เศรษฐีผู้ร่ำรวย เริ่มจากการได้รับซองแดง 7 พันล้านซอง - ตอนที่ 94 : ความเสียใจของเอ็ดดี้
- Home
- เศรษฐีผู้ร่ำรวย เริ่มจากการได้รับซองแดง 7 พันล้านซอง
- ตอนที่ 94 : ความเสียใจของเอ็ดดี้
สหรัฐอเมริกา , เพรสตัน
มีเสียงหัวเราะดังมาแต่ไกล
“ศาสตราจารย์เอ็ดดี้ น่าเสียดายที่คราวนี้คุณไม่ได้ไปที่ประเทศจีน!” เจฟฟรีย์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
เอ็ดดี้วางหนังสือในมือลงแล้วถาม “เจฟฟรีย์ คนจีนคนนั้นแก้ไขการคาดการณ์จำนวนเฉพาะคู่ได้จริงหรือเปล่า?”
ก่อนขึ้นเครื่องบินกลับมา เจฟฟรีย์ได้โทรมาบอกข่าวดีกับเอ็ดดี้กก่อนแล้ว
เนื่องด้วยความเร่งรีบ เจฟฟรีย์จึงพูดอธิบายอย่างรวบรัด เลยทำให้เอ็ดดี้ยังไม่รู้สถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงมากนัก
เรื่องนี้ทำให้พวกเขาสองคนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
เจฟฟรีย์พูดออกมาอย่างตื่นเต้น “มันมากกว่าการแก้ไขได้ซะอีก! เขาแก้ปริศนานี้ในงานบรรยายต่อหน้าคนจำนวนมากเลยนะ!”
“คุณรู้หรือเปล่าว่า มิสเตอร์หลินฟานอายุเพียงแค่ยี่สิบเท่านั้น!”
“โอ้ พระเจ้า! ในตอนนั้น ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าวิชาคณิตศาสตร์ได้มาไกลถึงขนาดนี้แล้ว!”

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ น้ำเสียงของเจฟฟรีย์ก็ดูตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก
เมื่อเขานึกถึงฉากเหล่านั้นทีไร เจฟฟรีย์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นทุกที
หลังจากที่ได้ยินเจฟฟรีย์พูดจบ ใบหน้าของเอ็ดดี้ก็เผยให้เห็นถึงความหลงไหล
เอ็ดดี้ถอนหายใจออกมา “ฉันว่า ฉันน่าจะต้องหาเวลาไปเที่ยวที่ประเทศจีนบ้างแล้ว!”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็ถามขึ้นอีกครั้ง “ว่าแต่ ทำไมนายถึงไม่อยู่ที่จีนต่ออีกสักหน่อยละ แล้วหาเวลาไปคุยเรื่องนี้กับ…มิสเตอร์หลินฟาน?”
นักคณิตศาสตร์ที่ไขปริศนาของโจวและการคาดการณ์จำนวนเฉพาะคู่ได้ในเวลาเดียวกัน ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้เลยว่าเขาได้ศึกษาคณิตศาสตร์ไปไกลแค่ไหนแล้ว!
มันจะเป็นประโยชน์อย่างมาก ถ้าได้พูดคุยเกี่ยวกับคณิตศาสตร์กับคนแบบนี้!
จากนั้นเจฟฟรีย์ก็พูดอย่างหมดหนทาง “ฉันก็อยากไปคุย… แต่เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ และฉันก็… พูดภาษาจีนไม่ได้”
เอ็ดดี้พยักหน้าทันที
อุปสรรคทางภาษา เป็นเรื่องที่ลำบากมาก
เจฟฟรีย์พูด “เพราะอย่างนั้นไง ฉันจึงวางแผนที่จะเริ่มเรียนภาษาจีน เมื่อฉันเจอมิสเตอร์หลินฟานครั้งต่อไป ฉันจะได้สามารถสื่อสารและพูดคุยกับเขาได้”
เจฟฟรีย์พูดต่อ “ศาสตราจารย์เอ็ดดี้ คุณอยากมาเรียนด้วยกันไหม”
เอ็ดดี้เปิดปากของเขาและทำลังจะพูด แต่สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “ลืมมันไปเถอะ ภาษาจีนเป็นหนึ่งในภาษาที่ยากที่สุดในโลก”
“ฉันแก่แล้ว เกรงว่าตอนนี้ฉันจะไม่มีพลังเหลือพอที่จะศึกษามันแล้ว”
“แต่หลินฟานยังเด็กอยู่ บางทีอีกไม่นาน เขาน่าจะเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษได้”
…………
วันถัดไป
เมื่อแสงแดดอันอบอุ่นส่องลงมาที่ระเบียง หลินฟานก็ค่อยๆลืมตาขึ้น
เขาเหลือบมองไปที่ข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างสบายๆ
“เงินเข้าบัญชี 1,410,000 หยวน เมื่อเวลา 0:00 น.”
