เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 17
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ช่วงนี้ข้าขาดแคลนเงิน ข้าต้องการซื้อของ ข้ารับมาก็ไม่ได้ถามว่าใครเป็นคนสั่งซื้อหรือฆ่าใคร” ครั้งนี้วัลโดตอบอย่างให้ความร่วมมือ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าชายคนนั้นให้เขาลอบสังหารใคร
เดิมทีเขาคิดว่าคำตอบเช่นนี้อาจทำให้ปีศาจน้อยไม่พอใจ แต่ปีศาจน้อยก็ไม่ได้พูดอะไร สิ่งนี้ทำให้วัลโดสงสัยมาก เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าแคลร์ได้รับเวทย์ลี้ลับที่อยู่เบื้องหลังน้ำตก ในตอนแรกที่เขาปกปิดเรื่องนี้แคลร์ก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของจิตวิญญาณ ดังนั้นแคลร์จึงรู้ว่าเขาซ่อนความลับไว้
“หินจิตวิญาณของเจ้าใช้แล้วทิ้งหรือสามารถใช้ซ้ำได้? ” แคลร์ถามวัลโดอย่างเย็นชา
วัลโดขนลุกตั้งไปทั้งตัวแล้วตอบ “ใช้ได้ครั้งเดียว หลังจากใช้แล้วก็ใช้ไม่ได้อีก”
“โอ้” เสียงของแคลร์ผิดหวังเล็กน้อย
วัลโดแปลกใจเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าแคลร์กำลังถามอะไร ถ้าเขารู้ว่าแคลร์เริ่มคิดเกี่ยวกับหินจิตวิญาณของเขา เขากลัวที่อาจจะตายอีกครั้ง
วัลโดไม่กล้าพูด แต่รอให้แคลร์พูดอย่างเงียบๆ ตอนนี้เขาเป็นลูกแกะที่กลัวถูกฆ่าอย่างแท้จริง เขาสูญเสียพลังทั้งหมดไป และที่สำคัญที่สุดคือเขายังถูกจับโดยปีศาจน้อยตัวนี้ด้วย
“เอาล่ะ ไปนอนเถอะ” นี่คือสิ่งวัลโดได้ยินแคลร์อย่างเกียจคร้านพูดหลังรอมาสักพัก แคลร์ถอดเสื้อคลุมออกแล้วเดินไปที่เตียง วัลโดตาโต
โอ้ๆๆ พระเจ้า ปีศาจน้อยตัวนี้หุ่นที่ดีจริงๆ
วัลโดจ้องไปที่แคลร์ ขณะที่นางถอดกางเกงในที่เหลืออยู่ออกพลางถอนหายใจ นักเวทย์ดำและวิญญาณไม่บูชาเทพแห่งแสง แต่เป็นเทพแห่งความมืดต่างหาก
“ถ้าดูอีกครั้ง เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเจาะรูในหินของเจ้า? ” คำพูดแผ่วเบาของแคลร์ทำให้วัลโดจมดิ่งลงไปในหินและไม่ส่งเสียงอีกต่อไป
แคลร์ล้มตัวลงนอน แต่ไม่ได้คิดมากกับสิ่งที่วัลโดพูด ไม่สำคัญว่าใครจะถูกลอบสังหาร แคลร์คิดถึงเรื่องอื่น สิ่งที่นักเวทย์แห่งความมืดต้องเรียนรู้นั้นแตกต่างอย่างมากจากเวทมนตร์ที่นางได้สัมผัส แล้วเวทมนตร์แห่งความมืดเป็นอย่างไรล่ะ? สิ่งที่แคลร์ต้องการคือบีบเอาข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากวัลโดให้มากที่สุด นางยังสงสัยว่าจะได้หินจิตวิญญาณนั้นมาได้อย่างไร ถ้านางสูญเสียร่างกายไปในการต่อสู้ นางจะสามารถครอบครองหินจิตวิญญาณและเกิดใหม่อีกครั้งได้หรือไม่?
