เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 201
สีหน้าของเบนดูไม่มั่นใจแล้วนั่งลงช้าๆ เบนในตอนนี้ไม่ใช่เจ้าชายมังกรที่หุนหันพลันแล่นไม่คำนึงถึงผลลัพธ์อีกต่อไปแล้ว เขาขมวดคิ้วครุ่นคิดตามที่ชีอ้าวชวางพูดแล้วถอนหายใจเบาๆ “ใช่ นี่เป็นแค่สิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นได้ชั่วครู่เท่านั้น ไม่ได้เป็นแก้ไขปัญหาที่ต้นตอของมัน” สีหน้าของเบนสีเย็นชาและจริงจังอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“เช่นนั้นเจ้ามีแผนอย่างไรบ้าง?” เบสถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“เราต้องค่อยๆกระชากหน้ากากของวิหารแห่งแสงออกทีละนิดเพื่อลบภาพของวิหารแห่งแสงที่อยู่ในใจของทุกคนแล้วเปลี่ยนศรัทธาของพวกเขาซะ สุดท้ายข้าจะฆ่าเทพีแห่งแสงด้วยมือของข้าเอง” ชีอ้าวชวางพูดไปจนถึงประโยคสุดท้ายด้วยแววตาที่เย็นชาและมุ่งมั่นจนน่ากลัว!
“ได้ ข้าจะไปช่วยเจ้าหาสิ่งประดิษฐ์ที่เหลือเอง” เบนรับปาก “ที่นี่อยู่ใกล้กับเผ่าเอลฟ์มากที่สุด แม้ว่าเผ่าเอลฟ์และเผ่ามังกรจะไม่ได้ติดต่ออะไรกัน แต่เผ่าเอลฟ์ก็เกรงใจเผ่ามังกรของเรามาก เช่นนั้นเราไปหาสิ่งประดิษฐ์ที่อยู่กับเผ่าเอลฟ์ก่อนเลยดีกว่า”
ด้วยนิสัยใจร้อนของเบน พอได้ฟังเรื่องที่ชีอ้าวชวางไม่ได้รับความยุติธรรมเช่นนั้น เขาก็ลุกขึ้นเร่งรัดทันที “ไปกันเถอะ เราออกเดินทางกันตอนนี้เลย”
ชีอ้าวชวางมองท่าทางรีบร้อนของเบนด้วยใจซาบซึ้งแล้วนึกถึงตอนแรกที่ได้พบกับเบน ตอนนั้นนางคิดเพียงแค่ว่าจะหลอกใช้ชายผู้ที่หุนหันพลันแล่นผู้นี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็เปลี่ยนจากความสัมพันธ์ในแบบที่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันและกันกลายเป็นมิตรสนิทที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันแล้ว
ชีอ้าวชวางยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงเคาะประตูถี่ๆ ก็ดังขึ้นก่อน
“กราบทูลฝ่าบาท เราจับตัวมนุษย์ผู้หญิงคนนั้นได้แล้ว!” เสียงที่อยู่ด้านนอกบอกแบบนี้
“พาตัวเข้ามา” เบนพูดเสียงเย็นชา
พอประตูถูกเปิดออก คนที่แต่งกายด้วยชุดสีเทาสองคนอุ้มผู้หญิงที่หน้าตาตื่นตระหนกมาด้วยสีหน้าเย็นชา ผู้หญิงคนนั้นตัวสั่นและหน้าซีดเผือด เต็มไปด้วยความกลัว เมื่อดูจากเสื้อผ้าของนางแล้ว นางคือคนที่หลอกใช้องค์ชายบานาสมาเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้นางเข้ามาได้ เพียงแค่ใบหน้าของนางเปลี่ยนไปแล้ว เป็นอย่างที่ชีอ้าวชวางคาดเดาไว้ว่าผู้หญิงคนนี้ใช้ยาเสริมความงาม รูปลักษณ์ในตอนนี้เป็นรูปลักษณ์จริงของนาง ใบหน้าของนางไม่ได้จัดว่าสวยนักแต่ดูค่อนข้างคล้ายกับซัมเมอร์มาก เพียงแค่นิสัยและแผนการของผู้หญิงคนนี้เอ่ยชมไม่ได้จริงๆ ดูได้จากการที่นางเอาความงามมาหลอกใช้องค์ชายบานาสและพวกของเขาให้มาเป็นเหยื่อล่อให้
