เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 230
เฟิงอี้เซวียนถึงกับผงะแล้วปล่อยมือที่กอดชีอ้าวชวางอยู่ออก จากนั้นก็รีบวิ่งหลบออกไปทางหน้าต่างโดยมีหลี่เยว่เหวินตามเขาออกไปด้วย
ชีอ้าวชวางยืนมองทั้งสองคนที่วิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ จากข้างหน้าต่างแล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
ในคืนนี้มีชายชุดดำคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ในห้องนอนของเหลิ่งหลิงยวิ๋นโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ชายชุดดำผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ท่านคิดให้ดี นางจะมีชีวิตอยู่หรือตายก็ขึ้นอยู่กับท่าน”
เหลิ่งหลิงยวิ๋นเงียบ จากนั้นรอยยิ้มจางๆ ก็ค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา แต่รอยยิ้มของเขากลับแฝงไปด้วยความเศร้าและความโหยหาที่ไม่สิ้นสุด
“ข้าอยากให้นางมีชีวิตอยู่…”
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
“ขอเวลาข้าอีกสักหน่อย ข้าอยากจะอยู่กับนางจนจบเรื่องทั้งหมดนี้ก่อน” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดประโยคนี้ออกมาด้วยความยากลำบาก
“ได้” ชายชุดดำตอบ วินาทีต่อมาเขาก็หายตัวไปจากห้องนั้น
สงครามปะทุขึ้นแล้ว!
กองทัพของลากัคลอบโจมตีชายแดนของอันพาแกรนด์อย่างเงียบๆ สิ่งนี้เป็นรูปแบบที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันมักจะใช้เสมอ หากจะให้เขานัดหมายเวลาและสถานที่เพื่อประกาศสงครามมันเป็นไปไม่ได้หรอก ถึงแม้อันพาแกรนด์จะถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว แต่อันพาแกรนด์จัดว่าเป็นประเทศที่แข็งแกร่งมากพวกเขาตั้งสติได้อย่างรวดเร็วแล้วส่งทหารกองกำลังเดินทางไปป้องกันทันที ถึงการต่อสู้นี้จะยากลำบากมาก แต่ในที่สุดทหารลากัคก็จัดการและเดินหน้าเข้าดินแดนของอันพาแกรนด์ได้
ภายในพระราชวังของอันพาแกรนด์เต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด จักรพรรดิฟังรายงานสถานการณ์ด้วยใบหน้าล้ำลึกและรีบดำเนินมาตรการรับมือทันที แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องแย่ลงไปอีกก็คือ ตอนนี้อีกด้านหนึ่งโยซาลี่ก็ประกาศสงครามกับอันพาแกรนด์และส่งทหารมาโจมตีทางชายแดนเช่นกัน ด้วยความที่โยซาลี่เป็นประเทศที่ล้าหลังและเล็กมาก ดังนั้นอันพาแกรนด์จึงไม่เคยสนใจโยซาลี่เลย แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน ตอนที่โยซาลี่ดำเนินการกำจัดพลังแห่งแสงออกจากโยซาลี่ พระสันตะปาปาก็เข้าเฝ้าจักรพรรดิเพื่อขอให้จักรพรรดิให้ความสนใจในเรื่องนี้แล้ว แต่จักรพรรดิก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะว่าการที่อำนาจของวิหารแห่งแสงถูกทำลายไปเป็นสิ่งที่เขายินดีที่จะได้เห็นอยู่แล้ว แต่เขาไม่คิดเลยว่าโยซาลี่จะมาประกาศสงครามกับเขาด้วยเช่นกัน
สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าตามมาหลังจากนั้น นั่นคือกองทัพของลากัคและโยซาลี่มาพร้อมกับมังกรจำนวนมาก แม้ว่าเหล่ามังกรจำนวนมากนั้นจะไม่ได้กระทำการใดๆ แต่ก็ทำให้จิตใจของทหารอันพาแกรนด์หวาดหวั่น มีหลายเมืองที่เปิดประตูยอมจำนนโดยยื่นเงื่อนไขว่าขอให้ศัตรูเหล่านั้นไม่ทำร้ายประชากรในเมือง และอย่าให้มังกรทำลายเมืองของพวกเขา เพราะการดำรงอยู่ของมังกรถือเป็นการข่มขวัญ! กองทัพของลากัคและโยซาลี่รู้ในจุดนี้เป็นอย่างดีจึงเลือกใช้ประโยชน์จากจุดนี้ พวกเขาใช้วิธีนี้เพื่อทำให้เดินทัพเข้าอันพาแกรนด์ได้โดยที่มีการเสียเลือดเนื้อให้น้อยที่สุด
