เศรษฐีผู้ร่ำรวย:เริ่มจากการได้รับซองแดง 7 พันล้านซอง - ตอนที่ 89 : เริ่มบรรยาย
________________________________________
เมื่อหลินฟานมองดูท่าทางที่ตลกๆของทั้งสามคน หลินฟานก็ถึงกับต้องหัวเราะออกมา
“พี่ฟาน พี่พาพวกเราไปที่รถปากานีเฟิงเซินหน่อยสิ!” ซงหยี่พูดอย่างกังวลใจ
“ไปสิ” หลินฟานพูด
หลังจากนั้นทั้งสี่คนก็เดินตรงไปยังที่จอดรถ
ซึ่งที่จอดรถมีรถจอดอยู่หลายคัน ไล่ตั้งแต่ บิ๊กจี, ลัมโบร์กินี่…แล้วถัดไปก็เป็น ปากานีเฟิงเซิน
ในตอนนี้มือของหลินฟานได้ไปกดโดนสวิตช์โดยไม่ตั้งใจ
และทันใดนั้น ประตูที่เหมือนกับปีกนกนางนวลคู่หนึ่งก็ได้กางปีกออกมาอย่างช้าๆ บวกกับดีไซน์ของรถที่เพรียวบางและเฉียบคม ราวกับว่าเป็นเทพเจ้าบนท้องฟ้า!
สวยสง่าสมชื่อ ปากานีเฟิงเซิน!
ซงหยี่,หม่าจงและเจิ้งจินเป่าต่างก็อ้าปากค้าง ใบหน้าของพวกเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“รูปทรงสวยทั้งด้านนอกและด้านใน… เชี่ยเอ้ย! เจ๋งไปเลย!” ซงหยี่ครุ่นคิดเกี่ยวกับคำนั้นอยู่นาน แต่ในที่สุดเขาก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ
เจิ้งจินเป่ารีบขึ้นไปนั่งบนรถ จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วพูดว่า “เพื่อน ๆ ในเว่ยป๋อ ของฉันทุกคน! พวกคุณต้องการเห็นรถซุปเปอร์สปอร์ตมูลค่า 90 ล้านหยวนหรือเปล่า? วันนี้แหละ…พวกคุณจะได้เห็นแน่นอน!”
ตอนนี้หม่าจงได้ทำการลูบไปที่รถปากานีเฟิงเซินเบา ๆ ราวกับว่าเขากำลังสัมผัสสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก และใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ทั้งสามคนก็ลงมาจากปากานีเฟิงเซินอย่างไม่เต็มใจนัก
เจิ้งจินเป่าอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “พี่ฟาน พี่มีลัมโบร์กินี่และบิ๊กจีให้ขับอยู่แล้วหนิ ทำไมพี่ถึงยังซื้อรถมาเพิ่มอีกล่ะ?”
หลินฟานกล่าวตอบอย่างสบายๆ “ฉันแค่อยากขับมัน”
“แต่พี่ก็มีรถอยู่แล้วตั้งสองคันนะ?” เจิ้งจินเป่าพูด
เมื่อได้ยินอย่างนั้น หลินฟานก็ยิ้มและพูดออกมา “แล้วทำไมนายถึงต้องซื้อเสื้อผ้าหลายๆตัวล่ะ? นายไม่ได้ซื้อมาเพื่อใส่มันงั้นหรอ?”
การซื้อรถกับการซื้อเสื้อผ้ามันเหมือนกันที่ใหนเล่า?!
จากนั้นเจิ้งจินเป่า,ซงหยี่ และหม่าจง ต่างก็ตะโกนออกมาพร้อมกันอีกครั้ง “พี่ฟาน ฉันขอคุกเข่าให้พี่!”
