เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 226
“ครับ” สีเฉ่าซื่อพยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น “หากโปรยกระดาษให้กระจายไปทั่วเหมือนเวลาหิมะตกได้ก็จะดีที่สุดใช่หรือไม่ครับ?”
“อื้ม เจ้าฉลาดยิ่งกว่าเจ้านายของพวกเจ้ามากทีเดียว” คามิลล์ชมเชยสีเฉ่าซื่อด้วยรอยยิ้ม
วัลโดกัดฟัน ตอนอยู่ที่นี่เขาคือเจ้านายของสีเฉ่าซื่อและสีเฉ่าฉี หากนี่ไม่ได้เป็นการว่าเขาแล้วจะว่าใครได้ล่ะ? ไอ้บ้า! คามิลล์! จำไว้เลยนะ! แต่แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้เขาพูดได้แค่ในใจเท่านั้น
“เอาเถอะ เพื่อเป็นการเตรียมรับเรื่องสงครามที่เคร่งเครียดครั้งนี้ พวกเราผ่อนคลายกันก่อนดีกว่า วันนี้เราจะไปปิกนิกกัน ถือเป็นการพาอ้าวชวางไปรับลมสักหน่อยด้วย” คามิลล์วางถ้วยชาในมือลงพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็ปรบมือเพื่อเรียกความสนใจจากทุกคน
“ข้างนอกมีแต่ฝุ่นตลบขนาดนั้นจะไปปิกนิกที่ไหนได้ล่ะ?” แม้ว่าจะวัลโดจะคัดค้านแต่ก็เห็นได้ชัดเลยว่าเขาพูดเสียงเบาๆ ไม่กล้าค้านเสียงดัง
“ถ้าเจ้าอยากจะไปปิกนิกกลางทะเลทรายข้าก็ไม่ค้านนะ” คามิลล์เหลือบมองด้วยดวงตาคู่สวยที่มีประกายความอันตรายอยู่ในนั้น พอเห็นดังนั้นวัลโดก็หดคอนิ่งไปเลย
“เช่นนั้นวันนี้ทุกคนก็พักผ่อนกันเต็มที่นะ ข้าคงไม่รบกวนแล้ว ข้ายังมีอีกหลายเรื่องเลยที่ต้องไปจัดการ” หลงซ่าซือเข้าร่วมไม่ได้อยู่แล้ว เขาจึงเอ่ยขึ้นมาก่อน
คามิลล์พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากหลงซ่าซือออกไปแล้ว คามิลล์ก็หยิบม้วนเวทเคลื่อนย้ายออกมา
“สิ่งนี้จะพาไปที่ไหน?” ทุกคนต่างก็สงสัย
“เข้ามายืนกันสิ สิ่งนี้คือม้วนเวทเคลื่อนย้ายที่เคลื่อนย้ายคนได้ยี่สิบห้าคนในครั้งเดียวเลย” คามิลล์ยิ้ม เขาเหลือบมองแล้วกวักมือเรียกทุกคนในเข้ามายืนทั้งหมด “มีคนให้สิ่งนี้กับข้ามา” ชีอ้าวชวางอุ้มแมวล่าสมบัติแล้วเดินเข้าไป จากนั้นคนอื่นๆ จึงตามนางเข้าไปด้วย
“เราจะไปปิกนิกไม่ใช่หรือ ไม่ต้องเตรียมของหรือ?” วัลโดขมวดคิ้วถาม
“ทางนั้นเตรียมไว้หมดแล้ว” คามิลล์พูดประโยคนี้แล้วก็ฉีกม้วนกระดาษออก จากนั้นก็เกิดแสงสีขาวสว่างขึ้นพร้อมกับที่ทุกคนในห้องนั้นหายตัวไป
พอชีอ้าวชวางลืมตาขึ้นอีกครั้งก็ได้พบกับใบหน้าที่แสนคุ้นเคย
ใบหน้ารูปงามที่กำลังแสดงความประหลาดใจ ดีใจและตื่นเต้นอยู่นั้นก็คือเฟิงอี้เซวียนนั่นเอง! สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ก็คือเกาะลมของท่านลมเทียนกัง! “แคลร์!” เสียงที่ฟังดูตื่นเต้นเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นก็มีร่างหนึ่งเข้าปะทะกับร่างของชีอ้าวชวาง
“ซะ ซัมเมอร์…” ชีอ้าวชวางยังคงอึ้งอยู่ ประการแรกคือนางกำลังมึนงงกับสถานที่และคนที่อยู่ตรงหน้า ประการที่สองคือนางเกือบจะลืมชื่อแคลร์ไปแล้ว
“ฮ่า พวกเรามาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว คนบางคนพอได้ข่าวก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับแล้วลากพวกเรามาที่นี่ก่อนเลย” สุ่ยเหวินโม่พูดด้วยน้ำเสียงเย้าหยอก
ได้ข่าวเมื่อวาน? พูดแบบนี้แสดงว่าพอนางกลับมาจากโลกแห่งความวุ่นวาย คามิลล์ก็ส่งข่าวให้พวกเฟิงอี้เซวียนรู้ทันทีเลยอย่างนั้นสิ? ว่าแต่คามิลล์ส่งข่าวบอกเฟิงอี้เซวียนด้วยวิธีไหนล่ะ?
