เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 231
ชีอ้าวชวางเคยมาที่นี่แล้ว ส่วนเหลิ่งหลิงยวิ๋นยิ่งคุ้นเคย พวกเขาจึงเดินไปที่หน้าห้องหนังสือของพระสันตะปาปา
ชีอ้าวชวางค่อยๆ เปิดประตู ตอนนี้มีคนอยู่ในห้องนั้นสองคน
คนหนึ่งคือพระสันตะปาปาที่มีใบหน้าสงบ และอีกคนคือหลิวเฉว่ฉิงที่มีใบหน้าร้อนรน! หลิวเฉว่ฉิงไม่ได้หนี แต่นางไม่ใช่ผู้ศรัทธา ดังนั้นการที่นางปรากฏตัวอยู่ที่นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ
พอประตูเปิดออก พระสันตะปาปาและชีอ้าวชวางก็มองหน้ากัน
สีหน้าของพระสันตะปาปาดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ เมื่อเขามองใบหน้าที่เย็นชาของชีอ้าวชวาง รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา “เจ้าคือหญิงที่มีสีดำทั้งสองในตำนานจริงๆ สินะ คนที่จะมาโค่นล้มพลังแห่งแสง…” พอพูดถึงตอนท้าย สีหน้าของพระสันตะปาปาก็ดูแย่ลง เขาพยายามทำทุกอย่าง เขาใช้ทุกวิถีทางมาขัดขวาง แต่ผลสุดท้ายก็ยังคงเป็นเช่นนี้ พลังแห่งแสงก็ยังต้องมาจบลง…
ชีอ้าวชวางมองพระสันตะปาปาที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชา เท้าข้างที่เสียไปของพระสันตะปาปาในเวลานี้ไม่ต่างจากคนปกติเลย เพราะมีเสื้อคลุมปิดเท้าที่ทำจากหยกพิเศษเอาไว้ คนคนนี้แหละที่ฆ่าอาจารย์อูมาริที่นางเคารพอย่างโหดเหี้ยม!
เวลานี้น้ำเสียงเย็นชาของเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ดังขึ้น เขาพูดเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยความเยาะเย้ย “นางไม่ใช่หญิงผู้มีสีดำทั้งสองในตำนาน แต่พวกท่านเองต่างหากที่ผลักดันให้นางก้าวมาถึงจุดนี้ นางไม่ได้มีเจตนาที่จะโค่นล้มพลังแห่งแสง แต่พวกท่านก็บีบบังคับให้นางต้องทำสิ่งนี้”
“ใช่ เจ้าพวกงี่เง่า พวกเจ้าวางแผนผิดไปแล้ว ลำดับเหตุและผลก็ไม่ถูกต้อง” เฟิงอี้เซวียนยิ้มเยาะและพูดอย่างเย็นชา “เจ้าลองคิดดูดีๆ นะว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”
พระสันตะปาปาตะลึงและอ้าปากค้าง เขาค่อยๆ คิดแล้วมองกลุ่มคนตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้างและตัวสั่น หลิวเฉว่ฉิงที่อยู่ข้างหลังเขารีบเข้ามาพยุงทันที ริมฝีปากของพระสันตะปาปาสั่นระริก ผ่านไปสักพักเขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา ความกลัวและความเจ็บปวดในดวงตาของเขาถาโถมใส่เขาเอง หรือที่เรื่องทั้งหมดมันเป็นเช่นนี้ก็เพราะวิหารหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ? เรื่องทั้งหมดนี้วิหารทำตัวเองงั้นหรือ? หรือว่ามันผิดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว? พอมาคิดดูตอนนี้ ก็เป็นวิหารแห่งแสงเองที่เริ่มลงมือกับหญิงสาวตรงหน้านี้ก่อน นางไม่ได้ทำอะไรวิหารแห่งแสงเลย แถมผมและดวงตาสีดำของนางก็เกิดขึ้นหลังจากเรื่องทุกอย่างด้วย!
“ตอนนั้นหากพวกเจ้าไม่ทำร้ายแคทเธอรีนแม่ของอ้าวชวาง เรื่องราวมันจะกลับกลายเป็นเช่นนี้หรือ?” ใบหน้าของเฟิงอี้เซวียนเต็มไปด้วยความเย็นชา น้ำเสียงของเขาก็เยือกเย็นมากเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่อยู่ตรงหน้านี้ อ้าวชวางก็ไม่ต้องมาเจอกับความเจ็บปวดและความทุกข์แบบนั้น! คนตรงหน้านี้ ต่อให้ตายร้อยครั้งก็ยังไม่สาสม!