ระหว่างทาง สิ่งที่ชีอ้าวชวางและพวกของนางทำก็คือยืนบนหลังมังกรและมองดูสงครามนี้ นี่เป็นสงครามที่มีผู้บาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ และคนส่วนมากก็ยอมจำนนเองโดยไม่มีการต่อสู้ ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็ล้วนมีญาติพี่น้อง มีคนที่พวกเขาห่วงใย และมีบ้านที่พวกเขารักมาก พวกเขาไม่อยากให้ทั้งหมดนี้ถูกทำลายไปหรอก อีกทั้งเมื่ออยู่ต่อหน้ามังกรผู้มีพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ การต่อต้านทั้งหมดนั้นดูไร้ค่าไปเลย มีเพียงแค่พวกของวิหารแห่งแสงเท่านั้นที่ยังคงภาวนาขอให้เทพีแห่งแสงของพวกเขามาปรากฏตัวแล้วจัดการกับสถานการณ์ที่เหลือเชื่อนี้โดยเร็ว แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้เทพีแห่งแสงก็กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องสงครามศักดิ์สิทธิ์จนไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว
สงครามในครั้งนี้ไม่มีความว้าวุ่นใดๆ เลย
อันพาแกรนด์พ่ายแพ้ราวกับภูเขาที่ถล่มลง ความรุ่งเรืองและแข็งแกร่งในอดีตดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กมากเมื่ออยู่ต่อหน้าบรรดามังกร ไม่มีใครพยายามโจมตีมังกรทั้งนั้น พออัศวินมังกรทั้งสองแห่งอันพาแกรนด์ได้เห็นเผ่ามังกรจำนวนมากเช่นนี้ สิ่งเดียวที่พวกเขาคิดจะทำก็คือให้มังกรที่เป็นพาหนะของตนรีบหนีไปให้ไกลจากเผ่ามังกรจำนวนมาก เพราะไม่อยากให้สัตว์พาหนะที่พวกเขารักและผูกพันต้องถูกมังกรจำนวนมากฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เนื่องจากเผ่ามังกรรังเกียจมังกรที่ยอมมาเป็นพาหนะให้มนุษย์เข้ากระดูก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทีมอัศวินกริฟฟอนแห่งอันพาแกรนด์ หากมังกรจำนวนมากขนาดนั้นปล่อยแรงกดดันมังกรออกมาพร้อมกัน เหล่าทีมกริฟฟอนก็คงสั่นสะท้านจนต้องคลานอยู่กับพื้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว! ภายในเวลาเพียงแค่เจ็ดวัน อันพาแกรนด์ก็สูญเสียดินแดนส่วนใหญ่ไปแล้ว กองทัพของลากัคจึงเร่งเดินทัพไปที่หน้าประตูเมืองหลวงของอันพาแกรนด์โดยเร็ว
ทูตสวรรค์แปดปีกทั้งสี่และทูตสวรรค์หกปีกทั้งแปดที่เทพีแห่งแสงส่งมาเข้าไปเผชิญหน้ากับกลุ่มของชีอ้าวชวาง และไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมายเลย เพราะพวกเขาถูกไป๋ตี้และเฮยหยู่จัดการไปอย่างง่ายดาย เหลือเพียงทูตสวรรค์แปดปีกองค์สุดท้ายไว้ให้ชีอ้าวชวางจัดการ ชีอ้าวชวางดึงดาบเปลวไฟออกมา นางฆ่าทูตสวรรค์แปดปีกตายภายในเวลาแค่เสี้ยววินาทีด้วยการลงดาบเพียงครั้งเดียว ในขณะที่ผมดำสนิทของนางยังคงปลิวไสว
จากนั้นกองทัพจึงเข้าสู่เมืองหลวงของอันพาแกรนด์ได้โดยไร้อุปสรรคใดๆ
ชีอ้าวชวางกระโดดลงจากหลังมังกรและเดินไปอย่างช้าๆ ทิศทางที่นางไปก็คือวิหารแห่งแสงนั่นเอง
ภายในพระราชวัง จักรพรรดิยืนอยู่บนหอคอยสูงสุดของพระราชวังเพื่อคอยดูกองทัพลากัคที่อยู่ในระยะไกล คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาคือราชินีที่หน้าท้องนูนขึ้นเล็กน้อย ราชินีตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้ว ด้านหลังของราชินีคือนันซี ซึ่งก็คือองค์ชายสองและองค์หญิงแมริสยืนอยู่
คงจะสิ้นหวังเสียแล้ว
จักรพรรดิค่อยๆ หลับตาลง แล้วลืมตาขึ้นมองเมืองหลวงที่เคยรุ่งเรืองสลายไปต่อหน้า มันล่มสลายไปอย่างน่าหวาดผวา บนท้องฟ้าในตอนนี้ยังคงมีมังกรจำนวนมากบินอยู่ และเสียงคำรามของมังกรก็ดังก้องไปทั่วท้องฟ้าจนทำให้ผู้คนตัวสั่น
