เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 227
“พอได้แล้วน่า เจ้าไปคอยดูภรรยาในอนาคตของเจ้าเถอะ” สุ่ยเหวินโม่พูด
แต่เฟิงอี้เซวียนกลับยิ้มและไม่พูดอะไรออกมา
“อะไรของเจ้า?” สุ่ยเหวินโม่ตกใจกับท่าทีที่ผิดปกติของเฟิงอี้เซวียน จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปเขย่าเฟิงอี้เซวียนอย่างแรง พอเฟิงอี้เซวียนรู้สึกถึงความเจ็บจึงได้สติแล้วพูดออกไปด้วยความโกรธ “เจ้าอยากตายหรือไง?”
“แบบนี้เหมือนไม่ใช่เจ้าเลย เจ้าควรจะต้องพูดว่า ให้ตายสิ! ใครกล้ามายุ่งกับภรรยาของข้า ข้าจะอัดมันให้เละเลย!” สุ่ยเหวินโม่สงสัยจนใจว้าวุ่นไปหมด
“ข้าก็อยากจะพูดแบบนั้นมากๆ” เฟิงอี้เซวียนยิ้มบางๆ แต่สายตาของเขาดูเครียดและจริงจังมาก “แต่ข้าอยากให้นางมีความสุข ข้าอยากจะให้นางมีรอยยิ้มแบบวันนี้ตลอดไปเลย หากข้าทำให้นางมีรอยยิ้มแบบนี้ไม่ได้ ข้าก็จะยอมถอย แต่แน่นอนว่าข้าอยากให้คนที่ทำให้นางมีรอยยิ้มแบบนั้นได้…เป็นตัวข้าเอง”
สุ่ยเหวินโม่อึ้งแล้วมองเฟิงอี้เซวียนค้างอยู่อย่างนั้นแต่พูดอะไรไม่ออก เฟิงอี้เซวียนที่เอาแต่คอยโหวกเหวกโวยวายอยู่กับเขามาตลอดเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ดูเหมือนว่าเฟิงอี้เซวียนจะโตขึ้นกว่าแต่ก่อนมากเลย
“อย่าคิดมากเลย เจ้าดูสิ พวกเขาแต่ละคนเอาแต่มองภรรยาของเจ้ากันทั้งนั้น แต่ภรรยาของเจ้าไม่ได้รู้สึกอะไรกับพวกเขาเลย ชัยชนะเป็นของเจ้านะ” สุ่ยเหวินโม่ล็อคคอเฟิงอี้เซวียนแล้วยิ้มอย่างปลอบโยน
เฟิงอี้เซวียนมองใบหน้าที่งดงามของชีอ้าวชวางแล้วรอยยิ้มอบอุ่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
หลังจากเตรียมของกันมาตลอดทั้งช่วงเช้า ในที่สุดทุกอย่างก็เรียบร้อยในเวลาเที่ยงพอดี ได้เวลาที่ทุกคนจะเริ่มสงครามอาหารกันแล้ว ส้อมอันหนึ่งจิ้มลงไปที่น่องไก่ จากนั้นส้อมอีกสองอันก็จิ้มลงไปอีก วัลโดเงยหน้าขึ้นมองไปที่เจ้าของส้อมสองอันนั้นด้วยความโกรธ พอเห็นว่าเจ้าของส้อมสองอันนั้นก็คือคลิฟกับท่านลมเทียนกัง เขาก็เอาส้อมของตัวเองกลับโดยทันที เขาต่อกรกับผู้อาวุโสทั้งสองนี้ไม่ได้ ในขณะที่คลิฟและท่านลมเทียนกังกำลังมองหน้ากันอยู่โดยที่ยังไม่ทันพูดอะไร พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าที่มือ ไก่หายไปทั้งตัวเลย ตงเฟิงโฮ่วยกจานออกไป เขาเอาไปวางที่ตรงหน้าของเฉียวฉู่ซิน จากนั้นก็จัดการตัดน่องกับปีกให้เฉียวฉู่ซินก่อนแล้วจึงเอาจานมาที่หน้าเขาเอง
คลิฟและท่านลมเทียนกังได้แต่จ้องแล้วก็เงียบไป ทุกคนต่างยิ้มออกมา ออสต้าผู้เย็นชาราวกับน้ำแข็งก็มีรอยยิ้มที่มุมปากของเขาเช่นกัน
เจ้าแมวล่าสมบัติมีความสุขกับการกินมากที่สุดแล้ว เพราะใครๆ ก็เอาของอร่อยมาให้กิน มันเลยกินอิ่มก่อนใคร พอกินอิ่ม แมวล่าสมบัติก็วิ่งเข้าไปในบ้านของท่านลมเทียนกังและไปนอนกลิ้งตีพุงอยู่อย่างสบายใจ มันนอนหงายยกขาทั้งสี่แล้วก็หลับไปเลย