พระสันตะปาปามองใบหน้าที่เย็นชาของชีอ้าวชวางนิ่งๆ ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ หรือว่าเจตจำนงของเทพีในตอนนั้นจะเป็นสิ่งที่ผิด? เรื่องราวมันอาจจะไม่ต้องกลายมาเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่? ไม่! จะเป็นไปได้อย่างไร! เจตจำนงของเทพีจะผิดได้อย่างไรกัน? มันเป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!
หลิวเฉว่ฉิงหันหน้าไปมองเหลิ่งหลิงยวิ๋นอย่างลึกซึ้ง นางคิดถึงคนคนนี้มานานและอยากเจอเขาแทบบ้า ในที่สุดวันนี้ก็ได้เจอเขาแล้ว แต่กลับพบเจอในสถานการณ์เช่นนี้ แววตาของหลิวเฉว่ฉิงมีประกายความท้อแท้และความเสียใจอยู่ในนั้น ใช่สิ มีเพียงแค่ในสถานการณ์เช่นนี้เท่านั้นที่จะได้เจอเขา…นิสัยและความแข็งแกร่งของนางจัดการกับคนเหล่านี้ตั้งแต่ที่พวกเขายังไม่ได้เข้ามาในเมืองแล้วหนีเอาตัวรอดไปได้ด้วยซ้ำ เพราะนางเองก็ไม่ได้ศรัทธาต่อเทพีแห่งแสง แต่นางไม่อยากไป นางอยากอยู่ที่นี่เพื่อเจอกับคนที่นางห่วงใยเขามาเสมอ แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้เจอเขา มันก็เพียงพอแล้ว
“พระสันตะปาปาผู้สูงส่ง…” รอยยิ้มที่เย้ายวนและชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชีอ้าวชวาง
พระสันตะปาปายังคงไม่ขยับตัว ดวงตาของเขาพร่ามัวไปแล้ว เพราะในเวลานี้เขากำลังจมอยู่ในความคิดที่ไม่มีที่สิ้นสุด เขายังคงถามตัวเองว่าเจตจำนงของเทพีนั้นผิดจริงๆ หรือ จากนั้นก็ปฏิเสธว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร เจตจำนงของเทพีไม่มีทางผิด แต่สถานการณ์ของวิหารในตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ? วิหารตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นนี้ เหตุใดเทพีจึงยังไม่มา ทำไมเทพีจึงไม่ยื่นความเมตตาออกมาช่วยพวกเขาล่ะ?
ด้านหลังห้องโถง ที่หน้ารูปปั้นเทพีแห่งแสง มีผู้หญิงผมสีเขียวคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ นางก็คือลอรีอัลผู้เป็นโหรสูงสุดของวิหาร นางคุกเข่าอยู่ต่อหน้ารูปปั้นเทพีอย่างเลื่อมใสพร้อมกับประสานมือไว้ที่หน้าอกแล้วอธิษฐานอย่างต่อเนื่อง แต่เทพีก็ไม่มีการตอบสนองเลย เวลานี้มีเลือดไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้างของนางแต่นางก็ยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน หรือว่าเทพีจะทอดทิ้งพวกเราไปจริงๆ? ลอรีอัลขมวดคิ้ว ในใจของนางเริ่มมีความรู้สึกสิ้นหวังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ยอมละทิ้งความพยายามสุดท้าย นางยังคงเฝ้ารอปาฏิหาริย์ที่ไม่มีทางเกิดขึ้นอยู่…
คลิฟมาพบราอูลที่นั่งอยู่ในห้องอย่างสงบนิ่ง พอราอูลเห็นคลิฟ ใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มที่เหนื่อยล้าแต่โล่งใจออกมา
“วิหารจะไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องยึดถือเรื่องสร้างสันติระหว่างอำนาจเทพเจ้าและอำนาจกษัตริย์อีกต่อไปแล้ว” คลิฟพูดพลางเดินไปหาราอูลด้วยสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ ในขณะที่หันหน้าไปทิศทางอื่น
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องมา” ราอูลยืนขึ้นมองคลิฟและพูดด้วยรอยยิ้ม คำพูดของคลิฟที่บอกว่าเขาจะไม่กลับมาอีกตลอดชีวิตนั่นเป็นเพียงคำพูดที่เกิดขึ้นเพราะอารมณ์เท่านั้น
