เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 13
“เหอะๆ แม่หนูคนสวย ตอนนี้เรียกข้าว่าอาจารย์ให้ฟังได้แล้วใช่ไหม? ” คลิฟเลิกคิ้วแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“อืม… เรื่องนี้หรือ…” ทันใดนั้นแคลร์ก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ข้าบอกท่านก่อนหน้านี้ว่าข้ามีอาจารย์อยู่แล้ว และเขาก็เป็นอาจารย์ที่เปี่ยมปัญญาของข้า ดังนั้นหากท่านอยากเป็นอาจารย์ของข้า ก็ต้องเป็นอาจารย์คนที่สอง อยู่ข้างหลังเขา มีเงื่อนไขเพียงแค่นี้”
ในที่สุดใบหน้าที่ร่าเริงมาตลอดของคลิฟก็เปลี่ยนสี อาจารย์คนที่สอง? เขาไม่เคยได้ยินใครเรียกแบบนี้มาก่อนเลย ตนเองเป็นจอมเวทย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ต้องไปอยู่อันดับหลังคนอื่นงั้นหรือ? เข้าใจอะไรผิดหรือไม่?
“คนผู้นั้นเป็นจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์เช่นกันหรือ?” คลิฟถามอย่างโกรธๆ
“ไม่ใช่” แคลร์ส่ายหัว สีหน้าจริงจัง “นี่เป็นเงื่อนไขเดียวของข้า และเป็นเงื่อนไขที่ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้ด้วย”
“ได้” ใครจะรู้ว่าคลิฟกลับยอมรับปากด้วยความยินดี เพราะเขามีแผนในใจอยู่แล้ว จากนั้นคลิฟก็ยิ้มแล้วพูด “ตอนนี้เรียกข้าว่าอาจารย์ให้ฟังได้แล้วสินะ? “
“อืม อาจารย์” แคลร์เรียกออกมาง่ายๆ เลยในครั้งนี้
“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆๆ … ดี! ดี! ดี!” คลิฟมองพร้อมหัวเราะลั่น หัวเราะจนแทบพลิกตกจากม้า ในที่สุดเขาก็สามารถต่อกรกับชายชราไร้ยางอายได้แล้ว!
จินเหยียนที่ตามหลังมาไกลๆ เห็นคลิฟที่หัวเราะจนเกือบตกม้าก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขารับแคลร์มาเป็นศิษย์แล้ว? พระเจ้า! เรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นแล้วจริงๆ! แคลร์มีอะไรดีที่เหนือกว่าคนอื่นแล้วตนเองยังไม่ได้ค้นพบนะ? ทำไมผู้ที่อยู่ในตำนานอย่างคลิฟถึงสนใจแคลร์ล่ะ? จินเหยียนรู้สึกไม่เข้าใจ แต่ว่าข่าวนี้ควรแจ้งไปยังท่านดยุกฮิลล์โดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ก็ต้องแจ้งกับเขาผู้นั้น…
“ศิษย์รัก เจ้าจะไปทำอะไรที่หุบเขาพายุล่ะ? ” คลิฟกระพริบตามองไปที่หน้าอกของแคลร์แล้วถาม
“ทำงานเก็บสมุนไพร หารายได้ และหาสัตว์ประหลาดตัวเล็กๆ มาฝึกฝนตัวเอง” แคลร์ตอบ สำหรับเรื่องเวทย์ลี้ลับนั้นแคลร์ไม่อยากให้มีคนรู้มากนัก อีกอย่างนี่คือสมบัติล้ำค่าที่ปรมาจารย์อูมาริมอบให้นาง เมื่อครู่ที่คลิฟได้ยินว่าตนเองเป็นอาจารย์คนที่สองแล้วสีหน้าเปลี่ยนนั้นนางก็สังเกตเห็น ดังนั้นวิธีที่ฉลาดก็คือการพูดถึงท่านอาจารย์คนแรกให้น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์คนที่สอง
“โอ้ ความสามารถอัศวินของเจ้าก็ไม่เลวนะ คงจะอยู่ในระดับของนักดาบชั้นยอดแล้วสิ มีเขาอยู่เจ้าไม่มีอันตรายใดๆ หรอก ข้ายังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ ต้องไปหาคนให้ได้สักสองสามคน รอเจ้าทำภารกิจเสร็จแล้วกลับไปหาข้าที่สภาเวทมนตร์นะ ข้าจะสอนเจ้าทุกอย่างเลย” คลิฟพูดอย่างสบายใจ เมื่อรับแคลร์เป็นศิษย์สำเร็จแล้ว เขาต้องรีบกลับไปจัดการเรื่องนั้นต่อ