คามิลล์นั่งอยู่ข้างๆ ชีอ้าวชวางแล้วคอยรินน้ำชาให้นาง ชีอ้าวชวางยิ้มให้คามิลล์แล้วหันไปมองบรรยากาศคึกคักที่อยู่ตรงหน้า แววตาของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในใจ นานมากแล้วที่ไม่ได้อยู่ในบรรยากาศที่มีความสุขเช่นนี้ นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นขนาดนี้…
“ขอบคุณท่านนะ คามิลล์ ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ไม่ว่าท่านจะมีจุดประสงค์อะไร ข้าก็ขอบคุณท่านจริงๆ” ชีอ้าวชวางมองไปตรงหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วพูดกับคามิลล์เบาๆ
คามิลล์ยิ้มอย่างอบอุ่น “ข้าเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอก”
“ข้ารู้” ชีอ้าวชวางยิ้ม “ไม่ว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่เวลานี้ท่านเป็นคนดีในใจข้า เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ขอบคุณนะ…”
คามิลล์อึ้ง เขาหลุบตาลง ดวงตาสีฟ้าของเขามีประกายสีดำแปลกๆ เกิดขึ้นแล้วก็หายวับไป
วันแห่งความคึกคักได้ผ่านพ้นไป พอถึงช่วงเวลากลางคืนก็ถึงเวลาที่ต้องแยกกันแล้ว
“ไม่ต้องมาทำเหมือนว่าลาจากกันตลอดไปหรอก อีกไม่นานก็ได้พบกันอีก” คามิลล์มองทุกคนที่ทำท่าทางอาลัยอาวรณ์แล้วพูดออกมา
ทุกคนจึงตระหนักได้ว่าสงครามกำลังจะเริ่มแล้ว ตามแผนก็คือชีอ้าวชวางกับเบนจะพากลุ่มมังกรไปที่ลากัค ยังมีเรื่องอีกมากมายที่รอให้พวกเขาไปทำอยู่
“ไปเถอะ เจอกันในอีกไม่กี่วัน” คามิลล์เร่งทุกคนด้วยรอยยิ้ม
แสงสีขาวสว่างขึ้นสองเส้นแล้วทุกคนก็หายตัวไป ท่านลมมองสภาพที่อยู่ตรงหน้าก็นึกขึ้นได้แล้วร้องโวยวายขึ้นมา “ให้ตายสิ! พวกเจ้ากลับมาเก็บของทำความสะอาดให้ข้าก่อนแล้วค่อยไปสิ…” เสียงโวยวายที่น่ากลัวดังไปทั่วทั้งเกาะลม แต่น่าเสียดายที่นอกจากท่านลมเทียนกังแล้วก็ไม่มีใครได้ยินเสียงนี้เลย
ตกกลางคืน ชีอ้าวชวางยืนอยู่ตรงหน้าต่างแล้วมองไฟที่สว่างไสวไปทั่วพระราชวัง จากนั้นมุมปากของนางก็กระตุกขึ้น
นางไม่ได้โดดเดี่ยว ข้างกายของนางมีพวกเขาอยู่เคียงข้างมาโดยตลอด…
ความรู้สึกเช่นนี้มันช่างดีจริงๆ…
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ
ชีอ้าวชวางหันกลับไปมองประตู
ฟังจากเสียงฝีเท้า ชีอ้าวชวางก็รู้เลยว่าคนที่อยู่หน้าประตูคือคลิฟ
“เข้ามาสิ ท่านอาจารย์”
ประตูค่อยๆ เปิดออก คนๆ นั้นคือคลิฟจริงๆ
“ท่านอาจารย์ เข้ามาสิคะ ข้ากำลังจะไปหาพอดีเลย” ชีอ้าวชวางพูดด้วยรอยยิ้ม
“หืม? จะไปหาข้าอยู่พอดี?” คลิฟรู้สึกฉงน
“อื้ม” ชีอ้าวชวางพยักหน้าแล้วพูดเบาๆ “มีคนขอให้ข้านำสิ่งนี้มาให้ท่านอาจารย์ แต่ข้ายังหาโอกาสให้ไม่ได้สักที”
คลิฟอึ้ง “ใครขอให้เจ้าเอาของมาให้ข้า?”
