เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 221
ชีอ้าวชวางหันไปเห็นความเศร้าและความอิจฉาในสายตาของชายผู้เย้ายวน ชีอ้าวชวางตัวสั่น เมื่อเห็นอารมณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ในสายตาของชายคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่ทำให้รับไม่ไหวจริงๆ
ชีอ้าวชวางอุ้มแมวล่าสมบัติบนหัวไว้ นางลูบหัวมันเบาๆ แล้วยิ้ม “อาเป่า ข้าก็ชอบเจ้ามากเช่นกัน แต่ข้าต้องกลับไปที่โลกของข้าแล้ว”
“เหมียว…” อุ้งเท้าหน้าอ้วนๆ ทั้งสองข้างของแมวล่าสมบัติกอดนิ้วของชีอ้าวชวางไว้ และดวงตาสีเหลืองอำพันของมันก็เต็มไปด้วยความกลัว ในสายตาของแมวล่าสมบัติ นี่คือสมบัติชิ้นใหญ่ มันจะปล่อยไปได้อย่างไรล่ะ?
ชีอ้าวชวางยิ้มแล้วลูบหูที่มีขนยาวๆ ของแมวล่าสมบัติ จากนั้นก็อุ้มมันเดินไปหาชายผู้เย้ายวนแล้วยื่นแมวให้กับชายผู้ยั่วยวน “แม้ว่าตอนนี้ข้าจะไม่รู้จักชื่อของเจ้า แต่ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ”
“ข้าไม่…” ชายผู้เย้ายวนปรายตามองอย่างไม่แยแสและพูดอะไรบางอย่าง
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้อยากพาเราไปส่ง เจ้าทำเพื่อมัน” ชีอ้าวชวางมองลงไปยังแมวล่าสมบัติในมือของเขาและยิ้ม “แต่ไม่ว่าเจ้าจะมีจุดประสงค์อะไร เจ้าก็พาข้ามาที่นี่ ถ้าไม่มีเจ้า ข้าคงรับแก่นแท้ของไฟอย่างราบรื่นไม่ได้หรอก”
“ฮึ!” ชายผู้ยั่วยวนทำท่าทางฮึดฮัดแล้วยื่นมือไปกอดแมวล่าสมบัติ
“เหมียวๆๆ…เหมียว!” ใครจะรู้ว่าแมวล่าสมบัติจะร้องสุดแรงพร้อมยื่นอุ้งเท้าหน้าสองข้างออกมาจับนิ้วของชีอ้าวชวางไว้ด้วยดวงตาเปล่งประกายแสงสีเขียว นี่คือสมบัติของตนเอง เป็นสมบัติที่ให้ห่างตัวเองไม่ได้!
ชีอ้าวชวางมองแมวล่าสมบัติที่เกาะนิ้วของตนเองไม่ยอมปล่อย จากนั้นมองชายผู้เย้ายวน ก่อนจะพึมพำ “เจ้าพามันออกไปเถอะ ข้าก็จะกลับไปโลกของข้าแล้ว”
“ไม่” ชายผู้เย้ายวนปฏิเสธ
“หือ?” ชีอ้าวชวางไม่เข้าใจ
“อาเป่าถือว่าเจ้าเป็นสมบัติชิ้นใหญ่ที่เคลื่อนย้ายได้ของมันไปแล้ว มันรักสมบัติเท่าชีวิต” ชายผู้เย้ายวนพูดอย่างปวดหัว “เจ้าพาอาเป่าออกไปเล่นก่อนก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเจ้า ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็จะต้องมาที่โลกนี้ แล้วถึงเวลานั้น อาเป่าก็คงจะเข้าใจว่าเจ้าไม่ใช่สมบัติอย่างที่มันต้องการและจะกลับมาหาข้าเอง” ชายผู้เย้ายวนมองแมวล่าสมบัติที่อยู่ในมือของชีอ้าวชวาง ดวงตาของเขาก็ปรากฏความอ่อนโยน เขาขอให้ชีอ้าวชวางนำแมวไปด้วย เหตุผลเดียวคือเขาไม่อยากให้อาเป่าไม่มีความสุข
“นี่หมายถึงอะไร?” ชีอ้าวชวางรู้สึกงุนงงเล็กน้อย คำพูดของผู้ชายที่เย้ายวนนี้หมายถึงอะไร? จะมาโลกนี้อีกไม่ช้าก็เร็วหมายความว่าอย่างไร?
“เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะรู้เอง” ชายผู้เย้ายวนยิ้ม เขามองไปที่แมวล่าสมบัติในมือของชีอ้าวชวาง เขายื่นมือออกไปและบีบหูของแมวล่าสมบัติเบาๆ แล้วพูด “เด็กน้อย เจ้าชื่ออะไร?”
“ชีอ้าวชวาง” ชีอ้าวชวางตอบสั้นๆ
“ถือว่าเจ้ามีชะตากรรมกับอาเป่าของข้า เจ้าดูแลและถนอมชะตากรรมนี้ให้ดีนะ” ชายผู้เย้ายวนถอนหายใจเบาๆ ชะตากรรมของเขาคือต้องแยกจากอาเป่าระยะหนึ่งใช่หรือไม่? ชายผู้เย้ายวนเงยหน้าขึ้นมองชีอ้าวชวางและพูดต่อ “อาเป่าเป็นแมวจู้จี้จุกจิก ไม่ชอบกินผัก ชอบกินเนื้อเท่านั้น ผลไม้ต้องหวาน ไม่เปรี้ยวนะ”
ชีอ้าวชวางประหลาดใจเล็กน้อยกับคำพูดของชายผู้เย้ายวน เขาต้องการให้แมวล่าสมบัติตามนางไปใช่หรือไม่?
“เจ้ารักอาเป่ามาก เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะดูแลมันไม่ได้หรือ? มันตามล่าหาสมบัติได้ ต้องมีหลายคนคิดจะจับสัตว์เช่นนี้แน่ๆ ใช่หรือไม่?” ชีอ้าวชวางถามอย่างไม่แน่ใจ
“อาเป่าไม่ต้องการการปกป้อง เจ้าจะรู้เมื่อถึงเวลา” ชายผู้เย้ายวนลูบหัวแมวและพูดเบาๆ “อาเป่าทำตัวดีๆ นะ ข้าจะรอให้เจ้ากลับมาซนต่อ”
“เหมียว…” แมวล่าสมบัติกำลังเพลิดเพลินกับการกอดรัดของชายผู้เย้ายวนด้วยใบหน้าพออกพอใจ มันกระดิกหูที่มีขนของมันเล็กน้อย
“อืม เจ้ากลับไปได้แล้ว ข้าชื่อโพ่เทียนนะ” ชายผู้เย้ายวนยิ้ม “ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะมาถึงโลกนี้ด้วยกำลังของเจ้าเอง แล้วพบกันใหม่”
โพ่เทียน? นี่ชื่อผู้ชายเย้ายวนตรงหน้าหรือ? ชีอ้าวชวางอุ้มแมวล่าสมบัติ รู้สึกได้ว่ามันกำลังขดอยู่ในอ้อมแขนของนาง
“พวกเจ้าในฐานะเผ่าอสูรระดับสูง การถูกผนึกพลังคงเป็นเรื่องตลกจริงๆ สินะ” ชายผู้เย้ายวนหันกลับมามองไปที่ไป๋ตี้และเฮยหยู่แล้วพูดติดตลก
การแสดงออกของไป๋ตี้และเฮยหยู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าชายผู้เย้ายวนพูดถูก
“ปิดผนึกพลัง? พวกเจ้าเป็นอสูรระดับสูงจริงๆ หรือ?” ชีอ้าวชวางมองไปที่ไป๋ตี้และเฮยหยู่ด้วยความงุนงงและถามอย่างแผ่วเบา ทันใดนั้น ชีอ้าวชวางก็นึกถึงรูปลักษณ์ที่อธิบายไม่ได้ของไป๋ตี้และการมาของเฮยหยู่ในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาสร้างพันธะระหว่างนายและบ่าวกับตัวเองในตอนแรก แล้วจากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นพันธะที่เท่าเทียมกันโดยอัตโนมัติ ไป๋ตี้ไม่ได้หานายตั้งแต่แรก แต่หาผู้รับใช้ ชีอ้าวชวางได้เห็นพลังของพวกเขาและสงสัยในตัวตนของพวกเขามาตลอด ชายผู้เย้ายวนตรงหน้านี้พูดซ้ำๆ ว่าพวกเขาเป็นอสูร และพวกเขาเป็นอสูรระดับสูงด้วย
“เพื่ออาเป่าของข้า ข้าจะปลดผนึกให้พวกเจ้า” โพ่เทียนพูดเบาๆ
