เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 209
“เพราะพวกเขาเป็นพ่อค้าหน้าเลือดและรูปลักษณ์ก็น่าเกลียดด้วย” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดอย่างเคร่งขรึม
“ฮ่าๆ เจ้ารู้ดีนี่” เบนหัวเราะ
“ในห้องสมุดของวิหารแห่งแสงมีบันทึกอยู่ เมื่อนานมาแล้วเผ่าพันธุ์ต่างๆ ยังคงติดต่อกันอยู่ ออร์ค คนแคระ และโนมทำการค้ากัน แต่ออร์คและคนแคระก็เสียเปรียบมาโดยตลอด ต่อมามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น เผ่าพันธุ์ทั้งหมดก็ล่าถอยกลับไปยังที่แห่งหนึ่งและต้องรักษาอาณาเขตของตัวเองเอาไว้แล้วหยุดติดต่อสัมพัมธ์กับเผ่าพันธุ์อื่นๆ ไปเลย” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดเบาๆ
“มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในห้องสมุดของวิหารแห่งแสงงั้นหรือ?” เบนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“มันอยู่ในห้องสมุดลับ ข้าไปแอบดูมา” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดโดยที่ไม่รู้สึกละอายใจเลย การแอบดูกลายเป็นเรื่องที่ชอบธรรมไปแล้วในพจนานุกรมของเขา
เบนมองเหลิ่งหลิงยวิ๋นด้วยสายตาที่บอกว่าเจ้าเจ๋งมาก จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร
“ไปกันเถอะ เราเข้าไปดูกันก่อน” ชีอ้าวชวางก้าวไปข้างหน้า แต่ทันทีที่เข้าไปในป่าก็มีเสียงดังกึกก้องไปทั่วผืนป่า
ทุกคนสบตากัน ดูเหมือนว่าในป่าแห่งนี้จะมีโนมเฝ้าอยู่นะ
แน่นอนว่าเสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็มีหัวเขียวๆ โผล่ออกมาจากป่า
บรรดาโนมที่ติดอาวุธครบมือขี่หลังหมาป่าหิวโหยกำลังล้อมพวกเขาอยู่ โนมมีใบหน้าเหี่ยวย่น ผิวสีเขียว ใบหูเรียวแหลม ในขณะนี้พวกเขาทั้งหมดกำลังจ้องไปที่กลุ่มของชีอ้าวชวาง
“พวกมนุษย์จงหยุดฝีเท้าของเจ้าซะ พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านพื้นที่ตรงหน้านี้” โนมที่อยู่ข้างหน้าตะคอกอย่างเย็นชา
“ข้ามีเรื่องบางอย่างที่จะต้องพบราชาของพวกเจ้า” ชีอ้าวชวางพูดเบาๆ และมองโนมที่อยู่ตรงหน้า
โนมขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วมองชีอ้าวชวางขึ้นและลง จากนั้นก็มองคนอื่นๆ จากนั้นเบนก็ปล่อยแรงกดดันมังกรออกมาในเวลาที่เหมาะสม
“มังกร?!” โนมทั้งหมดกระซิบกันด้วยความตกใจ ในขณะที่พาหนะที่อยู่ใต้ร่างพวกเขาทั้งหมดกำลังหมอบลงกับพื้นด้วยตัวสั่นเทา
มุมปากของชีอ้าวชวางโค้งขึ้น ทุกอย่างจะเป็นเรื่องง่ายมากเมื่อมีมังกรอยู่เคียงข้าง
ก่อนที่โนมจะตอบสนองอะไร ทันใดนั้นแสงสีขาวราวกับหิมะขนาดใหญ่ก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าครอบคลุมโนมทั้งหมดไว้ข้างใน จากนั้นโนมที่อยู่ข้างในทั้งหมดก็กลายเป็นผงแล้วก็สลายไปทันทีโดยไม่ทันส่งเสียงใดๆ เอาชีวิตของโนมเหล่านี้ไปในพริบตา ฉากนั้นดูน่าขนลุกเล็กน้อย
การโจมตีของศัตรูหรือ?!
พวกของชีอ้าวชวางก้าวถอยหลังไปแล้วมองวงกลมแสงสีขาวนั้นอย่างระแวดระวัง
พลังแห่งแสง!