กลางคืนนั้นเงียบสงบ
เช้าวันรุ่งขึ้นแคลร์และจินเหยียนซื้อม้าและเดินทางกลับ
ตอนเที่ยงทั้งสองหยุดพักผ่อนและรับประทานอาหารในป่า
พวกเขาสองคนกินอาหารอย่างเงียบๆ มีความสงบอยู่รอบตัว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเกือกม้าดังมาแต่ไกล ใครบางคนกำลังมาที่นี่
จินเหยียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “มีห้าคน”
แคลร์ไม่สงสัยอะไรเกี่ยวกับการได้ยินของจินเหยียน
ไม่นานพวกเขาก็สามารถมองเห็นกลุ่มห้าคนจากระยะไกลได้ ทั้งหมดขี่ม้ามา แต่พวกเขารู้จักคนกลุ่มนี้ดี เพราะนั่นคือกลุ่มขององค์ชายสองและเจ้าหญิงแมริส ด้านหลังพวกเขาคืออัศวินที่แข็งแกร่งสามคนซึ่งน่าจะเป็นอัศวินแห่งสายลม องค์ชายสองและแมริสต่างแต่งตัวเหมาะกับการผจญภัย แมริสดูมีพลังมากขึ้นในชุดที่ดูแข็งแกร่งของนาง
“ฝ่าบาท” จินเหยียนและแคลร์ลุกขึ้นและแสดงความเคารพ
ประกายสับสนเกิดขึ้นในดวงตาขององค์ชายสองแล้วก็หายไป ด้วยนิสัยของกอร์ตั้นแล้ว เขาไม่แปลกใจเลยที่แคลร์จะปรากฏตัวที่นี่
“แคลร์ เจ้ามาที่นี่ทำไม? ” แมริสลงจากหลังม้าอย่างเรียบร้อย ดูมีความสุขมากที่ได้เจอแคลร์ที่นี่
“ใช้วันหยุดฤดูร้อนเพื่อสัมผัสประสบการณ์ในหุบเขาพายุเพคะ” แคลร์ตอบด้วยรอยยิ้ม เจ้าหญิงผู้น่าหลงใหลนี้เป็นคนเดียวในโรงเรียนที่นางยินดีที่จะพูดคุยด้วย
“จริงหรือ? งั้นเจ้าได้อะไรล่ะ?” แมริสถามอย่างตื่นเต้น
“ไม่มีอะไร มีแค่แกนเวทย์ระดับ 3 และสัตว์ประหลาดระดับ 4 เท่านั้นเพคะ” แคลร์ยังคงยิ้มจางๆ
“ขอให้ข้าดูหน่อยสิๆ ” แมริสเป็นเหมือนเด็กที่อยากรู้อยากเห็น ดูเหมือนว่าที่แคลร์สามารถตีแกนเวทมนตร์ได้นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้นางตื่นเต้นและประหลาดใจมาก
ขณะที่แคลร์และแมริสกำลังคุยกันนั้น ในจุดไม่มีใครมองเห็นจินเหยียนและองค์ชายกำลังทำท่าทางแปลกๆ เมื่อทำท่าเสร็จ ใบหน้าขององค์ชายก็ดูเคร่งขรึมและน่าสงสัยมากขึ้น เขาเหลือบมองแคลร์ที่กำลังยิ้มและคุยกับแมริสจากหางตา และเขาก็ตกใจ แคลร์คนนี้คือใคร? ไม่มีใครเข้าใจนางได้ คนที่ทำให้คลิฟขอเป็นศิษย์ได้นั้นไม่ใช่คนทั่วไปแน่นอน! แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขามั่นใจก็คือแคลร์ดูเหมือนจะไม่มีความรักต่อวิหารแห่งแสงเลย สำหรับบุคคลที่มีศักยภาพและภูมิหลังอย่างนาง การปฏิเสธวิหารแห่งแสงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับองค์ชายมาก
อำนาจพระเจ้าและอำนาจกษัตริย์มักจะขัดแย้งกันเสมอ
ขณะที่แคลร์กำลังคุยกับแมริส ก้อนหินเล็กๆ ในกระเป๋าของแคลร์ก็สั่นเล็กน้อย
แมริสหยิบแกนเวทย์ที่แคลร์มอบให้นาง นำไปให้พี่ชายดูอย่างกระตือรือร้น
แคลร์หยิบหินออกมาแล้วกระซิบ “ว่ามา”
“ข้าจะต้องซุ่มโจมตีกลุ่มนี้” เสียงของวัลโดดังขึ้นในหัวของแคลร์
อะไรนะ? เดิมทีเจ้าจะต้องโจมตีองค์ชายสองและองค์หญิงแมริสหรือ?! ใครกันที่เป็นคนจะฆ่าพวกเขา?
