เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 265
ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
“คุณหนูอ้าวชวาง เทพีเชิญคุณหนูไปพบบอกว่ามีเรื่องอยากปรึกษาค่ะ” สาวใช้ที่หน้าประตูพูดอย่างนอบน้อมแม้แต่เทพีของพวกนางยังสุภาพกับสาวผมดำลึกลับคนนี้เลย แน่นอนว่าพวกนางเองก็ต้องเคารพเช่นกัน
ชีอ้าวชวางและคามิลล์มองหน้ากัน ชีอ้าวชวางยิ้มเยาะเล็กน้อยดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนจะเร็วกว่าที่คาดไว้นะ
“ข้ารู้แล้ว เดี๋ยวข้าจะไปทันที”ชีอ้าวชวางพยักหน้าเบาๆ ให้สาวใช้ออกไปก่อน
“ดูเหมือนว่าสงครามกำลังจะปะทุขึ้นในโลกเทพเจ้าแล้ว” คามิลล์ยิ้มอย่างสง่างามและอ่อนโยน ทว่าในรอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยเลศนัยบางอย่าง
“อืม ศาสนจักรเพรสไบทีเรียนรอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว” ชีอ้าวชวางยืนขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก “ไปดูกันเถอะว่าคราวนี้มาริลินจะทำอย่างไร”
คามิลล์ก็ยืนขึ้นพร้อมกับพยักหน้าอย่างมีความสุขแล้วเดินไปที่ห้องหนังสือของมาริลินพร้อมชีอ้าวชวาง
พอเข้าไปในห้องหนังสือชีอ้าวชวางก็เห็นว่าเฟิงอี้เซวียนกับเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็อยู่ที่นี่ด้วยส่วนนายน้อยไม่อยู่ ตอนนี้คงจะเล่นไพ่นกกระจอกอยู่กับเหล่าเทพเจ้าอยู่
พอเดินเข้าไปเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ยิ้มและพยักหน้าเบาๆ ให้ชีอ้าวชวางชีอ้าวชวางยิ้มกลับไปจากนั้นสายตาก็เคลื่อนไปที่เฟิงอี้เซวียน เฟิงอี้เซวียนกลับก้มหน้าก้มตาไม่มองนางเลยแต่พอชีอ้าวชวางหันไปมองมาริลินนางกลับก็รู้สึกถึงสายตาที่คุ้นเคยนั้นมองมาที่นางอีกครั้ง
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้นะ? ชีอ้าวชวางอยากจะถามเฟิงอี้เซวียนว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้เสมอเลย? มีเรื่องลำบากใจอะไรที่พูดออกมาไม่ได้กันแน่? ทำไมถึงไม่พูดออกมาแล้วแก้ปัญหาด้วยกันล่ะ?
“คุณหนูอ้าวชวางคราวนี้ข้าจะขอให้เจ้าและเพื่อนของเจ้าช่วยข้า” ใบหน้าของมาริลินดูหวาดหวั่นเล็กน้อยขณะพูดด้วยความจริงใจและเป็นกังวล
แต่ชีอ้าวชวางกลับไม่เห็นความตื่นตระหนกหรือความวิตกกังวลในแววตาของนางเลย จะมีก็แต่ความเฉยเมยและความยโสเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้นเหตุใดจึงทำให้เทพีผู้สูงศักดิ์และสง่างามของเราร้อนรนได้ถึงเพียงนี้”ชีอ้าวชวางนั่งลงอย่างไม่แยแสและพูดด้วยน้ำเสียงถากถาง
แววตาของชาร์ลอตต์ที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะมีความเจ็บปวดปรากฏขึ้นแต่มันเร็วมากจนแทบจะจับสังเกตไม่ได้
“คุณหนูอ้าวชวาง พวกศาสนจักรเพรสไบทีเรียนได้รวมกำลังพลจำนวนมากพวกเขากำลังจะประกาศสงครามกับข้าอย่างเป็นทางการแล้ว! พวกเขาไม่สนใจเรื่องการรักษาภาพลักษณ์อีกต่อไปแล้ว” มาริลินยังคงพูดด้วยความตื่นตระหนก “โลกเทพเจ้ากำลังจะเกิดสงคราม ข้าไม่อยากเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นเลยแต่ถ้าข้าไม่ตอบรับสงครามนี้ ข้าก็จะถูกศาสนจักรตัดสินโทษ สิ่งที่ข้าสัญญาเอาไว้มันก็จะไม่มีทางเป็นจริงได้ สงครามศักดิ์สิทธิ์จะยังคงเกิดขึ้นตามเดิมดังนั้นได้โปรดคุณหนูอ้าวชวาง เจ้าและเพื่อนของเจ้าต้องช่วยให้ข้าชนะสงครามนี้ให้จงได้”
ชีอ้าวชวางเลิกคิ้วเล็กน้อย เหอะ มาริลินพัฒนาขึ้นแล้ว นางรู้จักใช้วิธีนี้มาข่มขู่ชีอ้าวชวางไม่ได้ตอบรับมาริลินในทันที แต่เลิกคิ้วเล็กน้อยให้ชาร์ลอตต์ที่ยืนอยู่ข้างหลังมาริลิน
ทันใดนั้นสีหน้าของชาร์ลอตต์ก็ดูแย่ลงในทันที ใบหน้าที่หล่อเหลาก็ซีดเซียวไร้สีเลือด จากนั้นเขาก็หลับตาลงด้วยความเจ็บปวดและก้มหน้าเขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่ามาริลินที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสาคนเดิมอีกต่อไป เวลานี้นางเป็นเทพีแห่งแสงที่ความโลภครอบงำจิตใจ! เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ปรารถนาในอำนาจไปแล้ว!