วงกลมของแสงสีขาวค่อยๆ สลายไปอย่างช้าๆ เผยให้เห็นร่างหลายร่างที่อยู่ข้างในนั้น
ทูตสวรรค์! ข้างในนั้นมีทูตสวรรค์หลายองค์ แถวหน้าเป็นทูตสวรรค์แปดปีกซึ่งมีปีกสี่คู่ ตามมาด้วยทูตสวรรค์ทั้งสี่ที่มีใบหน้าเย็นชา หลังจากนั้นไปอีกคือทูตสวรรค์หกปีกที่มีปีกสามคู่ ทูตสวรรค์ทั้งห้าอยู่ในชุดสีขาวราวกับหิมะ ปีกสีขาวราวกับหิมะ ผมสีบลอนด์อ่อนนุ่มและดวงตาสีฟ้าเข้ม ในมือของพวกเขาทั้งหมดถือดาบยาวสีขาวไว้
ดวงตาของชีอ้าวชวางนิ่งลง ในที่สุดเทพีแห่งแสงก็นิ่งเฉยไม่ได้แล้วสินะ? ตอนนี้ตนเองได้ชิ้นส่วนของขนนกสังหารเทพเจ้ามาแล้วสามชิ้น เทพีแห่งแสงก็คงจะตระหนักได้ว่านางที่ปรากฎตัวในโลกแห่งนี้ได้ไม่นานเท่าไหร่นักจึงคิดหาวิธีส่งทูตสวรรค์เหล่านี้มา สีหน้าของเหลิ่งหลิงยวิ๋นเปลี่ยนไปทันที ที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาคือทูตสวรรค์จริงๆ ตามเหตุผลแล้วทูตสวรรค์ลงมาสู่โลกได้อย่างไม่ราบรื่นนัก แม้ว่าพวกเขาจะลงมาด้วยกำลังที่แข็งแกร่ง แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะลดลงอย่างมาก แต่ว่าความแข็งแกร่งของทูตสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นทรงพลังอย่างน่าประหลาดใจ กล่าวอีกนัย ดูเหมือนว่าเทพีแห่งแสงจะใช้วิธีการบางอย่างเพื่อให้ทูตสวรรค์เหล่านี้ลงมาได้โดยที่ไม่ทำให้กำลังของพวกเขาอ่อนแรงลงนั่นเอง
“ให้ตายสิ! นั่นคือทูตสวรรค์จริงๆ” เบนรู้สึกตื่นเต้นอยากจะลงมือแล้ว
“ราชามังกร!” ใครจะรู้ว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้ออกแรงอะไร ทูตสวรรค์แปดปีกที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็ยื่นดาบออกมาชี้ไปที่เบนและตะโกนอย่างเย็นชา “เจ้าลืมข้อตกลงระหว่างเทพเจ้ามังกรกับเทพีแห่งแสงไปแล้วหรือ?”
“เจ้าพูดถึงอะไร ข้าไม่ใช่ราชามังกรสักหน่อย” เบนพูดแล้วทำเมินเฉย
“หึ!” แต่ทูตสวรรค์แปดปีกยิ้มอย่างเย็นชาและจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกับร้องเสียงแหลมคมดังก้องราวกับฟ้าร้องในหูของทุกคนจนแก้วหูแทบจะทะลุ
สีหน้าของทุกคนในกลุ่มชีอ้าวชวางเปลี่ยนไปอย่างมาก ความแข็งแกร่งของทูตสวรรค์นี้ไม่ธรรมดาเลย แตกต่างกับทูตสวรรค์ที่มาครอบครองร่างของพระสันตปาปาและอาร์ชบิชอปในวันนั้นอย่างสิ้นเชิง
หลังจากเสียงร้องของทูตสวรรค์แปดปีกดังก้องไปทั่วท้องฟ้าอย่างยาวนานแล้ว
สีหน้าของเบนดูแย่มากในขณะนี้
มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าแรงกดดันและเสียงดังก้องนี้หมายถึงอะไร
เทพเจ้ามังกรกำลังมา!