ไป๋ตี้และเฮยหยู่มองหน้ากัน และทั้งคู่ก็เห็นความตื่นเต้นจางๆ ในแววตาของกันและกัน
“จะช่วยปลดผนึกให้เราจริงๆ หรือ?” ไป๋ตี้มองโพ่เทียนและต้องการคำยืนยันอีกครั้ง
“ข้าไม่ได้จะปลดผนึกเพื่อพวกเจ้า แต่อาเป่าอยากจะออกไปข้างนอกกับเด็กน้อย และพวกเจ้าเป็นคู่พันธะกับเด็กคนนั้น สรุปคือ การที่เด็กน้อยผู้นั้นมีคนที่แข็งแกร่งอยู่ข้างกายเพิ่มขึ้นอีกก็ไม่ได้เสียหายอะไร” โพ่เทียนพูดอย่างสบายๆ พูดไปลงมือทำไปด้วย
มือสองข้างของโพ่เทียนวาดขึ้นบนท้องฟ้า มีรอยประหลาดสองอันปรากฏขึ้นในอากาศ
“ไป!” โพ่เทียนเปล่งเสียงต่ำและผลักมือทั้งสองนั้น รอยประทับทั้งสองก็พุ่งเข้าใส่ร่างของไป๋ตี้และเฮยหยู่ทันที
ไป๋ตี้และเฮยหยู่พึมพำแล้วทั้งคู่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและหลับตาลง
ชีอ้าวชวางมองไปที่คนทั้งสองที่ยืนนิ่งอย่างประหม่า
ทั้งสองยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ วงกลมหมอกสีขาวล้อมรอบตัวไป๋ตี้อย่างแน่นหนา และวงกลมหมอกสีดำล้อมรอบเฮยหยู่อยู่
“เอาละ ข้าไปแล้ว ดูแลอาเป่าของข้าด้วย อันนี้ให้เจ้า มันคือเบาะโปรดของอาเป่า” โพ่เทียนหยิบเบาะสวยหรูที่แมวนอนส่งให้ชีอ้าวชวาง “รีบออกไปซะ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาอยู่ได้นานขนาดนี้” โพ่เทียนพูดเช่นเดียวกับคามิลล์อีกครั้ง
ชีอ้าวชวางพยักหน้าอย่างจริงจังและพูด “เราจะออกไปเมื่อผนึกของพวกเขาถูกปลดเสร็จ”
“เช่นนั้นก็ดี” โพ่เทียนพยักหน้าและลูบหัวแมว “อาเป่า ต้องคิดถึงข้าด้วยนะ”
“เหมียว?” แมวล่าสมบัติรู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงแลบลิ้นเล็กๆ ของมันเลียนิ้วของโพ่เทียน
ดวงตาของโพ่เทียนเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ เขาหลับตาลงและหายไปจากตรงหน้าของชีอ้าวชวางในทันที
“เหมียว?” แมวล่าสมบัติกระโดดลงไปที่พื้นแล้วหันมองไปรอบๆ แต่ไม่พบโพ่เทียนแล้ว
“เหมียวๆ!” แมวล่าสมบัติกระวนกระวายเล็กน้อยและลุกขึ้นมากัดชายเสื้อผ้าของชีอ้าวชวางราวกับว่าต้องการให้ชีอ้าวชวางช่วยค้นหาโพ่เทียน
“อาเป่า เราจะได้แจอโพ่เทียนอีกครั้ง ไม่ต้องกังวลนะ” ชีอ้าวชวางย่อตัวลงและลูบหัวแมว
“เหมียว…” แมวน้อยรู้สึกสับสนเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วเอาหัวถูฝ่ามือของชีอ้าวชวาง ชีอ้าวชวางอุ้มแมวล่าสมบัติไว้ในอ้อมแขน และลูบหัวเบาๆ เพื่อปลอบโยน
ชีอ้าวชวางมองไป๋ตี้และเฮยหยู่ ทั้งสองคนยังคงอยู่ในสถานะเดียวกันในตอนนี้ ดวงตาทั้งสองข้างปิดแน่นราวกับทรมานจากความเจ็บปวดบางอย่าง
สิ่งที่ชีอ้าวชวางทำได้ตอนนี้คือรออย่างเงียบๆ
ในขณะนี้ เสียงที่น่าสงสัยก็ดังมาจากท้องฟ้า มันเป็นเสียงที่แหลมคมของผู้หญิง “หือ? แก่นแท้ของไฟอยู่ที่ไหน?”