“ทำไม…” จักรพรรดิถอนหายใจเบาๆ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมังกรจำนวนมากจึงปรากฏตัวขึ้นได้ ทำไมมังกรถึงยืนเคียงข้างลากัคและโยซาลี่ ทำไมมังกรถึงเข้ามาแทรกแซงเรื่องของมนุษย์? ทั้งหมดนี้มันเพราะอะไรกันแน่? หรือจะเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นจริงๆ? แคลร์ หญิงสาวผู้อัจฉริยะจากตระกูลฮิลล์น่ะหรือ มันจะเป็นไปได้อย่างไร? มนุษย์เพียงคนเดียวจะใช้พลังมหาศาลของมังกรได้เช่นนี้หรือ? ลากัคเป็นศัตรูกับอันพาแกรนด์มาโดยตลอด เรื่องสงครามไม่ว่าจะช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น แต่ด้วยความแข็งแกร่งของอันพาแกรนด์ ไม่จำเป็นต้องกลัวพวกเขาเลย แต่นี่เกิดอะไรขึ้นกับมังกรและโยซาลี่ล่ะ? เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นจริงๆ หรือ?!
ราชินีที่ยืนอยู่ด้านหลังจักรพรรดิกำลังแตะที่ท้องของนางอย่างอ่อนโยน มีหนึ่งชีวิตน้อยๆ กำลังเติบโตขึ้น แต่หนทางต่อจากนี้อยู่ที่ไหนล่ะ?
องค์ชายมองไปที่กองทัพของลากัคที่อยู่บนถนนแล้วความคิดของเขาก็โลดแล่นไปไกลแสนไกล แคลร์ ฮิลล์ เขาคิดถึงคนๆ นี้อยู่ตลอด และก็เป็นชื่อที่ทำให้เขาเจ็บปวดอยู่เสมอ ถ้าตนเองไม่เลือกใช้แคทเธอรีนในตอนนั้น สถานการณ์ในตอนนี้จะแตกต่างไปหรือไม่? ที่จริงนันซีนึกเสียใจอยู่ตลอด เขาต้องเผชิญกับความเสียใจอยู่ทุกคืน ถ้าหากตอนนั้นเขาไม่ใช้แคทเธอรีน แคลร์ก็คงไม่ต้องถูกวิหารแห่งแสงใส่ร้าย และนางก็คงไม่ต้องได้รับความเศร้าโศกและเจ็บปวดเช่นนั้น เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเขาเองที่สร้างมันขึ้นมา! นันซีหลับตาลงช้าๆ และถอนหายใจออกมา เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้เขาเป็นคนหาเรื่องใส่ตัวเอง!
แมริสยืนอยู่มองถนนเงียบๆ และแล้วก็มีรอยยิ้มที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง แต่ก็มีความเศร้าอยู่ลึกๆ ในแววตาด้วย ‘เจ้ากลับมาแล้ว ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว…ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องกลับมา มันถึงเวลาที่เรื่องทุกอย่างจะจบลงแล้ว’
ภายในวังมีแต่ความวุ่นวาย เหล่าคนรับใช้ต่างก็พากันกรีดร้องและวิ่งไปทั่ว วุ่นวายกันไปหมด
จักรพรรดิหันกลับมามองนันซีช้าๆ ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มแล้วถอดมงกุฎออกมาวางไว้บนศีรษะของนันซี จากนั้นก็พูดด้วยเสียงทุ้ม “นันซีเอเดรีย ตอนนี้ข้าขอแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้สืบบัลลังก์ลำดับที่สามสิบห้าของอันพาแกรนด์” หลังจากสวมมงกุฎบนศีรษะของนันซีแล้ว จักรพรรดิก็ค่อยๆ คุกเข่าลงและพูด “ถวายบังคมองค์จักรพรรดิ” ราชินีและองค์หญิงแมริสถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ ไม่นานสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ
ราชินีจับกระโปรงของนางและโค้งคำนับอย่างสง่างาม “ถวายบังคมองค์จักรพรรดิ”
องค์หญิงแมริสเองก็จับกระโปรงของนางและโค้งคำนับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ถวายบังคมองค์จักรพรรดิ”
นันซีมองคนตรงหน้าเขาอย่างว่างเปล่า หัวใจของเขารู้สึกซับซ้อนมาก แต่เขาพูดอะไรออกมาไม่ได้เลย
“ไปสิ อันพาแกรนด์จะต้องคงอยู่ตลอดกาล!” จักรพรรดิหยิบม้วนหนังสือออกมาแล้วยัดใส่มือของนันซี “ในฐานะความรับผิดชอบของจักรพรรดิองค์ใหม่ โปรดพาประชาชนกลุ่มสุดท้ายของเจ้าออกไปจากที่นี่ จำเอาไว้ว่าอันพาแกรนด์จะต้องคงอยู่ตลอดกาล!”