เสียงกึกก้องดังขึ้น จากนั้นเมฆหลากสีก็ค่อยๆเคลื่อนที่รวมกันบนท้องฟ้า สีหน้าของเบนดูแย่ลงไปอีก เทพเจ้ามังกรจะมาปรากฏตัวที่นี่ เขารู้จุดประสงค์ของเทพเจ้ามังกรดีกว่าใครๆ
ชีอ้าวชวางมองสีหน้าภาคภูมิใจของเหล่าทูตสวรรค์และมองสีหน้าที่น่าเกลียดของเบนก็เข้าใจได้ในทันที
“ราชามังกร ดูสิว่าเจ้าจะเข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้อย่างไร! หากเจ้าละเมิดข้อตกลงระหว่างเทพเจ้ามังกรและเทพีแห่งแสงล่ะก็ เทพเจ้ามังกรจะจัดการกับเจ้าแน่นอน ฮึ่ม!” ทูตสวรรค์แปดปีกชี้ดาบไปที่เบนอย่างเยาะเย้ย ในน้ำเสียงนั้นมีความร้ายกาจและย่ามใจที่ไม่อาจปกปิดได้อยู่
“ให้ตายสิ!” สีหน้าของเบนดำคล้ำราวกับถ่าน เขาเงยหน้าขึ้นมองเมฆที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา ในขณะที่หัวใจของเขายังคงจมดิ่งลงเรื่อยๆ
ทูตสวรรค์รออยู่อย่างเงียบๆ ไม่ขยับ และยังไม่ทันที่กลุ่มของชีอ้าวชวางจะมีปฏิกิริยาใดๆ เมฆหลากสีก็มาหยุดอยู่เหนือหัวของทุกคนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีเชือกยื่นออกมาจากก้อนเมฆหลากสี สีหน้าของเบนเปลี่ยนไปแล้วเขาก็หมุนตัวจะวิ่งหนี แต่ดูเหมือนเชือกจะมีตาเพราะมันรีบตามเบนไปอย่างรวดเร็ว เบนถูกเชือกพันตัวและมัดอย่างแน่นหนาโดยขัดขืนไม่ได้เลย จากนั้นก็มีเสียงสะอื้นดังออกจากปากของเบน
ชีอ้าวชวางอ้าปากค้าง ไม่ใช่ว่าเบนไม่ต่อต้าน แต่เขาไม่มีโอกาสที่จะได้ต่อต้านเลย ต่อหน้าเทพเจ้ามังกร เบนขัดขืนไม่ได้ เขาจึงถูกจับได้
ชีอ้าวชวางปล่อยเปลวไฟไปที่ด้านบนของเชือกที่แขวนเบนอยู่ แต่เชือกไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย ชีอ้าวชวางและคนอื่นๆ ทำได้แค่มองในขณะที่เบนถูกมัดเป็นเกี๊ยวแล้วถูกยกขึ้นไปบนท้องฟ้า เบนงอร่างกายของเขาอย่างสิ้นหวังราวกับหนอนผีเสื้อที่กระพือปีก แต่เขาหลุดพ้นจากเชือกไม่ได้ แม้ว่าภาพจะดูน่าขันไปหน่อย แต่สถานการณ์ในขณะนี้กลับไม่ตลกเลยสักนิด ชีอ้าวชวางกำลังจะโจมตีอีกครั้ง แต่เบนส่งสายตามาหยุดพฤติกรรมของนางไว้ สถานการณ์ตรงหน้าถือว่าวิกฤตมากเมื่อต้องเผชิญกับเหล่าทูตสวรรค์ผู้ทรงพลังทั้งห้านี้ นางสร้างศัตรูเพิ่มอีกไม่ได้ อีกทั้งคู่ต่อสู้คือเทพเจ้ามังกรที่มีความแข็งแกร่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ด้วย! ชีอ้าวชวางเข้าใจอย่างลึกซึ้งที่สุดเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างเทพเจ้าและมนุษย์ ชีอ้าวชวางเข้าใจการแสดงออกทางสายตาของเบน นางจึงหยุดการกระทำของคนอื่นด้วยเช่นกัน
ไม่นานมังกรดำก็ถูกลากเข้าไปในเมฆ จูดี้ตัวสั่นและซ่อนตัวอยู่ข้างหลังจินเหยียน นางกลัวว่าเป้าหมายต่อไปของเทพเจ้ามังกรจะเป็นนาง เพราะเห็นได้ชัดว่าเบนถูกจับตัวไปเพราะเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
“ข้าจะเอาไอ้นี่ไป” มีเสียงดังมาจากท้องฟ้า น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสั่นสะท้านและสง่าผ่าเผย แต่เนื้อหาไม่ตรงกับเสียงพูดเลย…
จากนั้นเมฆหลากสีก็ลอยหายไปอย่างรวดเร็วผสมกับเสียงดิ้นรนของเบน
“หึ! มนุษย์ผู้ต่ำต้อยที่พยายามยั่วยุความสง่างามของเทพีผู้สูงศักดิ์ ข้าจะให้เจ้าได้ชดใช้ในวันนี้!” ทูตสวรรค์แปดปีกมุ่งหน้าเข้ามาอย่างเย็นชาพร้อมดาบในมือที่ยกขึ้นสูง จากนั้นดาบก็เป็นประกายพราว
ชีอ้าวชวางหัวเราะเยาะ นางพลิกข้อมือแล้วดาบชังหลันก็ปรากฎอยู่ในมือของนางทันที
จินเหยียนก็รีบยกดาบออกมาเช่นกัน ใบหน้าของเหลิ่งหลิงยวิ๋นนิ่งลง เขามองไปที่ทูตสวรรค์ทั้งหลายด้วยใบหน้าที่เย็นชาและเย่อหยิ่ง
ออสต้าประสานมือทั้งสองข้างที่หน้าอกของเขาแล้วก้าวถอยไปอย่างเงียบๆ กลายเป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริง ชีอ้าวชวางเองก็ไม่อยากให้เขาเคลื่อนไหวอยู่แล้ว
“เผ่าเอลฟ์?” ทูตสวรรค์แปดปีกที่กำลังมุ่งหน้าไปกลับหันไปมองออสต้าด้วยความประหลาดใจและโพล่งออกมา
“พวกเอลฟ์ก็เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยหรือ?” ทูตสวรรค์หกปีกที่อยู่ด้านหลังทูตสวรรค์แปดปีกขมวดคิ้วและตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
ออสต้าขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ สมองของทูตสวรรค์พวกนี้มีอะไรอยู่บ้างเนี่ย? ไม่เห็นว่าเขาถอยไปด้านข้างหรือ?