หลังจากที่อ่านข้อความนี้จบ หลินฟานก็ค่อยๆลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอก
ในเวลานี้ มีบะหมี่หอม ไข่ต้ม นม เค้กไข่ และอาหารอื่นๆ วางรออยู่บนโต๊ะมากมาย
ฉิวจือเฉียน ที่กำลังยุ่งอยู่ในครัวก็ยิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “ที่รักตื่นแล้วหรอ?”

“ลองชิมดูเร็ว ฉันอยากรู้ว่ามันถูกปากคุณหรือเปล่า?”หวงหลิงโผล่หัวออกมาแล้วพูด
หลินฟานกินบะหมี่เข้าไปและอุทาน “อร่อยจัง!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ หวงหลิงและฉิวจือเฉียนก็รู้สึกเหมือนได้กินผลไม้แสนหวานเข้าไป หัวใจของพวกเธอเต็มไปด้วยความดีใจ
และหลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จ
ฉิวจือเฉียนก็พูดขึ้น “ที่รัก ฉันได้ยินมาว่าวัดพูบนภูเขาหยิงเซียงกำลังจะจัดพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในวันนี้ พวกเราไปสักการะกันใหม?”
เมื่อหวงหลิงได้ยินสิ่งที่ฉิวจือเฉียนพูด เธอก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังหลินฟานด้วยสายตาคาดหวัง
แน่นอนว่าเธอเองก็อยากไปเช่นกัน
แต่หลินฟานเหมือนกับคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าและพระพุทธเจ้า
แต่วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ และเขาก็ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกกับฉิวจือเฉียนและ หวงหลิงสักเท่าไหร่ด้วย จะใช้โอกาศนี้ออกไปเที่ยวพักผ่อนบ้างก็ดีเหมือนกัน
หลินฟานพยักหน้าแล้วพูด “โอเค งั้นเราก็ไปกันเถอะ”
เมื่อฉิวจือเฉียนและหวงหลิงได้ยินคำพูดของหลินฟาน พวกเธอก็เต็มไปด้วยความสุข
รถปากานีเฟิงเชินที่หลินฟานขับมานั้นนั่งได้แค่สองคนเท่านั้น ดังนั้นวันนี้พวกเขาจึงตัดสินใจใช้รถมินิของฉิวจือเฉียนแทน
วัดพูตั้งอยู่ในเขตชานเมืองของจังหวัดเจียงเป่ย มันค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง
แต่ต้นไม้และดอกไม้ตามทางก็สวยงามและน่ามองมากเช่นกัน
เมื่อใกล้จะถึงวัดพู พวกเขาก็เริ่มสังเกตเห็นรถที่ขับไปมามากขึ้น
ในตอนนี้ ถนนมีรถแออัดอยู่จำนวนมาก
เพราะทุกคนต่างก็อยากมาชื่นชมงานเทศกาลในที่แห่งนี้
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา หลินฟานก็มาถึงลานจอดรถและลงเดินเข้าไปในวัดพูด้วยกัน
หลังจากนั้นไม่นาน อนุสาวรีย์วีรบุรุษก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าหลินฟานและคนอื่นๆ
ว่ากันว่าที่แห่งนี้เคยถูกเรียกว่าภูเขาวีรบุรุษมาก่อน ชื่อนี้ได้มาเพราะเมื่อสมัยก่อนเคยมีวีรบุรุษคอยปกป้องหมู่บ้านและได้ช่วยชาวบ้านในช่วงสงคราม
หลินฟานหยุดและเหลือบไปที่แผ่นหินก่อนจะเดินต่อไป
เมื่อเข้ามาในวัด เห็นได้ชัดว่ามีคนมาสักการะเป็นจำนวนมาก
บางคนก็ดูเคร่งศาสนา บางคนก็พูดคุยหรือหัวเราะ… พวกเขาทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังวัดพู
ภายในวัดพูนั้นงดงามและมีบรรยากาศดีอย่างมาก
มีพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ข้างใน และพระภิกษุหลายรูปนั่งอยู่ข้างใต้กำลังสวดมนต์พระไตรปิฎกและเคาะปลาไม้อยู่เป็นระยะๆ เสียงนี้ช่วยเพิ่มบรรยากาศและความลึกลับให้กับวัด
หลังจากที่หลายคนได้ไหว้ครบสามครั้งแล้ว พวกเขาก็เอาธูปไปปักลงในกระถางธูปขนาดใหญ่
ฉิวจือเฉียนและหวงหลิงก็ซื้อธูปสูงและมาถึงยังหน้ากระถางธูปแล้ว
และตอนนั้นเอง เสียงที่คุ้นเคยก็ดังมาจากด้านข้าง
“หลินฟาน?”
