เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 224
ชีอ้าวชวางเหลือบมองด้วยสายตาเรียบนิ่งพร้อมพูดอย่างเย็นชา “เจ้าไม่รู้จักคำว่ามารยาทหรือ?”
“ขอโทษค่ะๆ” สาวใช้ก้มหน้าขอโทษ เรื่องนี้นางผิดเองที่ไปยุ่งกับสัตว์เลี้ยงของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ได้อนุญาต สาวใช้ได้แต่อึ้งอยู่ในใจว่าสัตว์ตัวนี้คืออะไรกันแน่? มันคงไม่ใช่แมวธรรมดาทั่วไปแน่ๆ หรือว่ามันจะเป็นสัตว์เวทที่ภายนอกดูเหมือนแมวเท่านั้นกันนะ พอคิดเรื่องนี้ สาวใช้ก็ยิ่งกลัวมากขึ้นและโทษตัวเองที่ประมาทจนเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้ว
“เอาเถอะ เจ้าไปได้แล้ว” ชีอ้าวชวางเดินไปที่ข้างเตียงแล้วอุ้มแมวล่าสมบัติขึ้นมาลูบหัวเบาๆ เป็นการปลอบโยน นางเองก็ตกใจกับการกระทำเมื่อครู่ของแมวล่าสมบัติเช่นกัน ดูท่าทางเจ้าแมวนี่จะไม่ได้มีแค่ความสามารถในการหาสมบัติเสียแล้ว
สาวใช้รีบเก็บของบนโต๊ะอาหารแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
ชีอ้าวชวางเอนพิงเตียงในขณะที่ยังอุ้มแมวอยู่ แต่นางยังไม่ง่วงมากจึงเหม่อมองไปที่ม่านหน้าต่างแล้วปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป
คำสาบานในใจวันนั้นยังคงชัดเจน
ข้าจะกลับมา ข้าจะต้องกลับมาแน่นอน!
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น มีเสียงเคาะประตูห้องนอนของชีอ้าวชวางดังลั่น ทำเอาชีอ้าวชวางตกใจจนเกือบจะกระเด็นตกเตียง
“อ้าวชวาง! เปิดประตูเร็วเข้า!”
“ตื่นเร็วอ้าวชวาง!”
“ศิษย์รัก รีบออกมาให้ข้าได้เจอเจ้าเถอะ!”
ข้างนอกนั่นมีแต่เสียงดังโวยวาย ชีอ้าวชวางรีบแต่งตัวแล้วไปเปิดประตู แมวล่าสมบัติที่ยังคงง่วงนอนอยู่ไม่พอใจเอามากๆ กับเสียงโวยวายเหล่านั้น มันยื่นเท้าสองข้างไปปิดหูไว้แล้วโค้งตัวขึ้นกระดกก้นแล้วก็นอนต่อ
พอชีอ้าวชวางเปิดประตู เหล่าคนที่อยู่ข้างนอกนั่นก็พากันกรูเข้ามาจนเกิดเสียงโครมครามดังลั่น แน่นอนว่าไม่ใช่แค่คนเดียว คนที่อยู่หน้าสุดคือเฉียวฉู่ซิน ต่อมาก็คือคลิฟ และตามมาด้วยวัลโด คนเหล่านั้นเบียดชีอ้าวชวางจนจะแบนอยู่แล้ว
“อ้าวชวาง ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว” เฉียวฉู่ซินกอดคอชีอ้าวชวางไม่ยอมปล่อย “เจ้าหายตัวไปไม่บอกกล่าวกันเลย ข้าก็คิดว่าคามิลล์พาเจ้าไปขายเสียแล้ว”
“ศิษย์รักของข้า ในที่สุดข้าก็ได้เจอเจ้าแล้ว” คลิฟเอามือของเฉียวฉู่ซินออกพร้อมกับเอาก้นไปดันวัลโดให้ออกไปแล้วเข้าไปกอดชีอ้าวชวาง จากนั้นพูดออกมา “ศิษย์รัก ข้าคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้าเสียแล้ว ฮือๆๆ เจ้าถูกใส่ร้าย ข้าจะช่วยเจ้าทวงคืนทุกอย่างเอง”
วัลโดโมโหจนอยากจะตะกุยหน้าคน โอกาสที่เขาจะได้กอดอ้าวชวางถูกพรากไปอีกแล้ว ครั้งแรกก็ถูกคามิลล์พรากไป ครั้งนี้ตาแก่นี่ก็ผลักเขาออกมาอีก