“ในเมื่อเจ้าคิดว่าข้าจะเข้ามายุ่ง หากข้าไม่ทำอะไรสักอย่างก็คงจะทำให้เจ้าผิดหวังสินะ?” ออสต้าพูดด้วยเสียงเยาะเย้ยแล้วลุกขึ้น
“ไอ้โง่!” ทูตสวรรค์แปดปีกหันกลับมาตวาดทูตสวรรค์หกปีกที่อยู่ข้างหลัง ไม่มีตาเลยหรือไง ไม่เห็นหรือว่าเอลฟ์ไม่ได้มีเจตนาจะเข้ามายุ่ง? ตอนนี้เอลฟ์กำลงจะเข้ามายุ่งเพราะว่าคำพูดประโยคเดียวของทูตสวรรค์หกปีกนั่นแล้ว! แถมพลังของเอลฟ์ก็ไม่ใช่เล่นๆ ด้วย แต่ว่าทำไมเอลฟ์ผู้สูงส่งบริสุทธิ์และรักสงบจึงหงุดหงิดง่ายจังล่ะ? ตอนนี้ นอกเหนือจากความโกรธแล้ว ทูตสวรรค์แปดปีก็ยังรู้สึกประหลาดใจอีกด้วย
ไม่ใช่แค่ทูตสวรรค์แปดปีกเท่านั้นที่ประหลาดใจ แต่ชีอ้าวชวางเองก็ด้วย
ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วเล็กน้อยกับพฤติกรรมแปลกๆ ของออสต้า พูดว่าจะลงมือก็ลงมือเลยงั้นหรือ แถมเหตุผลก็ง่ายและไร้สาระมากๆ ด้วย
“เจ้าไม่กลัวว่าจะสร้างปัญหาให้กับเผ่าเอลฟ์ของเจ้าหรือ?” จุดประสงค์ของการเดินทางของทูตสวรรค์แปดปีกคือการสังหารชีอ้าวชวางและทำลายจิตวิญญาณของนางไปเสีย ดังนั้นจึงหวังว่าจะโจมตีให้ได้ดีที่สุดด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เขาจึงพูดพยายามเกลี้ยกล่อมเอลฟ์ก่อน
“เทพเจ้าเอลฟ์มีข้อตกลงกับเทพีของพวกเจ้าหรือไม่?” ออสต้าถามอย่างเป็นกันเองพร้อมรอยยิ้มบางๆ
ทูตสวรรค์แปดปีกสะดุ้ง เพราะไม่มีข้อตกลงใดๆ ระหว่างเทพเจ้าเอลฟ์กับเทพีแห่งแสงเลย พวกเอลฟ์รักสันติและเกลียดมนุษย์มาโดยตลอด อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะติดต่อกับมนุษย์ด้วย นับประสาอะไรกับการแทรกแซงกิจการของมนุษย์ล่ะ
“ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นก็เถอะ เจ้าไม่กลัวการลงโทษของเทพเจ้าเอลฟ์หรือ?” ทูตสวรรค์แปดปีกยังคงเกลี้ยกล่อมด้วยใบหน้าที่สงบ
ออสต้ายิ้มจางๆ ไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนใจคำพูดของทูตสวรรค์แปดปีกเลย สีหน้าของทูตสวรรค์แปดปีกเปลี่ยนไปทันที สิ่งที่ทำใจรับยากที่สุดสำหรับทูตสวรรค์ผู้หยิ่งผยองเหล่านี้ไม่ใช่การดุเขา แต่เป็นการเพิกเฉยและเมินเขา พฤติกรรมของออสต้าถือเป็นการตบหน้าเขาแรงๆ อย่างไม่ต้องสงสัยเลย