ราวกับเดาใจของแคลร์ได้ วัลโดกล่าวเสริมทันที “อย่าถามข้า ข้าไม่รู้ ข้าแค่จะเอาเงินไปทำสิ่งต่างๆ ” แต่ภารกิจนี้ราคาแพงมาก เพราะเขาต้องสูญเสียร่าง โดยที่ไม่ได้สัมผัสแม้เสื้อผ้าของเป้าหมายเลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างต้องโทษบุตรของวิหารแห่งแสงที่แวะมาที่หุบเขาพายุเพื่อเก็บยา หากเป็นผู้คนจากวิหารแห่งแสงคนอื่นๆ ก็พอไหว แต่บุตรแห่งแสงผู้นั้นที่แข็งแกร่งเกินมนุษย์! วัลโดเกิดความกลัวเมื่อเขาคิดถึงการต่อสู้นั้น
แคลร์ไม่ได้ถามอะไรอีก เพราะรู้ว่าไม่สามารถถามอะไรเพิ่มเติมได้
“แคลร์ กลับด้วยกันเถอะนะ” องค์หญิงแมริสเดินไปอย่างมีความสุข และนางก็เอาแกนเวทย์ที่แคลร์มอบให้นางไปด้วยอย่างระมัดระวัง
แคลร์ตอบรับคำเชิญขององค์หญิงแมริส และหลังจากพักผ่อนไม่นาน กลุ่มพวกเขาก็ออกเดินทางกลับไปยังเมือง
“แคลร์ สุดสัปดาห์หน้าจะเป็นวันเกิดของข้า ท่านพ่อจะจัดงานวันเกิดให้ข้า เจ้าต้องมานะ” องค์หญิงแมริสเชิญนางระหว่างทาง
“เพคะ” แคลร์ยิ้มและพยักหน้าตอบรับ
ระหว่างทางองค์หญิงแมริสอยู่ติดกับแคลร์เพื่อเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่นางเข้าไปในหุบเขาพายุ จินเหยียนและองค์ชายเดินทางนำไปข้างหน้า องค์หญิงแมริสและแคลร์อยู่ตรงกลาง และอัศวินทั้งสามก็ตามมาด้านหลัง
องค์หญิงแมริสในเวลานี้แตกต่างจากที่โรงเรียนโดยสิ้นเชิง ผู้หญิงที่มีชีวิตชีวาในตอนนี้แตกต่างกับผู้หญิงที่เคร่งขรึมที่โรงเรียน นางคงเป็นตัวของนางเองในเวลานี้อย่างแน่นอน
ด้วยการเดินทางเช่นนี้ ทั้งกลุ่มจึงกลับสู่เมืองโบเทอร์ได้อย่างราบรื่น ที่ประตูเมือง แคลร์อำลาพวกเขา องค์หญิงแมริสบอกแคลร์ว่านางจะไม่กลับจนกว่าแควร์จะยอมรับไปร่วมงานวันเกิดของนางในสัปดาห์หน้าก่อน
แคลร์ไปที่สมาคมทหารรับจ้างและส่งมอบงาน จากนั้นก็กลับไปที่คฤหาสน์ของดยุกฮิลล์
“คุณหนูกลับมาแล้ว ท่านดยุกฮิลล์บอกว่าถ้าคุณหนูกลับมาแล้ว ให้ไปหาที่ห้องหนังสือ” พ่อบ้านกล่าวด้วยความเคารพ หลังจากทักทายแคลร์ที่ประตู พ่อบ้านที่มีใบหน้านิ่งมาโดยตลอด ตอนนี้ทัศนคติของเขาที่มีต่อแคลร์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่เพราะท่านดยุกกอร์ตั้นเริ่มรักแคลร์ แต่พ่อบ้านไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งและทรงพลัง เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของแคลร์ และยังเชื่อด้วยว่าแคลร์คือความหวังสำหรับอนาคตของตระกูลฮิลล์
“อื้ม” แคลร์ตอบเรียบๆ แล้วไปที่ห้องหนังสือโดยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า
หลังจากเคาะประตูห้องหนังสือเบาๆ เสียงอันสง่างามของกอร์ตั้นก็ดังมาจากข้างใน “เข้ามา”