“เราต้องช่วยเจ้าอยู่แล้ว ถึงอย่างไร…” ชีอ้าวชวางมองตาของมาริลินอย่างเต็มไปด้วยความหยอกล้อและพูดช้าๆ “ถึงอย่างไรเป้าหมายของเราก็เหมือนกันนั่นคือการยุติสงครามศักดิ์สิทธิ์ ใช่หรือไม่เทพีแห่งแสงผู้สูงศักดิ์?”
“ใช่ คุณหนูอ้าวชวางดียิ่งนักที่เจ้าเข้าใจในเรื่องนี้” มาริลินพยักหน้าอย่างแรงด้วยสีหน้ามีความสุข
แน่นอนว่าข้าเข้าใจสิ มาริลิน
จะต้องมีเรื่องน่าประหลาดใจรอเจ้าอยู่เป็นแน่ ใช่หรือไม่ชาร์ลอตต์
หางตาของชีอ้าวชวางมองชาร์ลอตต์ที่กำลังมองมาที่นาง จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ
“จริงสิ เทพี ที่ข้าจะขอให้เจ้าช่วยข้าตามหาคนสองคนได้ข่าวอะไรหรือไม่” ชีอ้าวชวางพูดก่อนหน้านี้นางขอให้มาริลินตามหาไป๋ตี้และเฮยหยู่นี่ก็ผ่านมาสักพักแล้ว สองคนนั้นน่าจะมีข่าวคราวอะไรบ้างแล้ว
“อ้อ มีแล้วๆ” มาริลินพยักหน้า “ข้ากำลังจะบอกเรื่องนี้กับเจ้าพอดี พบพวกเขาแล้วเมื่อสองวันก่อนและตอนนี้พวกเขาก็กำลังมาที่นี่”
“ข้าซาบซึ้งในความช่วยเหลือของเทพีมาก ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าจะหาพวกเขาพบได้อย่างไร” ชีอ้าวชวางยิ้มและพูดขอบคุณ การที่ให้เทพีแห่งแสงออกหน้าตามหาคนให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีจริงๆ อย่างแรกก็คือค้นหาได้กว้างขวาง แตกต่างจากเทพเจ้าแห่งความมืดที่เขาไม่สามารถทำได้สะดวกขนาดนี้ อย่างที่สองคือมีประสิทธิภาพสูง ในโลกเทพเจ้า หากเทพีแห่งแสงประกาศตามหาใคร มีหรือที่ประชาชนจะไม่ให้ความร่วมมือ
“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง” มาริลินยิ้มอย่างสง่างาม
“ถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับศาสนจักรเพรสไบทีเรียน หากได้ความช่วยเหลือจากพวกเขาก็จะง่ายขึ้นอีกเยอะเลย”ชีอ้าวชวางพูด
“โอ้ จริงหรือ เช่นนั้นก็เยี่ยมเลย ขอบคุณมากคุณหนูอ้าวชวาง ที่แท้เจ้าขอให้ตามหาพวกเขาก็เพราะจะให้มาช่วยข้าใช่หรือไม่” มาริลินพยักหน้าขอบคุณอย่างตื่นเต้น ในสายตาของนางมีความภูมิใจที่สังเกตได้ยากกับรอยยิ้มเยาะอยู่ หญิงสาวมนุษย์ผู้นี้ใช้งานง่ายจริงๆ ช่วยเหลือโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆเลย
ชีอ้าวชวางแอบยิ้มเย็นชาอยู่ในใจ ใช่ มาริลิน เรื่องประหลาดใจที่ยิ่งใหญ่กว่ากำลังรอเจ้าอยู่
“เทพีไม่ต้องกังวล ข้ากับเพื่อนของข้าจะช่วยเจ้าเอง” หลังจากที่ชีอ้าวชวางพูดแบบนี้มาริลินก็ยังคงกังวลอยู่เล็กน้อย
“แต่คุณหนูอ้าวชวางความแข็งแกร่งของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนไม่ควรมองข้ามเลยนะ ยังไม่ต้องพูดถึงทูตสวรรค์นับล้านของพวกเขาสมาชิกทั้งหมดของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนทั้งหมดล้วนเป็นปรมาจารย์ที่ทรงพลังทั้งสิ้น” มาริลินขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างกังวล