แคลร์รู้สึกประหลาดใจ อย่างแรกคือความแข็งแกร่งของจินเหยียนที่คลิฟพูดถึง อย่างที่สองก็คือสิ่งที่ทำให้คลิฟกังวลใจต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ธรรมดา จินเหยียนไม่ได้เป็นแค่นักดาบที่เก่งกาจหรือ? เขาจะเป็นนักดาบชั้นยอดได้อย่างไร? ข้ามสองระดับในครั้งเดียวเลยนะ? พูดแบบนี้ก็คือจินเหยียนได้ซ่อนความแข็งแกร่งไว้ตลอดเลยหรือ? แล้วความสนใจของคลิฟที่มีต่อแคลร์ล่ะ แคลร์มองออกว่านางสำคัญกับเขาอย่างไร แต่ว่าในฐานะอาจารย์ เขากลับไม่ได้ตามมาเพื่อให้คำแนะนำ แต่ตอนนี้เขากำลังยุ่งอยู่กับการกลับไปที่เมือง ดังนั้นเรื่องนี้ต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่แน่ๆ
ขณะที่แคลร์กำลังคิดว่าเรื่องสำคัญอะไรที่ทำให้คลิฟกังวลได้ขนาดนี้ เสียงของคลิฟก็ดังขึ้น “แม่หนูคนสวย รีบไปรีบกลับนะ ข้ารอเจ้าอยู่” เขากำชับแล้วก็หันกลับไป ไม่ได้มองไปยังจินเหยียนที่เฝ้าอยู่ข้างหลังเลย เขาเป็นคนเช่นนี้และจะดูแลคนที่เขาสนใจเท่านั้น นักเวทย์มักจะหยิ่งผยองเพราะพลังของพวกเขา
“แคลร์ ปรมาจารย์คลิฟยอมรับเจ้าเป็นศิษย์จริงๆ หรือ?” จินเหยียนขี่ม้าตามไปข้างหน้าและยืนยันอีกครั้ง
“อืม” แคลร์ตรวจสอบสิ่งที่คลิฟส่งมาในมือของนางแล้วตอบเรียบๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก แคลร์ไม่ได้รู้สึกดีใดๆ กับจินเหยียนที่เป็นอัศวินของนาง แม้ในวันนั้นเขาจะสาบานแบบนั้นก็ตาม แคลร์ใส่กำไล เก็บเสื้อคลุมและของอื่นๆ แล้วไปข้างหน้าต่อ จินเหยียนตามหลังมาติดๆ
ระหว่างการเดินทางนั้นไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น เพราะเมื่อนักเดินทางสองคนอย่างอัศวินและนักเวทย์เดินทางไปทางหุบเขาพายุ พวกเขามักจะเป็นพวกมือใหม่หรือไม่ก็ผู้ที่มีพลังกล้าแกร่งมาก เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้ถือเป็นคนกลุ่มหลัง นั่นก็เพราะสายตาของทั้งสองไม่มีความอยากรู้อยากเห็นและความตื่นเต้นของพวกมือใหม่ สิ่งนี้ช่วยป้องกันพวกเขาจากบรรดากลุ่มโจรซึ่งไม่ต้องการสุ่มโจมตีทั้งสองแล้วเดือดร้อนพ่ายแพ้ในภายหลัง
หลังจากเดินทางเป็นเวลาห้าวัน ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงเมืองเล็กๆ ใกล้หุบเขาพายุ จินเหยียนรับหน้าที่เติมเสบียง และทั้งสองก็เตรียมพักผ่อนเพื่อเข้าสู่หุบเขาในวันรุ่งขึ้น
ตอนกลางคืน แคลร์นั่งข้างหน้าต่าง มองดูดวงจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้าทั้งสองดวงอย่างเงียบๆ โลกนี้เป็นสถานที่มหัศจรรย์ ในช่วงสี่เดือนแรกของทุกปีมีดวงจันทร์หนึ่งดวงบนท้องฟ้า ในช่วงสี่เดือนต่อมาจะมีดวงจันทร์สองดวง และในช่วงสี่เดือนหลังจะมีดวงจันทร์สามดวงบนท้องฟ้า ตอนนี้คือต้นเดือนกรกฎาคม บนฟ้าจึงมีดวงจันทร์สีน้ำเงินสองดวง แคลร์ถึงกับคิดว่าโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ เพราะดวงจันทร์ประหลาดเหล่านี้หรือเปล่านะ