“เหอะ ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้านะ!” คลิฟส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ
“อืม เช่นนั้นเจ้าก็ค่อยๆ คิดบัญชีไปแล้วกัน” ราอูลยิ้มออกมา เขาปัดเสื้อผ้าแล้วยืดเส้นยืดสาย “ในที่สุดข้าก็รอมาจนถึงวันนี้ วันที่ทุกอย่างจบสิ้นลงเสียที ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว ต่อไปข้าก็ไม่ต้องมาถูกบีบบังคับอีกต่อไปแล้ว ข้าอึกอัดมากๆ”
คลิฟและราอูลมองหน้ากัน จากนั้นทั้งคู่ก็ยิ้มออกมาอย่างรู้ทันกัน
ภายในห้องหนังสือ พระสันตะปาปายังคงจ้องมองที่เพดานอย่างนิ่งเงียบอยู่เช่นเดิม
“เป็นไปไม่ได้! เจตจำนงของเทพีไม่มีทางผิด!” จู่ๆ พระสันตะปาปาก็ตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งและสะบัดมือของหลิวเฉว่ฉิงที่จับเขาอยู่ออกไปอย่างรุนแรง จากนั้นก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งจนน้ำตาแทบไหลออกมา “เจ้าพวกนอกรีต พวกเจ้ากล้าท้าทายพลังของเทพี พวกเจ้าจงไปตายซะ!” พระสันตะปาปาตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งแล้วปล่อยพลังเวทออกไป
จินเหยียนรีบดึงดาบออกมาขวางที่ด้านหน้าของชีอ้าวชวางเพื่อป้องกันการโจมตีของพระสันตะปาปา
ใบหน้าของชีอ้าวชวางไม่ได้แสดงความรู้สึกใด นางแค่สะบัดมือเบาๆ จากนั้นดาบเปลวไฟก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง!
นางเหวี่ยงดาบไปตรงหน้าพระสันตะปาปาแล้วเก็บดาบ นางไม่ได้แลตามองหลิวเฉว่ฉิงที่อยู่ในห้องด้วยเลยแม้แต่น้อย จากนั้นชีอ้าวชวางก็หันหลังแล้วเดินตรงไปข้างหน้าโดยมีจินเหยียนที่เก็บดาบแล้วเดินตามหลังไป ไป๋ตี้เองก็หันหลังเดินตามไปเงียบๆ ส่วนเฮยหยู่ก็ยักไหล่แสยะมุมปากแล้วตามออกไป ในสายตาของชีอ้าวชวางไม่สนใจหลิวเฉว่ฉิงอีกต่อไปแล้ว นางไม่ได้มีตัวตนอะไรอีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมาเสียเวลาอยู่กับนางอีก
พระสันตะปาปามองชีอ้าวชวางที่เพิ่งจากไปด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็มีเลือดหยดออกมาจากหน้าผากและจมูกของเขาอย่างช้าๆ จากนั้นรอยแยกกลางหน้าผากก็ปรากฏขึ้นแล้วร่างกายของพระสันตะปาปาก็แยกออกเป็นสองซีก สุดท้ายพระสันตะปาปาก็ค่อยๆ ล้มลง แต่เขาไม่ได้ตายในทันที เขายังยืนมองร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาที่ล้มลงไปที่พื้นอย่างตื่นตะลึง
หลิวเฉว่ฉิงยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้และมองชีอ้าวชวางที่เพิ่งเดินจากไปด้วยความงุนงง นางไม่ทำอะไรตนเองงั้นหรือ? หลิวเฉว่ฉิงอึ้ง ทำไมล่ะ? เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของหญิงผู้นั้นฆ่าตนเองได้! แต่ทำไมนางถึงไม่ทำล่ะ? ทำไมไม่ฆ่าตนเอง? เพราะว่าตนเองไม่มีคุณค่าพอที่จะฆ่างั้นหรือ? หรือว่านางจะรังเกียจจนไม่ฆ่าเองแต่ให้คนของวิหารแห่งความมืดมาฆ่าแทน?
เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองหลิวเฉว่ฉิงแล้วพูดอย่างเย็นชา “เจ้าไปเสียเถอะ”
หลิวเฉว่ฉิงตะลึงและมองเหลิ่งหลิงยวิ๋นอย่างไม่เชื่อสายตา เขาพูดแล้ว เขาพูดกับตนเองแล้ว บอกให้ตนเองไปงั้นหรือ? ทำไมล่ะ?
“หลิงยวิ๋น!” สายตาของหลิวเฉว่ฉิงมีทั้งความหวังและความดีใจ หรือว่าเขายังมีมิตรภาพกับนางอยู่?