ชีอ้าวชวางยิ้มแต่ไม่ได้ตอบคำถามในทันทีแล้วพูดกับคลิฟ “ท่านอาจารย์ปิดประตูเข้ามาในนี้ก่อนแล้วเราค่อยคุยกัน”
คลิฟหันไปปิดประตูแล้วเดินเข้าไปนั่ง
ชีอ้าวชวางนั่งลงแล้วหยิบสร้อยคอที่มอร์นาให้ออกมา จากนั้นก็ยื่นไปให้คลิฟ “ท่านอาจารย์ยังจำสิ่งนี้ได้หรือไม่?”
คลิฟลุกขึ้นยืนแล้วมองชีอ้าวชวางอย่างตื่นเต้น เขารีบหยิบสร้อยมาแล้วพูด “เจ้าไปเอามาจากที่ไหน? เอามาจากไหนกัน? ทำไมมันถึงมาอยู่ที่เจ้าได้?” คลิฟตื่นเต้นมากจนตัวสั่นและหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ
“มีเอลฟ์แสนสวยบอกข้าว่าใจของนางจะเป็นของคนที่ชื่อคลิฟตลอดไป นางเองก็จะไม่แต่งงานเช่นกัน” ชีอ้าวชวางพูดเบาๆ “นางบอกว่าใจของนางจะอยู่ที่คนๆ นั้นตลอดไป”
คลิฟหยิบสร้อยมาด้วยมือสั่นเทาแล้วนั่งลง เขามองสร้อยในมืออย่างเงียบงัน
ชีอ้าวชวางไม่ได้พูดอะไรอีก นางรอคอยอยู่เงียบๆ เช่นกัน
ทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้องที่มีแต่ความเงียบ คลิฟกำสร้อยในมือแล้วมองมันอยู่อย่างนั้นด้วยสายตาเศร้าราวกับว่ามองเห็นภาพอดีตจากสร้อยเส้นนั้น ผ่านไปสักพัก ที่หางตาของคลิปก็มีหยดน้ำตาไหลออกมาแล้วหยดลงที่สร้อยคอในมือของเขา
“มอร์นา…” คลิฟพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาที่เต็มไปด้วยความเศร้าและโหยหา
“ท่านอาจารย์ ป้ามอร์นาคิดถึงท่านมากนะ” ชีอ้าวชวางพูดเสียงเบา
คลิฟกำสร้อยในมือแน่นแล้วถอนหายใจออกมา จากนั้นก็พูดเบาๆ “นางสบายดีหรือไม่?”
“ถ้านอกจากเรื่องความทุกข์จากความรักแล้ว ข้าก็คิดว่าคงจะสบายดีนะ” ชีอ้าวชวางพูดเบาๆ “ข้าเอาของสามอย่างที่ท่านให้ข้าตอนที่เจอกันให้เป็นของที่ระลึกแก่ป้ามอร์นาแล้วนะ พอนางได้ยินว่าเป็นสิ่งที่ท่านทำเอง นางก็ดีใจมากเลย”
“งั้นหรือ?” การแสดงออกของคลิฟดูซับซ้อนมาก มีทั้งความดีใจ ความกังวลใจ และความเศร้าใจ
ความเงียบเกิดขึ้นในห้องอีกครั้ง
คลิฟเอาแต่มองสร้อยคอในมืออยู่นานโดยไม่พูดอะไรอีก ชีอ้าวชวางเองก็ไม่ได้รบกวนเขา
เวลาผ่านไปนานมากกว่าคลิฟจะดึงสติตัวเองกลับมาได้ เขาเก็บสร้อยในมือไว้อย่างดี จากนั้นก็เงยหน้าพูดกับชีอ้าวชวาง “ขอบใจนะ ศิษย์รัก ขอบใจเจ้ามากๆ”
“ขอบใจอะไรกันท่านอาจารย์ มันเป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว” ชีอ้าวชวางเห็นว่าคลิฟกลับมาเป็นปกติแล้วจึงพูด “ท่านอาจารย์มาหาข้ามีอะไรหรือ?”