“อะ อ้าวชวาง…” เฟิงอี้เซวียนมองไปที่ชีอ้าวชวาง เขาเพิ่งจะพูดออกมาได้เพียงเท่านี้ร่างของเขาก็ถูกชนเข้าเสียก่อน
“หลีกไป!” เสียงหลี่เยว่เหวิน! ทันใดนั้นหลี่เยว่เหวินก็พุ่งเข้ามากอดชีอ้าวชวางแล้วปัดซัมเมอร์ให้ถอยออกไป
“น้องสาว!” เสียงนี้คือเสียงของหลี่หมิงหยู่! หลี่หมิงหยู่ก็อยู่ที่นี่ด้วย!
“นี่คือ?” ชีอ้าวชวางอ้าปากค้าง นางมองภาพตรงหน้าอย่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ทุกคนอยู่ที่นี่กันหมดเลย!
“ทุกคนเป็นห่วงเจ้ามาก แล้วก็อยากเจอเจ้ามากด้วย พวกเขาก็เลยมากันทั้งหมดเลย” คามิลล์พูดด้วยรอยยิ้ม
ชีอ้าวชวางหันไปมองคามิลล์ด้วยรอยยิ้ม นางรู้สึกอบอุ่นใจ คามิลล์เป็นคนจัดการเรื่องนี้หรือ?
“เหอะๆ หัวขโมยน้อย เจ้าอยากขึ้นไปชมวิวบนท้องฟ้าหรือไม่” พอเบนได้เจอซัมเมอร์ก็เดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้ม ซัมเมอร์ตกใจจนถอยหนีแล้วรีบโบกมือทันที
“ไม่ ไม่เอาแล้ว วิวข้างล่างนี้ก็สวยมากแล้ว” โรคกลัวความสูงของซัมเมอร์ยังคงเหมือนเดิมเลย
“จริงสิ หัวขโมยน้อย เจ้ามีพี่สาวชื่อโจไมเออร์หรือไม่?” เบนนึกขึ้นได้
“ใช่”
…ทั้งสองคน ไม่สิ หนึ่งคนกับอีกหนึ่งมังกรต่างลืมเรื่องเมื่อครู่แล้วไปซุบซิบกันอยู่ที่ด้านหนึ่ง
สุ่นเหวินโม่มองแผ่นหลังของซัมเมอร์อย่างเงียบๆ
“ว้า จะยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้หรือ? ดูไม่ใช่เจ้าเลยนะ?” น้ำเสียงขี้เล่นของเฟิงอี้เซวียนดังขึ้นที่ข้างหูของสุ่ยเหวินโม่
“เจ้าไปตายซะไป! ไปจัดการเรื่องของตัวเจ้าเองให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาว่าข้า” สุ่ยเหวินโม่ต่อว่าอย่างไม่ไว้หน้าเลยทีเดียว
“คู่แข่งของเจ้าเป็นผู้ชาย แต่ของข้าเป็นผู้หญิง มันต่างกันนะ” เฟิงอี้เซวียนยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วหันไปมองชีอ้าวชวางที่ถูกหลี่เยว่เหวินกอดอยู่อย่างทำอะไรไม่ถูก
“เหอะ! เจ้าแหกตาดูเถอะว่ามีผู้ชายตั้งเท่าไหร่ที่มองเสี่ยวอ้าวชวางของเจ้าอยู่น่ะ” สุ่ยเหวินโม่พูด
เฟิงอี้เซวียนหันไปมองรอบๆ แล้วเขาก็ได้เห็นสายตาของเหลิ่งหลิงยวิ๋นที่จ้องอยู่ที่ชีอ้าวชวางตลอด และเห็นสายตาของจินเหยียนที่ไม่ละไปไหนเลย ยังมีคามิลล์ที่มองมาเป็นระยะด้วย เฮ้ย! แม้แต่สายตาของวัลโดก็อยู่ไม่นิ่งเลย! ทันใดนั้นเฟิงอี้เซวียนก็รู้สึกได้ว่าหัวแทบระเบิด สุ่ยเหวินโม่ส่งเสียงเย้ามาเบาๆ ทำเอาเฟิงอี้เซวียนบ้าคลั่งแล้วพุ่งเข้าไปกระชากคอสุ่ยเหวินโม่ทันที “เจ้าไปตายซะ!” จากนั้นสุ่ยเหวินโม่ก็โต้กลับ แล้วทั้งสองก็สู้กันชุลมุน ไป๋ตี้และเฮยหยู่ที่นั่งอยู่อีกฝั่งก็มองภาพตรงหน้าอย่างเงียบๆ
“นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นนางยิ้มเช่นนั้น” ไป๋ตี้มองใบหน้าของชีอ้าวชวางแล้วพูดเบาๆ
“งั้นหรือ?” เฮยหยู่กลอกตาเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างแล้วก็พยักหน้า “ไม่ได้เห็นนางยิ้มเช่นนั้นมานานแล้วจริงๆ ด้วย”
“หากเรื่องในครั้งนี้จบลงแล้ว ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องจากไป” ไป๋ตี้ดึงสายตากลับมาแล้วพูดเบาๆ
“เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ ใกล้จะถึงสงครามศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว” เฮยหยู่ประสานมือไว้ที่ท้ายทอยแล้วเอนหลังพิงต้นไม้ที่อยู่ด้านหลัง
เหลิ่งหลิงยวิ๋นและจินเหยียนนั่งอยู่อีกด้าน พวกเขากำลังเอาฟืนที่พื้นมากองรวมกัน จูดี้กำลังจะย่างเนื้อด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าของนาง
“เหลิ่งหลิงยวิ๋น…” ทันใดนั้นจินเหยียนก็เอ่ยปากขึ้นมา
“หืม?” เหลิ่งหลิงยวิ๋นหันไปมองจินเหยียน
“คุณหนูไม่ได้ยิ้มเช่นนั้นมานานมากแล้ว” จินเหยียนเหมือนจะพูดกับตัวเอง แต่ก็เหมือนจะพูดกับเหลิ่งหลิงยวิ๋นด้วยเช่นกัน
เหลิ่งหลิงยวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่ง เขามองรอยยิ้มบนใบหน้าของชีอ้าวชวางแล้วใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มปรากฎขึ้น จากนั้นเขาก็พยักหน้าเบาๆ แล้วพูด “ใช่ ไม่ได้เห็นนางยิ้มเช่นนั้นมานานแล้ว ข้าหวังว่าหลังจากจบเรื่องนี้ นางจะมีรอยยิ้มเช่นนั้นตลอดไป”
“เจ้าจะทำให้นางยิ้มเช่นนั้นตลอดไปได้หรือไม่?” จู่ๆ จินเหยียนก็ถามคำถามนี้ ทำเอาเหลิ่งหลิงยวิ๋นอึ้งไป
เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองจินเหยียนอย่างตกตะลึงก่อนจะยิ้ม จากนั้นเขาก็พูดทีละคำอย่างชัดเจนและจริงใจ “หากข้ามีโอกาสได้ทำ ข้าก็หวังว่าจะทำให้นางมีรอยยิ้มเช่นนั้นตลอดไป”
“เช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว” จินเหยียนยิ้ม “ข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้นะ” พอพูดจบ จินเหยียนก็ลุกขึ้นไปช่วยจูดี้
เหลิ่งหลิงยวิ๋นอึ้ง จินเหยียนพูดเช่นนี้หมายความว่าอะไร? จินเหยียนจะสนับสนุนเขาหรือ? สายตาของเหลิ่งหลิงยวิ๋นค่อยๆ เคลื่อนไปมองเฟิงอี้เซียนที่กำลังทะเลาะกับสุ่ยเหวินโม่อยู่ หากหวังจะให้ชีอ้าวชวางมีรอยยิ้มเช่นนั้นตลอดไป ก็ต้องเป็นคนๆ นั้นไม่ใช่หรือ?