…………
เพียงชั่วพริบตา วันเสาร์ก็มาถึง
วันนี้มีแสงแดดที่แสนจะอบอุ่น
หลินฟานยังคงนอนอยู่บนเตียง และเขาก็นอนหลับลึกกว่าทุกที
เขาไม่รู้ว่าที่มหาวิทยาลัยเจียงเป่ยตอนนี้ ได้มีการตกแต่งสุดแสนจะอลังการ
ประตูของมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสันมากมาย
และภายในมหาวิทยาลัย ก็มีการแขวนป้ายขนาดใหญ่อยู่หลายจุด
“ยินดีต้อนรับสู่มหาวิทยาลัยเจียงเป่ย”
“ยินดีต้อนรับสู่มหาวิทยาลัยเจียงเป่ย เพื่อฟังการบรรยายปริศนาของโจว”
…………
ในตอนเช้า อาจารย์และอาสาสมัครจากมหาวิทยาลัยเจียงเป่ยจำนวนมากได้มายืนรออยู่ที่หน้าประตู พวกเขาคอยต้อนรับนักวิชาการและอาจารย์จากทั้งในและต่างประเทศไปที่หอประชุม
บรรยากาศของมหาวิทยาลัยเจียงเป่ยนั้นคึกคักเป็นอย่างมาก!
เมื่อมีคนเข้ามาในหอประชุมมากขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของคณบดีหูชวนก็กว้างขึ้น
แต่เมื่อเขาพบว่าหลินฟานยังมาไม่ถึง เขาก็เป็นกังวลขึ้นมาในทันที!
เพราะการบรรยายกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าตอนนี้ผู้บรรยายไปอยู่ที่ไหน ?!
หูชวนรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรไปที่เบอร์ของหลินฟานทันที
แต่ไม่มีใครรับสายเลย
ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ
เพราะก่อนเข้านอนทุกๆวัน หลินฟานมักจะตั้งโทรศัพท์ให้เป็นโหมดเงียบเอาไว้
สาเหตุมาจากที่ธนาคารจะทำการส่งข้อความแจ้งเตือนเข้ามาในทุกๆเที่ยงคืน
ซึ่งมันรบกวนการนอนหลับของเขาเป็นอย่างมาก
หลินฟานไม่รับโทรศัพท์?
หูชวนจึงตัดสินใจที่จะไปตามหลินฟานถึงที่หอพัก
แต่ว่าเมื่อคืนนี้หลินฟานไม่ได้กลับมานอนที่ห้องของตัวเอง
เรื่องนี้ทำให้หูชวนเป็นกังวลมากขึ้นกว่าเดิม
การบรรยายใกล้จะเริ่มขึ้นแล้วด้วย คนในหอประชุมก็หนาแน่นขึ้นเป็นอย่างมาก
หูชวนหันมองไปรอบๆอย่างกังวล
และทันใดนั้นเอง โทรศัพท์ของเขาก็มีเสียงเรียกเข้า
หลังจากเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา หูชวนก็รีบกดรับสายอย่างไม่ลังเล
“หลินฟาน นายอยู่ใหน การบรรยายกำลังจะเริ่มแล้วนะ! รีบมาที่หอประชุมเร็วๆเลย!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หูชวนพูด หลินฟานก็หาวก่อนจะตอบกลับไป ” กำลังจะเริ่มแล้วหรอ? โอเค ผมจะรับไปที่นั้นในเร็วๆนี้”
หลังจากกดวางสาย เขาก็เดินออกไปอย่างไม่รีบร้อนอะไร
ซึ่งในตอนนี้ การบรรยายได้เริ่มไปประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว
แม้ว่าจะมีคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยขึ้นไปพูดคุยกันบนเวทีเพื่อถ่วงเวลาอยู่
แต่เห็นได้ชัดว่าเริ่มมีบางคนร้อนใจ
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมยังไม่เริ่มสักที?” ศาสตราจารย์แลนน็อตต์ที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวดขมวดคิ้ว
“นี่ก็เลยเวลามามากแล้วนะ…เริ่มการบรรยายปริศนาของโจวสักทีเถอะ” ศาสตราจารย์บาร์เน็ตตันพูดอย่างไม่พอใจ
เจฟฟรีย์เองก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเดินทางมาไกลขนาดนี้แล้ว รอต่ออีกสักหน่อยเถอะนะ และฉันก็ได้รู้ภาษาจีนมาบางคำด้วย อย่างเช่นคำว่า ถึงจะรีบแค่ไหนก็ไม่สามารถกินเต้าหูร้อนๆได้”
“คำนี้มีความหมายว่ายังไงงั้นหรอ?” แลนซ์น็อตถาม
“มันหมายความว่า การรอคอยคือสิ่งที่ดีที่สุด ยังไงล่ะ” เจฟฟรีย์กล่าว
จากนั้น ยามาโมโตะจูโร ผู้ที่บังเอิญนั่งอยู่ข้างๆก็กล่าวว่า “ฉันไม่เข้าใจเลยว่าพวกคุณจะมาฟังบรรยายที่นี่กันทำไม”
“แต่ที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะว่าฉันอยู่ที่จีนพอดี เลยแวะมาฟังเพียงเท่านั้น”
“ปริศนาของโจว เป็นเพียงตัวเลขอย่างง่ายของจำนวนเฉพาะ ถ้าพวกคุณอยากรู้เกี่ยวกับจำนวนเฉพาะมากกว่านี้จริงๆ คุณควรจะไปฟังบรรยายที่ประเทศญี่ปุ่นของเราสิ!”