“อ๋อ!” คลิฟนึกขึ้นมาได้ สีหน้าของเขานิ่งไปทันที จากนั้นก็พูดอย่างเจ็บปวด “คราวนี้ข้ารู้แล้วว่าพวกเจ้าเผชิญหน้ากับวิหารแห่งแสงซึ่งหน้าได้แล้ว และข้าก็รู้ว่าความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ไม่มีใครเทียบได้แล้ว ข้า ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”
“ท่านอาจารย์พูดมาเลย” ชีอ้าวชวางเห็นท่าทีของคลิฟแล้วก็รู้สึกสงสัยว่าเรื่องอะไรกันที่ทำให้อาจารย์ดูหนักใจเช่นนี้
“หากเจ้าได้พบกับราอูล ข้าหวังว่าเจ้าจะปล่อยให้เขามีชีวิตต่อไป แม้ว่าเขาจะโกหกข้าจนทำให้ข้าต้องเสียโอกาสที่จะช่วยเจ้าไป แต่เขาก็ยังเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของข้า แน่นอนว่าข้าไม่อยากให้เขา…” สีหน้าของคลิฟดูเรียบนิ่งมาก
“ท่านอาจารย์ ถึงท่านไม่พูดข้าก็จะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว” ชีอ้าวชวางไม่รอให้คลิฟพูดต่อนางก็ชิงตัดบทเสียก่อน “ที่จริงแล้ว อาจารย์ราอูลเขาเป็นห่วงท่านอาจารย์ เขาก็แค่แสดงความเป็นห่วงเพื่อนเท่านั้นเอง เขาไม่อยากให้ท่านเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะไม่อยากให้ท่านต้องเป็นปรปักษ์กับวิหารแห่งแสง เขาไม่อยากให้ท่านได้รับอันตรายเขาจึงเลือกตัดสินใจจะโกหกแล้วพาท่านออกไป ข้าคิดว่าเขาคงจะคิดผลลัพธ์เอาไว้แล้วก่อนที่จะโกหกท่านอาจารย์ เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่เข้าใจท่านอาจารย์มากที่สุด แต่เขากลับยังเลือกที่จะทำเช่นนั้น เท่านี้ก็เห็นได้แล้วว่าเขาจริงใจกับท่าน” ชีอ้าวชวางพูดเบาๆ
ท่าทางของคลิฟยังคงสับสน แต่ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจแล้วพูด “ถึงจะเป็นเช่นนั้น ข้าก็ให้อภัยเขาไม่ได้ในทันทีหรอก คงต้องปล่อยให้เวลาช่วยเยียวยาทุกอย่าง”
“อื้ม นี่เป็นเรื่องของท่านอาจารย์ ก็คงต้องให้ท่านอาจารย์ตัดสินใจเอง ท่านวางใจได้ ข้าจะบอกทุกคนว่าไม่ให้ทำร้ายอาจารย์ราอูล” ชีอ้าวชวางรับปาก “ท่านอาจารย์ก็คงเหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องกังวลเรื่องต่อจากนี้หรอก” ชีอ้าวชวางมองออกว่าคลิฟอารมณ์ไม่ดีนักจึงเอ่ยปากให้คลิฟไปพักผ่อน
คลิฟยืนขึ้นด้วยท่าทางเหนื่อยล้า เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วพูด “อืม ข้าไปพักผ่อนก่อนนะ เจ้าเองก็พักผ่อนด้วย ยังมีเรื่องอีกมากมายที่รอให้เจ้าจัดการ”
“ค่ะ ท่านอาจารย์สบายใจได้ ข้าจะจัดการอย่างดีเลย” ชีอ้าวชวางพยักหน้าแล้วเดินไปส่งคลิฟ
สองวันต่อมา เหล่าบรรดามังกรทั้งหลายกำลังมุ่งไปทางลากัคเพื่อไปเที่ยวชมภายใต้การนำของเบน
สายลมพัดปะทะชีอ้าวชวางที่นั่งอยู่บนหลังเบนอย่างแรง นางกำลังมองไปข้างหน้าและครุ่นคิดอย่างซับซ้อน คราวนี้ทุกอย่างจะต้องจบลง เวลานี้เรื่องต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นย้อนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง ทั้งการตายอันน่าเศร้าของอูมาริ ทั้งการจากไปของท่านแม่ ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
แมวล่าสมบัติหลบลมอยู่ในอ้อมแขนของชีอ้าวชวาง เฮยหยู่และไป๋ตี้นั่งเงียบๆ อยู่ข้างหลังนาง เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็อยู่ด้านหลังแล้วนั่งมองแผ่นหลังของชีอ้าวชวางอย่างเงียบงัน
ตอนที่เหล่ามังกรร่อนลงที่เมืองลากัคทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน แต่ประชาชนไม่ได้ตื่นตระหนกมากนัก พอพวกของเฟิงอี้เซวียนกลับมาถึงลากัค พวกเขาก็ได้เตรียมการจัดการเอาไว้ก่อนแล้วว่าการที่มีมังกรจำนวนมากขนาดนี้ปรากฏตัวที่ลากัคจะต้องเรียกความสนใจจากวิหารแห่งแสงอย่างมาก เหล่ามังกรร่อนลงพักที่รอบๆ เมืองหลวงของลากัค เบนก็กลายร่างเป็นร่างมนุษย์แล้วเตรียมเข้าเมืองไปพร้อมกับพวกชีอ้าวชวาง กลุ่มของเฟิงอี้เซวียนก็ออกมาต้อนรับด้านนอกแล้วเช่นกัน