หลินฟานค่อยๆหันกลับมา เขาแปลกใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ซุนลูกั่ว ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอนายที่นี่”
เขาคือซุนลูกั่ว ผู้ที่แพ้การแข่งรถให้กับหลินฟาน เขาเคยเอาเห็ดหลินจือร้อยปีมามอบให้แก่หลินฟานด้วย
ซุนลูกั่วยิ้มแล้วพูด “ฉันเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน!”
ทันใดนั้น สาวสวยที่ควงแขนของซุนลูกั่วอยู่ก็พูดขึ้นมา “ซุนลูกั่ว คนนี่คือ…”
“อ๋อ เขาคือหลินฟาน ที่ฉันบอกเธอครั้งก่อนไง ที่เล่นหมากรุกเก่งๆน่ะ” ซุนลูกั่วแนะนำ “หลินฟาน นี่คือแฟนของฉัน ฟ่านเหวินเซียง”
ฟ่านเหวินเซียงมองประเมินหลินฟานหลินฟานจากบนลงล่างดูอย่างสนใจ
“งั้นคุณก็คือหลินฟานคนนั้น? ลูกั่วมักจะพูดถึงคุณให้ฉันฟังอยู่บ่อยๆ” ฟ่านเหวินเซียงยิ้ม
หลินฟานยิ้มแล้วพูดว่า “สวัสดี ฉันชื่อหลินฟาน”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็เตรียมที่จะแนะนำฉิวจือเฉียนกับหวงหลิง
แต่หลังจากคิดอยู่สักพัก หลินฟานก็ไม่รู้ว่าจะแนะนำพวกเธอยังไงดี
เป็นไปได้ไหมที่จะบอกว่าพวกเธอทั้งสองคนเป็นแฟนของตัวเอง?
ฉิวจือเฉียนและหวงหลิงเองก็ดูเหมือนจะรู้ถึงความลำบากใจของหลินฟานเช่นกัน
ดังนั้นพวกเธอจึงริเริ่มแนะนำตัวเอง
“ฉันเป็นเพื่อนของหลินฟาน ชื่อหวงหลิง”
“ฉันฉิวจือเฉียน”
เมื่อพวกเธอแนะนำตัวเสร็จ บรรยากาศก็เริ่มอึดอัดขึ้นมา
แต่หลังจากเปิดหัวข้อพูดคุยอื่นๆ ทุกคนก็เริ่มพูดคุยและหัวเราะไปด้วยกัน บรรยากาศก็ผ่อนคลายและน่ารื่นรมย์ขึ้นมาก
ด้านข้างของวัดพู มีทางเดินยาวๆและเต็มไปด้วยการ์ดคำอวยพรต่างๆที่เขียนโดยนักท่องเที่ยวมากมาย
พวกของหลินฟานก็ซื้อการ์ดความปรารถนาและเขียนความปรารถนาของเช่นกัน
ฉิวจือเฉียน: ขอให้คนที่ฉันรักและคนที่รักฉันมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย!
หวงหลิง: ขอให้เราทุกคนมีความสุข!
หลินฟาน ถือปากกาแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเขียนประโยคที่ว่า: ขอให้ทุกคนอยู่ด้วยกันตลอดไปและเจริญรุ่งเรืองขึ้นกว่านี้อีกหลายพันเท่า!
สง่างามและเรียบง่าย!
ตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีเสียงคนพูดขึ้นมาข้างๆเขา “เขียนได้ดี!”