น้ำตาของนันซีไหลออกมา ราชินีกัดริมฝีปากสะอื้น แมริสหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาไหลลงที่ใบหน้างดงามของนาง หัวใจของพวกเขามีแต่ความเชื่อมั่นที่แน่วแน่ ‘อันพาแกรนด์จะต้องไม่ล่มสลาย! อันพาแกรนด์จะต้องคงอยู่ไปตลอดกาล!’
จักรพรรดิลุกขึ้นแล้วเดินไปยืนมองถนนอยู่ตรงหน้าต่างเงียบๆ
ด้านหลังของเขา นันซีกำลังยืนอยู่กับราชินีและองค์หญิงแมริส ทันใดนั้นนันซีก็ฉีกม้วนเวทเคลื่อนย้ายอย่างแรงแล้วแสงสีขาวก็สว่างวาบพร้อมกับที่ร่างทั้งสามหายไป
จักรพรรดิยิ้มและเงยหน้าขึ้นช้าๆ เขาดึงกระบี่ที่เอวของเขาออกมาแล้วแทงเข้าที่หน้าอกของตน ในช่วงเวลาสุดท้ายของเขา ความคิดเดียวของจักรพรรดิก็คือ ถ้าเขาไม่ได้ร่วมมือกับวิหารแห่งแสงใส่ร้ายแคลร์ในตอนนั้นก็คงจะดี แต่โลกนี้ไม่มีอะไรที่ย้อนกลับไปแก้ไขได้แล้ว…
จักรพรรดิแห่งอันพาแกรนด์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว องค์ชายสองก็ได้กลับไปกอบกู้ประเทศในภายหลัง แต่อันพาแกรนด์ไม่ได้มีอำนาจที่แข็งแกร่งอย่างเคยอีกต่อไป แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภายหลัง ไม่ใช่ตอนนี้
ขณะนี้วิหารแห่งแสงมีแต่ความเงียบสงบ ไม่มีใครตื่นตระหนก ผู้คนในห้องโถงใหญ่ล้วนเป็นเหล่าผู้ศรัทธาที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเทพีแห่งแสง พูดได้อีกอย่างก็คือคนที่ถูกล้างสมองจนหมดแล้ว ดังนั้นพวกเขาก็ยอมที่จะตายไปพร้อมกับวิหารแห่งแสง
ทันทีที่กลุ่มของชีอ้าวชวางก้าวเข้าไปในวิหารแห่งแสง วัลโดและพวกก็ไม่เกรงใจอะไรทั้งนั้นแล้ว เขาเป็นหนึ่งในรายชื่ออันดับต้นๆ ที่วิหารแห่งแสงต้องการตัวมาโดยตลอด และเขาก็ไม่เคยคิดจะอยู่ฝ่ายเดียวกับวิหารแห่งแสงเลย ในที่สุดก็ถึงวันที่เรื่องพลิกกลับแล้ วยังจะต้องยั้งมืออีกทำไมล่ะ วัลโดพาผู้คนจากวิหารแห่งความมืดไปรื้อค้นและพังทุกอย่างไปตลอดทาง ส่วนคลิฟก็ไปหาราอูลแล้ว
ชีอ้าวชวาง เหลิ่งหลิงยวิ๋น เฟิงอี้เซวียน จินเหยียน ไป๋ตี้ และเฮยหยู่ พวกเขาเดินเข้าไปในห้องโถงด้วยสีหน้าสงบ