“เจ้าอย่าเข้าใจผิด” เหลิ่งหลิงยวิ๋นเหลือบมองหลิวเฉว่ฉิงด้วยสายตาที่เก็บความรังเกียจไว้ไม่อยู่ จากนั้นก็พูดอย่างเย็นชา “ข้าไม่ฆ่าเจ้าก็เพราะเห็นแก่ที่เจ้าดูแลซวนซวนในอดีต ไม่ว่าเจ้าจะมีเจตนาดีหรือมีเจตนาแฝง แต่อย่างไรเจ้าก็ดูแลซวนซวนมานานมาก ดังนั้นวันนี้ข้าจึงปล่อยเจ้าไป แต่เจ้าจะหลบหนีจากการถูกวิหารแห่งความมืดไล่ล่าได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคของเจ้าเอง”
หลังจากที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดคำพูดเย็นชาเหล่านี้จบ เขาก็ตามชีอ้าวชวางออกไป
หลิวเฉว่ฉิงยืนมองแผ่นหลังของเหลิ่งหลิงยวิ๋นที่เดินจากไปอยู่ตรงนั้นอย่างว่างเปล่า ตอนนี้หัวใจของนางเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีด ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว…แท้ที่จริงแล้ว ผู้ชายที่นางคลั่งไคล้ก็ไม่เคยมีนางอยู่ในหัวใจของเขาเลย! ไม่เคยมีอยู่เลย…
หลิวเฉว่ฉิงไม่ได้มองร่างครึ่งท่อนของพระสันตะปาปาที่อยู่ที่พื้นแล้ว นางรีบวิ่งตามออกไปและมองแผ่นหลังของเหลิ่งหลิงยวิ๋น จากนั้นใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น
“แคลร์! ไปตายซะ!” หลิวเฉว่ฉิงตะโกนและวิ่งเข้าไป
เหลิ่งหลิงยวิ๋นที่เดินอยู่ด้านหลังหันกลับไปทันทีโดยไม่ลังเลใดๆ จากนั้นเวทมนตร์แห่งแสงก็ปรากฏขึ้นแล้วแสงสีขาวก็ทะลุร่างของหลิวเฉว่ฉิงไป เหลิ่งหลิงยวิ๋นตกใจ หลิวเฉว่ฉิงไม่มีอาวุธใดๆ และนางก็ไม่ได้ร่ายเวทมนตร์เลยสักนิด นางไม่ได้ใช้เวทมนตร์ด้วยซ้ำ! กล่าวอีกนัยก็คือนางไม่ได้คิดที่จะลงมืออยู่แล้วงั้นหรือ?!
ชีอ้าวชวางค่อยๆ หันไป นางมองรอยยิ้มที่ขมขื่นแต่มีความพอใจบนใบหน้าของหลิวเฉว่ฉิงแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไปกันเถอะ” ชีอ้าวชวางพูดเบาๆ เรียกสติของทุกคนกลับมา เหลือเพียงแค่เหลิ่งหลิงยวิ๋นที่อยู่ด้านหลังเท่านั้น คนที่น่ารังเกียจย่อมมีจุดที่น่าสงสาร…หลิวเฉว่ฉิง ในเวลานี้นางไม่ใช่เทพธิดาผู้สูงศักดิ์และหญิงสาวผู้มีแต่ความเกลียดชังและแรงหึงหวงอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้นางเป็นเพียงคนน่าสงสารที่โหยหาความรักที่ตัวนางไม่มีวันที่จะได้รับเท่านั้น
เลือดค่อยๆ ไหลออกมาจากปากของหลิวเฉว่ฉิงไม่หยุด ที่ช่องท้องของนางถูกเวทมนตร์แห่งแสงของเหลิ่งหลิงยวิ๋นโจมตีจนทะลุเป็นช่องโหว่ที่น่าตกใจ เลือดแดงฉานเปื้อนเต็มชุดของนาง แล้วนางก็ล้มลงกับพื้น แต่สายตาของนางกลับมองไปที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นตรงหน้านางอย่างเหม่อลอย
เหลิ่งหลิงยวิ๋นย่อตัวลงและมองหลิวเฉว่ฉิงอย่างเงียบๆ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบา “ทำไม?”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของหลิวเฉว่ฉิง จากนั้นนางก็พูดด้วยความยากลำบาก “ข้า…ข้าแค่อยากให้เจ้าจดจำข้า แม้ว่า…จะเป็นแค่เวลานี้ ข้าแค่อยาก…ตายด้วยน้ำมือของเจ้า…” แววตาของหลิวเฉว่ฉิงในเวลานี้มีแต่ความเศร้า เขาไม่ลังเลที่จะโจมตีนางเพื่อหญิงผู้นั้นเลย แม้ว่านางจะรู้อยู่แล้ว แต่พอมันเกิดขึ้นจริงๆ หัวใจก็ยังเจ็บปวดถึงขนาดนี้ เช่นนั้นก็ขอให้เขาจดจำนางในช่วงเวลาสุดท้ายนี้ แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาแค่สั้นๆ ก็ยังดี…