“อาจารย์ นี่ข้าก็สบายดีไม่ใช่หรือ?” ชีอ้าวชวางตั้งสติได้ก็ยื่นมือออกไปลูบหลังคลิฟอย่างปลอบโยนพร้อมกับความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในใจของนาง
เหลิ่งหลิงยวิ๋นและจินเหยียนยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วมองชีอ้าวชวางโดยไม่พูดอะไร แต่แววตาของพวกเขามีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้อยู่ในใจ ที่ด้านหลังพวกเขามีออสต้าที่ยืนกอดอกมองภาพตรงหน้าอย่างเงียบๆ เขามองไปที่ชีอ้าวชวางแล้วก็ตะลึง ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสามเดือนที่ไม่เจอกัน เด็กสาวผู้นี้แข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว แถมยังสวยขึ้นด้วย…ที่ด้านข้างของออสต้าคือตงเฟิงโฮ่วที่ยังคงอยู่ยืนมึนงงอยู่ ด้านหลังสุดก็คือคามิลล์ที่กำลังยืนหาว ส่วนไป๋ตี้และเฮยหยู่ยังไม่ตื่นเลย
หลังจากผ่านพ้นเสียงโวยวายยามเช้าตรู่ไป เวลาอาหารเช้าก็มีชีวิตชีวามาก ตอนที่ชีอ้าวชวางพาไป๋ตี้และเฮยหยู่ที่คืนร่างมนุษย์ไปแนะนำ ทุกคนก็ต่างตะลึงกันไปหมด ทว่าเมื่อเห็นพวกเขาสองคนในร่างมนุษย์ กลับไม่มีใครที่ดูจะไม่เชื่อว่าชายรูปงามสองคนนี้คือไป๋ตี้และเฮยหยู่เลย! หลงซ่าซือที่เรียกได้ว่าเป็นเจ้าถิ่นเองก็อยู่ด้วย ตอนนี้หลงซ่าซือเป็นราชาของของโยซาลี่แล้ว เขาแต่งกายหรูหรา สวมมงกุฎสีทองอร่ามและมีกระบี่ที่งดงามอยู่ที่เอว คำพูดและการกระทำของเขาแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจและความมีอำนาจ หลังจากที่เขาให้สาวใช้ทั้งหมดออกไปแล้ว หลงซ่าซือและทุกคนก็นั่งลง
โต๊ะอาหารยาวเต็มไปด้วยอาหารเช้าเลิศรสหลากหลายอย่าง หลงซ่าซือเริ่มต้นด้วยการพูดขอบคุณชีอ้าวชวางด้วยรอยยิ้มและใช้นมแทนเหล้าเพื่อเป็นการดื่มให้นาง
“คุณหนูชีอ้าวชวาง ข้าขอขอบคุณแรงสนับสนุนของเจ้า หากไม่มีเจ้า ข้าก็คงไม่มีวันนี้” หลงซ่าซือยกแก้วขึ้นและพูดขอบคุณอย่างจริงใจ
“ทั้งหมดนี้มันเป็นของฝ่าบาทอยู่แล้ว” ชีอ้าวชวางยิ้ม การใช้คำพูดของนางไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว เพราะเวลานี้คนที่อยู่ตรงหน้านางไม่ใช่หลงซ่าซือผู้มีฉายาลมกรดทะเลทรายอีกต่อไปแล้ว เขาคือราชาของโยซาลี่!
“เอาละ ฝ่าบาทไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว หลังจบมื้ออาหารเช้านี้เรายังมีเรื่องที่ต้องปรึกษากันอีกมากเลย” คามิลล์ตัดบทสนทนาของสองคนนั้นด้วยรอยยิ้ม หากปล่อยให้ทั้งสองพูดกันต่อไปก็คงไม่จบกันเสียที
หลงซ่าซือพยักหน้ายิ้มๆ
หลงจากมื้ออาหารเช้าจบลง ทุกคนก็ไปรวมตัวกันอยู่ในห้องหนังสือของหลงซ่าซือ
หลงซ่าซือนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ เขามองไปที่คามิลล์ที่ด้านข้างด้วยท่าทางเคร่งขรึมแล้วพูด “ท่านเสนาบดี การแทรกแซงวิหารแห่งแสงในครั้งนี้จะทำให้กองทหารของลากัคต้องสั่นคลอนหรือไม่?”