วันนี้ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ เรียกได้ว่าเกาะลมคึกคักมาก
พวกของเฟิงอี้เซวียนนำไวน์อย่างดีและอาหารเลิศรสมาด้วย สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือเอามาจัดวางและย่างเนื้อเท่านั้น สิ่งที่พวกเฟิงอี้เซวียนนำมามีหมูหันสองตัว แกะสามตัว และไก่อีกหลายตัว ตอนนี้กริชอันแหลมคมในมือของหลี่เยว่เหวินกำลังหั่นผลไม้อย่างรวดเร็ว หลี่หมิงหยู่ที่อยู่อีกด้านหลังกำลังปูผ้าปูโต๊ะอย่างดีแล้วก็เริ่มรินไวน์ แมวล่าสมบัติปีนขึ้นมานั่งบนโต๊ะ ดวงตาสีอำพันของมันมองทุกคนที่กำลังยุ่งอย่างตื่นเต้น คามิลล์ใช้กริชอันแหลมคมในมือของเขามาแกะสลักผลไม้ในมือเป็นรูปดอกไม้สวยงามแล้วยื่นไปวางตรงหน้าของแมวล่าสมบัติ แมวล่าสมบัติร้องเหมียวออกมาอย่างชอบใจแล้วใช้ขาไปเกี่ยวผลไม้แกะสลักนั้นมากอดไม่ยอมปล่อย ส่วนเฉียวฉู่ซินและซัมเมอร์ ตอนนี้พวกนางกำลังซักถามเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชีอ้าวชวางไม่ห่าง
เบนเห็นว่าเนื้อย่างสุกช้ามากจึงพ่นไฟใส่ให้อย่างใจดี ผลก็คือไก่ย่างที่อยู่ตรงนั้นไหม้จนหมดไม่เหลือแม้แต่เถ้า จากนั้นซัมเมอร์ก็ลุกขึ้นมาโวยวายกับการกระทำที่เลวร้ายของเบน เมื่อครู่เขาพ่นไฟออกมา ไฟนั่นออกมาจากปากของเขา มันก็แสดงว่าต้องมีน้ำลายออกมาด้วยน่ะสิ! หลังจากนั้นเบนจึงไปช่วยก่อฟืนต่ออย่างว่าง่าย วัลโดพร้อมด้วยสีเฉ่าซื่อกับสีเฉ่าฉีกำลังจัดโต๊ะเก้าอี้ ท่านลมเทียนกังก็กำลังกระโดดโลดเต้นดูตรงนั้นทีตรงนี้ทีเพื่อดูว่ามีของกินอร่อยๆ หรือไม่ ถ้ามีเขาจะได้แอบขโมยกินก่อน คามิลล์กำลังชงชาอยู่อีกด้านด้วยรอยยิ้ม ตงเฟิงโฮ่วมองอาหารอร่อยๆ บนโต๊ะแล้วกลืนน้ำลายไม่หยุด เขาอยากจะกินแต่ก็ยังไม่กล้า สายตาห้ามปรามของคามิลล์ที่มองมาทำให้เขาต้องนั่งรออยู่อย่างว่าง่าย ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าตงเฟิงโฮ่วเป็นผู้อัญเชิญ ในการอัญเชิญจะต้องใช้พลังจิตที่แข็งแกร่งมาก ทำให้เขามีความอยากอาหารมาก ดังนั้นคามิลล์จึงไม่ยอมให้เขาได้กินในตอนนี้ เพราะหากเขาเริ่มกินก็คงจะไม่เหลือตกมาถึงคนอื่นๆ แล้ว
เฟิงอี้เซวียนและสุ่ยเหวินโม่นั่งมองทุกคนที่กำลังวุ่นวายกันอยู่ “นี่” เฟิงอี้เซวียนยื่นมือไปสะกิดสุ่ยเหวินโม่ที่อยู่ข้างๆ
“อะไรอีกล่ะ?” สุ่ยเหวินโม่ถามอย่างไม่พอใจ
“เจ้าชอบหัวขโมยผู้นั้นจริงๆ หรือ?” คราวนี้น้ำเสียงของเฟิงอี้เซวียนไม่ได้มีความล้อเล่นแล้ว
สุ่ยเหวินโม่เงียบ เขาไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เฟิงอี้เซวียนเข้าใจได้ในทันทีว่านี่ถือว่าสุ่ยเหวินโม่ตอบรับแล้ว ดูท่าทางเขาจะชอบหัวขโมยน้อยจริงๆ
“แต่ดูเหมือนว่าหัวขโมยน้อยกับเบนจะ…” เฟิงอี้เซวียนลูบคางแล้วไม่ได้พูดประโยคหลังออกไป
“ข้าจะไม่เสียใจหรอก” สุ่ยเหวินโม่ยิ้มเรียบๆ “ข้าจะไม่ยอมแพ้ด้วย นอกเสียจากว่าจะถึงวันที่นางเอ่ยปากออกมาด้วยตัวของนางเอง”
“ดี เจ้าเป็นลูกผู้ชายมากๆ” เฟิงอี้เซวียนยื่นมืออกไปล็อคคอของสุ่ยเหวินโม่ “เจ้าสู้เขานะ พวกเขาน่ะ ฝ่ายหนึ่งเป็นคน อีกฝ่ายเป็นสัตว์ คนกับสัตว์ไปด้วยกันไม่ได้หรอก เจ้ามีโอกาสอยู่มากทีเดียว”
“เฮอะ!” สุ่ยเหวินโม่พูด “ทำไมทุกคำพูดที่ออกมาจากปากเจ้ามันถึงฟังไม่เข้าหูเลยนะ?”
“ข้าเป็นคนพูดความจริง” เฟิงอี้เซวียนหัวเราะออกมา