“บอกชื่อของเจ้ามา” ชีอ้าวชวางมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเย็นชา หากหญิงผู้นี้เป็นญาติของซัมเมอร์จริงๆ การที่นางจะต้องมาตายที่นี่ คงจะเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้ซัมเมอร์ฟังจริงๆ
หญิงสาวที่กำลังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเงยหน้าขึ้นมองที่มาของเสียงแล้วก็อึ้งไป มนุษย์งั้นหรือ? หญิงสาวที่ดูธรรมดาผู้นี้คือคนที่เจอกันที่ตรงหน้าทางเข้าหุบเขาไม่ใช่หรือ? ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ นางก็อยู่ด้วย นี่มันเรื่องอะไรกัน? นางรู้จักกับเผ่ามังกรงั้นหรือ? ชื่องั้นหรือ? นางจะถามชื่อของตนเองไปทำไมล่ะ? เกิดความหวังขึ้นในใจของหญิงสาว ไม่แน่ตนเองอาจจะรอดชีวิตก็ได้ ทำไมนางจะไม่รู้ว่าการไปขโมยของที่สุสานมังกรถือเป็นการรบกวนจิตวิญญาณของเผ่ามังกร ถ้าหากถูกมังกรจับได้จะต้องตายสถานเดียว เดิมทีคิดว่าตนเองจะต้องตายแน่แล้ว แต่ตอนนี้ได้ยินหญิงสาวตรงหน้าถามเช่นนี้ บางทีตนเองอาจจะยังมีหวังรอดชีวิตอยู่
“โจไมเออร์ ไอล์”โจไมเออร์รีบตอบไปแล้วสังเกตสีหน้าของชีอ้าวชวาง จากนั้นก็พูดอย่างระวัง “คุณหนู ท่านเป็นเพื่อนกับเผ่ามังกรหรือ? ท่านช่วยข้าที หากข้าออกไปได้ข้าจะตอบแทนท่านอย่างดีเลย ท่านช่วยพูดให้ข้าหน่อยเถิด”
ชีอ้าวชวางยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม นางเพียงแค่หันไปส่งสายตากับเบนเท่านั้น
“ซัมเมอร์ ไอล์เป็นอะไรกับเจ้า?” ชีอ้าวชวางรู้ดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังคงมองที่หญิงสาวตรงหน้าอยู่
“เป็น…” โจไมเออร์มองท่าทางของชีอ้าวชวางแล้วมองชายผมดำที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความกังวล ผู้ชายผมดำผู้นั้นคือราชาของเผ่ามังกรงั้นหรือ? เผ่ามังกรมีผู้ที่หล่อเหลาถึงขนาดนี้ด้วยหรือ?
“ตอบคำถามของนางสิ” เบนหรี่ตาลงแล้วพูดนิ่งๆ
“เป็น เป็นน้องสาวของข้า!” โจไมเออร์ตัดสินใจในทันทีแล้วลองเดิมพันดูสักตั้ง การจะบอกว่าตนเองไม่รู้จักซัมเมอร์ก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก นางจึงขอเดิมพันว่าผู้หญิงที่ดูธรรมดาตรงหน้านี้จะต้องรู้จักซัมเมอร์และก็อาจจะช่วยชีวิตตนเองได้
“เจ้ามาที่นี่เพื่อขโมยฟันมังกรเพราะอยากผ่านการทดสอบใช่หรือไม่?” ชีอ้าวชวางไม่แสดงท่าทีอะไรแล้วถามออกไป จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นพี่สาวของนาง ทำไมเจ้ายังค้างอยู่ที่แบบทดสอบสุดท้ายนี้อยู่อีกล่ะ?”