แคลร์เปิดประตูเบาๆ ส่วนก็รออยู่ข้างนอก
“ท่านปู่ ข้ากลับมาแล้ว” แคลร์ยืนอยู่ที่โต๊ะและพูดเรียบๆ พลางมองไปที่ชายชราผู้สง่างามที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน อูมาริสวมชุดคลุมสีน้ำตาลยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
“เพิ่งกลับมาหรือ” กอร์ตั้นพยักหน้ายิ้มๆ แล้วยืนขึ้นแล้วพูดว่า “คราวนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง? “
“ดีเลยค่ะ ตามล่าสัตว์ประหลาดระดับสามและสี่ได้หลายตัว” แคลร์รายงานอย่างจริงจัง จากนั้นก็เหลือบมองไปที่อูมาริที่อยู่ด้านข้าง อูมาริรู้ว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีจากสายตาของแคลร์เขาจึงสบายใจ
“อืม มีอาการบาดเจ็บหรือไม่? ” กอร์ตั้นเดินไปหาแคลร์แล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เลยค่ะ” แคลร์ส่ายหัวเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่า ไม่เลว นี่แหละคือตระกูลฮิลล์ของข้า” กอร์ตั้นพยักหน้าอย่างมีความสุข
“นอกจากนี้ ท่านปู่ ข้าได้พบกับจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์คลิฟด้วย” จู่ๆ แคลร์ก็เปลี่ยนบทสนทนาและพูดถึงเรื่องนี้
“งั้นหรือ?” กอร์ตั้นถามอย่างกระตือรือร้น
“เขาเป็นคนแก่ลามก” แคลร์พูดอย่างจริงจัง
ใบหน้าของกอร์ตั้นกระตุก เขาไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ จอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์คลิฟเป็นนักเวทย์จอมเจ้าชู้จริงๆ อาจารย์สาวสวยในโรงเรียนไรซิ่งซันก็ได้รับการดูแลจากเขา
อูมาริมองคนข้างๆ แปลก ๆ บางทีเขาอาจจะอยากหัวเราะ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาไม่ควรหัวเราะ
“เขาบังคับให้ข้าไปเป็นศิษย์เขา แล้วยังให้กำไลเคลื่อนย้าย เสื้อคลุมล่องหน และของอื่นๆ มาอีกด้วย” แคลร์เสริมบางสิ่งที่ทำให้กอร์ตั้นปลาบปลื้ม
“จริงหรือ เป็นจริงหรือ? เช่นนี้หรือ? ฮ่าๆ เยี่ยมเลย” กอร์ตั้นกระตุกไปเล็กน้อย ภาษาของเขาไม่ราบรื่นนัก และจากนั้นเขาก็เอะใจ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องชอบแคลร์”
เมื่อได้เผชิญหน้ากับความสุขที่ไม่ธรรมดาของกอร์ตั้น แคลร์มองไปที่อูมาริที่อยู่ด้านข้าง ใบหน้าของอูมาริซับซ้อนเล็กน้อย เขาทั้งดีใจกับแคลร์ แต่ก็ผิดหวังเล็กน้อย
“คลิฟบังคับให้ข้าเป็นศิษย์ ข้าสัญญาว่าจะให้เขาเป็นอาจารย์ของข้า หลังจากที่เขาทำตามเงื่อนไขแล้วเท่านั้น” แคลร์มองไปที่อูมาริและพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที
“อะไรนะ” กอร์ตั้นฟื้นสติขึ้นมา เมื่อได้ยินว่าหลานสาวที่มีค่าของเขาพูดจาหยิ่งผยอง เขากังวลว่านางจะทำให้อาจารย์คลิฟโกรธ
…………………………………………………