ชีอ้าวชวางมองตามเสียงและเงยหน้าขึ้น นางเห็นผู้หญิงในชุดสีแดงลอยอยู่ในอากาศ ผู้หญิงในชุดสีแดงสวยงาม แต่ริมฝีปากสีแดงราวกับเลือดและผ้าโพกศีรษะที่ดูแสนโอ้อวด ทำให้รู้สึกแปลกๆ ปลายด้านหนึ่งเป็นเครื่องประดับที่งดงาม บนข้อมือและลำคอมีกำไลและสร้อยทอง จิตวิญญาณไฟก็งดงาม ผู้หญิงคนนี้ก็สวมชุดสีแดง แต่ความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองคืออารมณ์ที่แตกต่างกัน จิตวิญญาณไฟดูน่าสนใจ แต่ผู้หญิงสีแดงตรงหน้าดูไม่มีรสนิยมเท่าไหร่
ในเวลานี้ผู้หญิงในชุดสีแดงกำลังลอยอยู่ในอากาศ พอนางเห็นชีอ้าวชวางก็ค่อยๆ บินไปข้างหน้าชีอ้าวชวาง เชิดคางขึ้นและพูดอย่างเหยียดหยาม “นี่ เจ้าเห็นหรือไม่ว่าใครมาแย่งแก่นแท้ของไฟไป?”
ชีอ้าวชวางไม่ได้พูด แต่มองไปที่คนที่หน้าแดงเหมือนก้นลิงอย่างเย็นชา ผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งมาก ชีอ้าวชวางต้องยอมรับเรื่องนี้ แม้ว่านางจะเพิ่งเลื่อนขั้น แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามเลย ดูจากองค์ประกอบธาตุไฟที่รุนแรงของหญิงสาวชุดแดง และตุไฟที่โอบล้อมนางอย่างโอ้อวด คนประเภทนี้ยังจำเป็นต้องหาแก่นแท้ของไฟอยู่อีกหรือ?
“ข้ากำลังถามเจ้า ไม่ได้ยินหรือ?” ผู้หญิงในชุดสีแดงเห็นชีอ้าวชวางไม่สนใจจึงเอานิ้วชี้จมูกของชีอ้าวชวางและพูดด้วยความโกรธ
“เหมียว!” แมวล่าสมบัติในอ้อมแขนของชีอ้าวชวางเหยียดอุ้งเท้าของมันออกและตะปบมือของผู้หญิงชุดแดงราวกับสายฟ้า
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”
“สัตว์ตัวน้อยนี่! วันนี้ข้าจะ…” หญิงสาวในชุดสีแดงคำรามและกำลังจะลงมือ แต่เมื่อนางเห็นรูปลักษณ์ของแมวในอ้อมแขนของชีอ้าวชวางก็กลืนคำพูดไป ผู้หญิงชุดแดงเดินถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างรวดเร็วราวกับเห็นผี นางมองไปที่แมวของชีอ้าวชวางด้วยความตกใจแล้วยื่นมือออกมาชี้ไปที่แมวอย่างสั่นๆ พร้อมทั้งพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย “มัน ทำไมมันมาที่นี่กับเจ้า? เกิดอะไรขึ้น?”