พอชีอ้าวชวางพูดจบ โจไมเออร์ก็หน้าซีด นางรู้แล้วว่าคนตรงหน้านี้รู้จักซัมเมอร์จริงๆ
“ข้า ข้า…” สายตาของโจไมเออร์มีประกายอึดอัดใจ
ชีอ้าวชวางยิ้มเยาะแล้วเข้าใจทันที แม้ว่าโจไมเออร์ผู้นี้จะเป็นพี่สาวของซัมเมอร์ แต่เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ได้เก่งเท่าซัมเมอร์ ดังนั้นจึงเพิ่งจะได้มาทำแบบทดสอบสุดท้ายนี้ ดูจากร่องรอยความไม่พอใจที่อยู่ในสายตาของนางแล้ว ความสัมพันธ์ของนางกับซัมเมอร์คงจะไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก และนิสัยร้ายกาจของหญิงผู้นี้ก็รับประกันไม่ได้เลยว่านางจะทำเรื่องร้ายๆ กับซัมเมอร์หรือไม่ สายตาของชีอ้าวชวางมีประกายสังหารเกิดขึ้น ในบางวิกฤติก็จำเป็นต้องกำจัดมันไปในตอนที่ยังเป็นเพียงตัวอ่อนอยู่
“เจ้าไปซะ วันนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า และจากนี้ก็อย่าเข้ามาใกล้เส้นเลือดมังกรอีก” เบนเอ่ยปากด้วยความเย็นชาแล้วหันไปพูดกับมังกรที่อุ้มโจไมเออร์อยู่ “เอานางออกไปทิ้งซะ หากนางเข้ามาใกล้เส้นเลือดมังกรอีกก็ฆ่านางได้เลย”
มังกรทั้งสองพนักหน้ารับคำสั่งอย่างเคารพแล้วพาโจไมเออร์ออกไป
โจไมเออร์เหลียวไปมองใบหน้าของเบน จนกระทั่งถูกพาออกจากประตูไปก็ยังคงไม่ละสายตา
“ทำไมเจ้าถึงปล่อยนางไปล่ะ?” เสียงของชีอ้าวชวางเรียบเฉยมาก
“เพราะนางเป็นพี่สาวของซัมเมอร์” เบนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกลุ้มใจ
ชีอ้าวชวางถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วนางก็เข้าใจว่าเบนคงจะชอบซัมเมอร์เข้าให้แล้วจึงไม่อยากเอาชีวิตหญิงผู้นั้น หญิงผู้นั้นยังไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีกับซัมเมอร์เลย หากซัมเมอร์รู้ว่าเบนฆ่าพี่สาวของนาง เรื่องราวก็คงไม่จบลงง่ายๆ แน่นอน
“ข้าทำเช่นนี้มีอะไรผิดไปหรือไม่?” เบนมองสีหน้าเรียบเฉยของชีอ้าวชวางแล้วถามอย่างไม่เข้าใจ
ชีอ้าวชวางก็ไม่รู้ว่าควรจะบอกเขาอย่างไรดี ความรู้สึกของมนุษย์ซับซ้อนมาก หัวใจของมนุษย์ล้ำลึกเกินกว่าจะเทียบกับเผ่ามังกรได้ ชีอ้าวชวางรู้สึกว่าหญิงสาวที่ถูกปล่อยตัวผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
“ไม่มีอะไรหรอก ต่อไปเจ้าก็ระวังด้วยแล้วกัน ใจของหญิงผู้นี้ซับซ้อนมาก อย่าให้นางทำร้ายซัมเมอร์ได้” ชีอ้าวชวางพูดเสียงเรียบ
“คงไม่ทำหรอก นางเป็นพี่สาวของซัมเมอร์ไม่ใช่หรือ?” เบนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้าเองก็ถูกพี่ชายใส่ร้ายจนเกือบตายไม่ใช่หรือ?” ชีอ้าวชวางพูดกับเบนอย่างไม่พอใจ
สีหน้าของเบนเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วเงียบไปเลย
“เช่นนั้น เช่นนั้นข้ารู้แล้ว ถ้ามีใครกล้ามาทำร้ายซัมเมอร์ ข้าจะฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ เลย” แววตาของเบนดูน่ากลัวขึ้นมาทันที
ชีอ้าวชวางลอบถอนหายใจ หากบาดเจ็บแล้วค่อยแก้แค้นมันก็สายไปเสียแล้ว เพราะบาดแผลได้เกิดขึ้นแล้ว แต่เบนเป็นมังกร เขาคงจะยังไม่รู้นิสัยและความรู้สึกของมนุษย์มากพอ เดี๋ยวค่อยๆ สอนเขาต่อไปก็แล้วกัน พูดไปตอนนี้เขาก็ไม่เข้าใจหรอก ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้โจไมเออร์ผู้นั้นยังไม่แสดงพฤติกรรมอะไรให้เห็นเป็นพิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกล้วนเป็นเพียงการอนุมานคาดเดาของชีอ้าวชวางเท่านั้น
