด ตอนนั้นเธอเข้าสายการบินเซี่ยกั๋วแอร์ไลน์ใช่ใหม่ แล้วตอนนี้ล่ะ เธอยังเป็นแอร์โฮสเตสอยู่หรือเปล่า?” หลิวซีฉีถาม
ฉิวจือเฉียนส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้เป็นแอร์โฮสเตสอีกต่อไปแล้ว”
หลิวซีฉีดูเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย
แต่อย่างไรก็ตาม เธอยังคงพูดว่า “ไม่เป็นไร! พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก มีแค่ชื่อเท่านั้นที่ฟังดูดี จริงๆแล้วมันก็ไม่ต่างจากคนรับใช้บนเครื่องบินเลย!”
“ทุกครั้งที่ฉันกับสามีอยู่ในชั้นเฟิร์สคลาส พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแทบที่จะคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อรับใช้เราตลอด มันดูน่าสมเพชจริงๆนะ!”