“เพราะว่าศาสตราจารย์ทานากะของเรา ได้ไขสมมติฐานของรีมันน์ได้แล้ว!”
หลังจากที่ยามาโมโตะ จูโระพูดจบ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม และความภาคภูมิใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
เจฟฟรีย์และคนอื่นๆที่นั่งฟังอยู่ข้างๆก็ยิ้มตอบอย่างสุภาพแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ไขข้อสมมติฐานของรีมันน์ได้แล้วหรอ?
นายขี้โม้เกินไปแล้ว!
ในตอนแรก ศาสตราจารย์ทานากะได้อ้างว่าเขาได้แก้ไขข้อสมมติฐานของรีมันน์ได้แล้ว และทำการเผยแพร่ความคิดของเขาลงบนอินเทอร์เน็ต
แน่นอนว่ามีนักคณิตศาสตร์หลายคนเข้าไปทำการวิจัยเกี่ยวกับความคิดของทานากะทันที
และในไม่ช้า นักคณิตศาสตร์หลายคนก็พบปัญหาเกี่ยวกับมัน
แต่ทานากะก็ยังคงปากแข็ง เขายังอ้างว่านักคณิตศาสตร์คนอื่นๆตรวจผิดกันเอง!
ในตอนนี้ หูชวนรู้ว่าหลายคนไม่พอใจอย่างมาก และพวกเขาก็กำลังเดินไปมา
“ตึก!”
ณ เวลานี้ ในที่สุด หลินฟานก็มาถึง
หูชวนพูดอย่างตื่นเต้น “หลินฟาน รีบมานี่เร็ว”
ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “นายได้เตรียมตัวมาหรือเปล่า”
เตรียมตัว?
ก็แค่มาเขียนคำตอบโดยละเอียดเกี่ยวกับปริศนาของโจวไม่ใช่หรอ?
จะต้องเตรียมตัวอะไรกันอีก?
หลินฟานพูดอย่างสบายๆ “ผมพร้อมแล้ว”
“ดี งั้นก็รีบขึ้นไป” หูชวนพูด
คณาจารย์ของมหาวิทยาลัยที่กำลังพูดอยู่บนเวทีอยู่ก็สังเกตเห็นว่าหลินฟานมาถึงแล้ว
เขาจึงยิ้มก่อนจะพูด ” เรื่องที่ฉันพูดขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ เพราะหัวข้อการบรรยายในวันนี้คือการไขปริศนาของโจว!”
“ต่อไป ขอเชิญให้หลินฟานที่ตอบปริศนาของโจวได้ ขึ้นมายังบนเวที!”
.
เมื่อเห็นสิ่งนี้ นักคณิตศาสตร์ด้านล่างต่างก็พากันขมวดคิ้ว
“เขาคือหลินฟาน ?”
“พระเจ้า! ยังเด็กอยู่เลยไม่ใช่หรอ ล้อเล่นกันอยู่หรือเปล่า?”
…………
ก่อนที่นักคณิตศาสตร์หลายคนจะมาที่งานบรรยาย พวกเขารู้แค่ว่าคนที่แก้ปริศนาของโจวได้เป็นคนจีนเพียงเท่านั้น
ในความคิดของพวกเขาตอนนั้น ชาวจีนคนนี้จะต้องมีอายุอย่างน้อยสี่สิบหรือห้าสิบปีอย่างแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม นักคณิตศาสตร์หลายคนไม่ได้คิดว่าเขาจะอายุน้อยขนาดนี้