“ว่าแต่ตอนนี้ซัมเมอร์อยู่ที่ไหนล่ะ?” เบนมองชีอ้าวชวางแล้วถาม
“พวกนางไปเที่ยวหาประสบการณ์กัน ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางอยู่ที่ไหน” ชีอ้าวชวางพูดเรียบๆ “เวลานี้นางอยู่กับสุ่ยเหวินโม่ ส่วนเฉียวฉู่ซินและตงเฟิงโฮ่วไปช่วยข้าหาสิ่งประดิษฐ์ที่เผ่าออร์คน่ะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็รีบไปกันเถอะ เราไปหาสนับข้อมือที่คลังสมบัติกันตอนนี้เลย จากนั้นจะได้รีบไปเผ่าเอลฟ์กัน” เบนรีบลุกขึ้นเร่ง “ไปเถอะ ข้ารอไม่ไหวแล้ว”
ชีอ้าวชวางมองท่าทางรีบร้อนของเบนแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
เบนพาชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นบินไปที่เทือกเขาขนาดใหญ่แล้วร่อนลงช้าๆ มังกรตัวใหญ่สองตัวหมอบคอยคุ้มกันอยู่ที่เชิงเขา พอพวกเขาเห็นเบนมาก็รีบทำความเคารพทันที เบนจึงยกมือขึ้นแล้วพยักหน้าเบาๆ “ข้าจะเข้าไปหาของสักหน่อย”
“ขอรับ ฝ่าบาท” หางตาของมังกรสองตัวนั้นเหลือบมองชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นแล้วก็ได้รู้ว่ามนุษย์สองคนนี้เป็นเพื่อนของราชา พวกเขาจึงไม่พูดอะไร
มังกรดำเบนพาทั้งสองเดินตรงเข้าไปในถ้ำขนาดใหญ่ บริเวณปากถ้ำค่อนข้างสลัว แต่ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งสว่าง ตอนที่ชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นเห็นถ้ำที่เต็มไปด้วยสมบัติก็อ้าปากค้าง มากมายขนาดนี้เลยหรือ! ทั้งเจิดจรัสและเปล่งประกายพราวพราว…ชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นหาคำมาอธิบายฉากที่น่าตกใจต่อหน้าพวกเขาไม่ได้เลย ชีอ้าวชวางหยิบมงกุฎเล็กๆ บอบบางออกมาจากแหวนมิติเพื่อหาสนับข้อมือในคลังสมบัติ จากนั้นก็พูดกับเหลิ่งหลิงยวิ๋นและเบน “ถ้าเป็นสนับข้อมืออย่างที่เบนบอกจริงๆ ลวดลายบนนั้นก็น่าจะคล้ายๆ กับที่อยู่บนมงกุฎนี้ พวกเราหากันเถอะ”
เบนมองที่มงกุฎ “อืม ข้ารู้แค่ว่าเผ่ามังกรมีของสิ่งนี้ ราชวงศ์ในอดีตต่างก็รู้ดีแต่ก็ไม่เคยเห็นว่ามันมีลักษณะอย่างไร เช่นนั้นก็หากันเถอะ” เบนพูดแล้วก็ลงมือทำเลย เขาจดจำลวดลายบนมงกุฎแล้วเริ่มหาในกองสมบัติมโหฬารนั้น พวกเขาทั้งสามคนหากันอยู่นานจนในที่สุดก็เจอสนับข้อมือสีฝุ่นที่มีลวดลายเก่าแก่อยู่ที่มุมหนึ่ง ไป๋ตี้และเฮยหยู่กระโดดอยู่ในกองสมบัติอย่างตื่นเต้น
หลังจากชีอ้าวชวางลองเช็ดทำความสะอาดแล้วมาเทียบกับมงกุฎดู ลวดลายนั้นดูลึกลับเก่าแก่เหมือนกันเลย
“ไม่ผิดแน่ หยิบมาเลย ต่อไปเราก็ไปที่เผ่าเอลฟ์กัน” เบนพยักหน้าอย่างตื่นเต้น
“อื้ม” ชีอ้าวชวางใส่มงกุฎและสนับข้อมือเข้าในแหวนมิติอย่างระมัดระวังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเบนและพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “เบน ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณอะไร? เป็นเพื่อนกันก็ควรจะทำแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” เบนพูดด้วยรอยยิ้ม