“ในตอนนี้วิหารแห่งแสงยังไม่ได้เลือกยืนข้างอันพาแกรนด์อย่างชัดเจนเลย แต่หากจะเริ่มสงครามล่ะก็ วิหารแห่งแสงก็คงจะไม่ลังเลที่จะเลือกข้างอันพาแกรนด์ เรามีพวกของอ้าวชวางอยู่ เราไม่ต้องกังวลในความสามารถของพวกเขาเลย แม้แต่ทูตสวรรค์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเราอีกต่อไปแล้ว” คามิลล์พูดเสียงเรียบ
“ปัญหาก็คือใจของชาวลากัค” สีหน้าของหลงซ่าซือเคร่งขรึมมาก “เจ้าเองก็รู้ว่าขนาดประเทศเราเป็นประเทศที่พลังแห่งแสงเข้าถึงได้น้อยที่สุดแต่ก็ยังมีประชาชนจำนวนมากที่กลัวและชื่นชมพวกเขา เจ้ารู้ดีกว่าใครว่าข้าต้องใช้พลังมากแค่ไหนกว่าจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ แม้ว่าตอนนี้พลังแห่งแสงจะถูกกำจัดไปจากที่นี่หมดแล้ว แต่ก็ยังกำจัดมันออกจากใจของคนที่เชื่อเหล่านั้นไปไม่ได้ทั้งหมดหรอก” ความกังวลใจของหลงซ่าซือไม่ได้ไร้เหตุผล เพราะแม้ว่าคนส่วนมากจะรู้ธาตุแท้ของวิหารแห่งแสงแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังคงหน้ามืดตามัวอยู่
“ข้าเข้าใจ” คามิลล์พยักหน้าแล้วพูดต่อ “วิหารแห่งแสงยังคงยืนหยัดอยู่ในใจของประชาชนได้เพราะ หนึ่งพวกเขาทำเรื่องหน้าซื่อใจคดที่อยู่ในคราบของความดีเอาไว้มากมาย และสองก็คือพวกเขาแข็งแกร่ง ภาพของวิหารแห่งแสงที่อยู่ในใจของคนส่วนใหญ่คือพวกเขาไม่มีทางพ่ายแพ้ และไม่มีใครมาล้มล้างพวกเขาได้” คามิลล์พูดอย่างเรียบเฉย “แล้วถ้าหากว่าเรามีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านั้นคอยสนับสนุนล่ะ?”
หลงซ่าซือขมวดคิ้วมองไปทางพวกของชีอ้าวชวางแล้วพูด “ข้าไม่อาจปฏิเสธเรื่องความแข็งแกร่งของกลุ่มคุณหนูชีอ้าวชวางได้อยู่แล้ว แต่ว่า…”
“แต่ว่ายังไม่น่าเชื่อถือมากพอ” คามิลล์พูดประโยคหลังของหลงซ่าซือออกมา
หลงซ่าซือพยักหน้าเบาๆ แม้ว่าพวกของชีอ้าวชวางจะแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่ชาวโลกจะรู้กันสักเท่าไหร่เชียว?
“เช่นนั้นถ้าสิ่งนี้ล่ะ?” คามิลล์ยืนขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่าง เขาเปิดหน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอกพร้อมกับพูดเบาๆ “เบน ออกมาได้แล้ว”
ชีอ้าวชวางลุกขึ้นมองไปที่นอกหน้าต่างอย่างตกใจ เบนหรือ? เขาไม่ได้ถูกเทพเจ้ามังกรจับตัวไปหรือ?
เมื่อสิ้นเสียงของคามิลล์ ก็ได้ยินเสียงคำรามของมังกรที่ดังราวกับเสียงฟ้าร้องมาจากที่ไกลๆ และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เช้านี้เมืองโยซาลี่เงียบสงบเหมือนเช่นเคย ผู้คนตื่นขึ้นมาอาบน้ำกินข้าวเช้าแล้วเปิดร้านกันเหมือนทุกๆ วัน แต่จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามของมังกรตามมาด้วยท้องฟ้าที่มืดมิด
หลงซ่าซือลุกยืนแล้วรีบตรงไปที่ข้างหน้าต่าง เมื่อเขามองออกไปข้างนอกก็แทบจะล้มลงกับพื้น ผู้คนที่อยู่ในเมืองต่างอ้าปากค้างทรุดลงกับพื้นแล้วมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยตาเบิกกว้าง บางคนถึงกับล้มลงอาเจียน บางคนก็กรีดร้องแล้ววิ่งพล่านไปทั่ว ทั่วทั้งเมืองกลายเป็นความโกลาหลไปเลย!