หุบเขาพายุเป็นสถานที่ที่ทั้งอันตรายและมีประโยชน์ในที่เดียวกัน มีอันตรายแค่ไหนก็มีประโยชน์มากเช่นกัน นักผจญภัยและกลุ่มทหารรับจ้างนับไม่ถ้วนมาที่นี่ พวกเขามาทำภารกิจล่าสัตว์ประหลาดเพื่อรับแกนเวทย์มนตร์และขายเพื่อหารายได้มากมาย แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ลงลึกไปในหุบเขา บางคนบอกว่าจุดสิ้นสุดของหุบเขานั้นเป็นทะเลทรายที่ไม่มีที่สิ้นสุด บางคนก็บอกว่าเป็นธารน้ำแข็งที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ไม่มีใครมีคำตอบที่แน่ชัดว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่
แคลร์และจินเหยียนขี่ม้าเข้าไปในหุบเขาพายุ แต่ระหว่างทางกลับไม่มีสัตว์ประหลาดเลย ไม่มีแม้แต่สัตว์ประหลาดระดับต่ำด้วยซ้ำ
“นี่คงเป็นเพราะมีสัตว์ประหลาดระดับสูงอยู่ใกล้ๆ หรือไม่อย่างนั้นก็มีกลุ่มทหารรับจ้างที่ทรงพลังเคยมาแล้ว” จินเหยียนวิเคราะห์ เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่น่าจะมีสัตว์ประหลาดระดับสูง ดังนั้นคำอธิบายเพียงอย่างเดียวก็คือทีมทหารรับจ้างที่ทรงพลังได้เข้ามาแล้ว
“ไปกันเถอะ” ดวงตาของแคลร์มองไปยังที่ที่ชื้นอับแสง หญ้าใจสลายที่เป็นภารกิจของพวกเขาเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น แต่พวกเขายังหาไม่พบเลย
ความกว้างและความยาวของหุบเขาพายุไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่จะคาดถึงได้อย่างแน่นอน เมื่อไปไกลกว่านั้น ทางข้างหน้าจะไม่สามารถขี่ม้าเข้าไปได้อีกต่อไป ทั้งสองจึงต้องทิ้งม้าไว้แล้วเดินเท้าต่อไปแทน
หลังจากเดินมาเกือบทั้งวัน ฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง พวกเขาพบเพียงหญ้าใจสลายสามต้นเท่านั้น
“เราไปตั้งที่พักกันข้างหน้าเถอะ ข้างหน้ามีที่โล่ง” เห็นได้ชัดว่าจินเหยียนเคยมาที่นี่
แคลร์พยักหน้า ไม่พูดอะไรมาก
เมื่อทั้งสองคนเดินไปข้างหน้า ก็ได้ยินเสียงดังผิดปกติ ดูเหมือนจะมีการต่อสู้กัน กลิ่นคาวเลือดลอยมาในอากาศพร้อมกับเสียงตะโกนด้วยความโกรธและเสียงหอนของหมาป่า
“นั่นฝูงหมาป่าวายุ!” จินเหยียนขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าใครบางคนที่อยู่ข้างหน้าถูกโจมตีโดยหมาป่าวายุ และดูเหมือนจะต่อสู้อย่างหนักด้วย หมาป่าวายุเป็นเพียงสัตว์ประหลาดระดับ 3 แต่สิ่งที่ทำให้ต่อสู้ยากลำบากที่สุด ก็เป็นเพราะนอกจากพวกมันจะสามารถคายใบพัดโจมตีออกจากปากได้แล้วนั้น พวกมันเป็นยังสัตว์สังคมที่อยู่ด้วยกันเป็นฝูง อีกทั้งยังมีความโหดร้ายโดยธรรมชาติ และมีเชาวน์ปัญญาไม่น้อย ปกติพวกมันจะอยู่ท่ามกลางสายลมกระโชกแรง แล้วพวกมันมาปรากฏตัวที่นี่เป็นจำนวนมากได้อย่างไร? จินเหยียนขมวดคิ้วงุนงง
“ข้าจะสู้กับพวกแกเอง! ” เสียงหยาบคายที่ฟังดูคุ้นเคยดังขึ้นด้วยความโกรธ
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนอย่างกระวนกระวาย “ยอร์ช อย่าหุนหันพลันแล่น! “
อ๋อ แคลร์ออก นี่เสียงที่ได้ยินในกลุ่มทหารรับจ้างไม่ใช่หรือ ดูเหมือนว่าจะเป็นกลุ่มทหารรับจ้างเลือดเหล็ก
“ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังมีปัญหาใหญ่อยู่นะ” จินเหยียนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดลงเรื่อยๆ คืนที่มืดมิดจะเป็นดินแดนแห่งความกลัว ความชั่วร้าย และความตาย
แคลร์ดึงบางสิ่งในกระเป๋าผ้าขนาดเล็กรอบเอวของนางออกมา จากนั้นไม่นานนางก็หยิบนกสีดำไร้ชีวิตตัวหนึ่งออกมา นี่คือหุ่นเวทย์ซึ่งเป็นหนึ่งในเวทย์ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของอูมาริ
หลังจากที่แคลร์ใส่พลังเวทย์เข้าไปในร่างกายของนกหุ่นเวทย์แล้ว นกตัวนี้ก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ร้องเจื้อยแจ้วสองครั้ง และบินขึ้นไปในอากาศ หลังจากกระพือปีก แคลร์ก็หยิบลูกแก้วเล็กๆ ออกมาอีกครั้งและสิ่งที่เห็นในสายตาของนกหุ่นเวทย์ก็ปรากฏในลูกแก้วทันที!
จินเหยียนรู้สึกแปลกใจขณะที่เฝ้าดู อูมาริผู้ซึ่งทำหน้าตายมาตลอด ตระหนี่จนถึงขีดสุด กลับสอนทักษะของเขาให้กับแคลร์!
ลูกแก้วขนาดเล็กแสดงให้เห็นว่ากลุ่มคนดูเหมือนกำลังต่อสู้อย่างหนักมาก แต่ก็ยังมีหมาป่าวายุจำนวนมากที่ไม่เคลื่อนไหว ดูเหมือนพวกมันกำลังรอคอยการมาถึงของค่ำคืน รูปแบบวงล้อเป็นกลยุทธ์ที่ง่ายแต่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คนประมาณยี่สิบหรือสามสิบคนยืนพิงหลังชนกันเป็นวง ตรงกลางคือผู้บาดเจ็บที่ไม่สามารถต่อสู้ได้ แม้ว่าพวกเขาจะอับอายมาก แต่ก็ไม่มีใครเสียชีวิต คนกลุ่มนี้มีความสามารถไม่เลวเลย พวกเขาส่วนใหญ่เป็นนักรบและนักธนู โดยมีนักเวทย์เพียงคนเดียว และดูเหมือนเขาจะใช้พลังเวทย์มนตร์จนเกือบหมดแล้ว การที่คนกลุ่มนี้แทบไม่มีนักเวทย์ ทำให้นักเวทย์มีความสำคัญเป็นอย่างมากและได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนา
“คุณหนู ต้องการจะช่วยพวกเขาหรือไม่” ในตอนนี้จินเหยียนไม่ได้เรียกชื่อของแคลร์อีกต่อไป แต่เรียกนางว่าคุณหนู เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรอคำสั่งของแคลร์มากกว่าที่จะขอคำแนะนำจากนาง
แสงที่แปลกๆ ฉายผ่านดวงตาของแคลร์แล้วหายวับไป ปรมาจารย์ดาบผู้ยิ่งใหญ่เป็นรองจากปรมาจารย์ดาบและเทพดาบ ความแข็งแกร่งของจินเหยียนเป็นเช่นไร ก็สามารถลองดูได้
“อืม ช่วยพวกเขา” แคลร์พูดเบาๆ ฝ่ายตรงข้ามเป็นสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างอันดับสองในประเทศ ดังนั้นในการช่วยเหลือพวกเขาในอนาคตมันจะต้องเป็นประโยชน์อย่างแน่นอน
“ครับ” จินเหยียนชักดาบออกมา ดาบของเขาสั่นเล็กน้อยและส่งจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้สีฟ้าซึ่งเป็นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่นักดาบผู้ยิ่งใหญ่ครอบครองออกมา แต่แคลร์รู้ดีว่าถ้าคลิฟคิดไม่ผิด สีพลังยุทธ์ของจินเหยียนน่าจะเป็นสีม่วง! จินเหยียนไม่ได้พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เขาเข้าใจดีว่าความรับผิดชอบแรกของเขาคือการปกป้องความปลอดภัยให้กับแคลร์
……………………………………………………………..