มังกร! บนท้องฟ้านั่นคือมังกรทั้งหมดเลย!
มังกรนับพันตัว!
เมื่อเหล่ามังกรตัวใหญ่กระพือปีกทำให้เกิดลมกรรโชกขึ้นจนทำให้ผู้คนแทบลืมตากันไม่ขึ้น
มังกรที่อยู่ด้านหน้าสุดคือมังกรสามหัวที่กำลังคำรามอยู่เหนือพระราชวัง
ชีอ้าวชวางตะลึงพูดอะไรไม่ออก ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นมันเกินกว่าที่ทุกคนจะจินตนาการถึง ท้องฟ้าของโยซาลี่เต็มไปด้วยมังกรจนทำให้ท้องฟ้ายามกลางวันมืดไปในทันที
“นะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หลงซ่าซือถามด้วยเสียงพูดตะกุกตะกัก
ทุกคนในห้องหนังสือล้วนมายืนกันอยู่ที่ข้างหน้าต่างแล้วมองไปที่ภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
“พวกเขาทั้งหมดนี้แข็งแกร่งมากพอหรือไม่? มีอำนาจมากพอหรือยัง?” คามิลล์ถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
หลงซ่าซือพูดไม่ออกแล้ว เขารู้สึกเพียงความใจของเขาเต้นเร็วมาก เร็วจนเหลือเชื่อ ในหัวของเขาตอนนี้ขาวโพลนมีแต่ความว่างเปล่า
“เบน เจ้าไม่ได้ถูกเทพเจ้ามังกรจับตัวไปหรือ?” จินเหยียนถามด้วยความสงสัย ทำไมจู่ๆ มังกรจำนวนมากถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ? จำนวนมังกรที่อยู่ที่นี่น่าจะเกินกว่าครึ่งของเผ่ามังกรแล้วนะ!
ชีอ้าวชวางเองก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ฟังจากที่ทูตสวรรค์กับเทพเจ้ามังกรคุยกันแล้ว เผ่ามังกรยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องของโลกมนุษย์ไม่ได้นี่ ทำไมตอนนี้ถึงมีกองทัพมังกรจำนวนมากอยู่ที่นี่ได้ล่ะ
มังกรเหล่านั้นบินอยู่บนท้องฟ้าสักครู่หนึ่งแล้วจึงร่อนลงที่นอกเมือง
ในขณะเดียวกัน เบนก็ร่อนลงมาที่พระราชวังแล้วคืนร่างมนุษย์ เขาทำลายหน้าต่างแล้วเข้ามาถึงตรงหน้าของหลงซ่าซือและคามิลล์
หลงซ่าซือรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาถอยหลังไปด้วยความตื่นตระหนกจนไปชนเข้ากับโต๊ะ มือเขาจับเข้าที่กระบี่ตรงเอว แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าหากเขาคิดจะลงมือต่อหน้ามังกรผู้แข็งแกร่งคงจะเป็นเรื่องที่ตลกมาก หลงซ่าซือรีบปล่อยมือออกจากระบี่แล้วพยายามยืนให้มั่นคง
“เจ้ารีบบอกให้ประชาชนของเจ้าสงบลงเสีย ไม่ต้องตกใจ พวกเราเผ่ามังกรแค่ผ่านมาทางนี้เท่านั้น หรือจะเรียกว่ามาเยี่ยมชมก็ได้ พวกเราไม่ทำร้ายพวกเขาหรอก บอกให้พวกเขาสงบลงได้แล้ว” เบนเห็นมงกุฎบนศรีษะของหลงซ่าซือจึงพูดออกมา “ตอนนี้เลย ไปจัดการสิ”
“ครับ ได้ครับ” เหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นบนแผ่นหลังของหลงซ่าซือ ชายผมดำที่อยู่ตรงหน้านี้ทำให้เขารู้สึกกดดันจนแทบจะยืนไม่ไหวเลย
หลงซ่าซือรีบเปิดประตูออกไปจัดการเรื่องนั้นทันที
เบนมองไปที่คามิลล์ จากนั้นก็มองชีอ้าวชวางแล้วก็ยิ้มออกมา