“ไม่เป็นไรหรอก เรายังมีเทพเจ้ามังกรและคนอื่นๆ อีกนี่?” ชีอ้าวชวางมองมาริลินด้วยรอยยิ้ม ในเมื่อผู้หญิงคนนี้ปรารถนาที่จะให้ตนเองพูดเช่นนี้ เช่นนั้นก็จะช่วยเติมเต็มความปรารถนาของนางให้ ถึงอย่างไรก็แค่คำพูดไม่กี่คำ ไม่เสียหายอะไรหรอก
แน่นอนว่าหลังจากที่ชีอ้าวชวางพูดคำเหล่านั้นออกมา สีหน้าของมาริลินก็ดูโล่งใจขึ้น แต่ก็มีประกายที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นในแววตาของนางด้วย
“เช่นนั้นข้าก็สบายใจ ขอบคุณคุณหนูอ้าวชวางมาก” มาริลินขอบคุณอย่างตื่นเต้น
ชีอ้าวชวางทำเพียงแค่ยิ้มโดยไม่ตอบอะไร
ในตอนกลางคืน ไป๋ตี้และเฮยหยู่ก็มาถึงศาลแห่งแสงและได้พบกับชีอ้าวชวาง
“ทั้งสองคนคงจะลำบากกัน นั่งลงดื่มชาก่อนสิ” คามิลล์ยิ้มและรินชาให้ทั้งสองคน
“สถานการณ์ก็คือศาลแห่งแสงที่นี่กำลังจะมีสงครามกับศาสนจักรสิ่งที่เราต้องทำคือทำให้พลังทั้งสองนี้สมดุลกัน รวมทั้งพลังแห่งความมืดของเทพเจ้าแห่งความมืดด้วยต้องทำให้ทั้งสามพลังสมดุลกันและต่อสู้กันตลอดไปงานของเราจึงจะเสร็จสิ้น” หลังจากชีอ้าวชวางกางเขตกั้นแล้วก็เริ่มบอกสถานการณ์ให้ทั้งสองฟังคร่าวๆ
“มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ” เฮยหยู่นั่งลงดื่มชาที่คามิลล์ยื่นให้เขาโดยไม่ลืมที่จะขอบคุณคามิลล์
“ขอบคุณ” ไป๋ตี้นั่งลงอย่างสงบแล้วรับชาของคามิลล์พร้อมขอบคุณเขาก่อนจิบชา
“อืม ง่ายอย่างนั้นเลย เดิมที่คิดว่าจะกำจัดพวกศาสนจักรและปล่อยให้มาริลินเทพีแห่งแสงคนปัจจุบันสร้างศาลแห่งแสงขึ้นใหม่ แต่ความทะเยอทะยานของผู้หญิงคนนี้กลับเพิ่มมากขึ้น ถึงจะให้นางมีอำนาจก็คงจะเริ่มสงครามอีกแน่ สู้ปล่อยให้โลกเทพเจ้าอ่อนแอลงเรื่อยๆ และริเริ่มสงครามศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อีกต่อไปเลยดีกว่า”ชีอ้าวชวางอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มลง “นอกจากนี้ยังมีเทพเจ้าแห่งความมืดอีกกองกำลังทั้งสามนี้ต้องยืนอยู่ด้วยกันให้สมดุลมั่นคงจะได้ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป”
“แต่เกรงว่าทางด้านโลกปีศาจคงจะไม่ง่ายแบบนี้นะ” ไป๋ตี้พูดใจความสำคัญออกมาอย่างใจเย็น
“ใช่ ข้าก็รู้ แต่ขอแก้ปัญหานี้ก่อนแล้วกัน” ชีอ้าวชวางลอบถอนหายใจ
“เช่นนั้นเราต้องทำอย่างไร ต้องยอมอ่อนข้อให้ในสงครามของมาริลินกับศาสนจักรเพรสไบทีเรียนหรือ” เฮยหยู่ไม่ได้โง่และถามคำถามนี้ออกมาทันที
“ช่วยมาริลินให้ชนะการต่อสู้ แต่ปล่อยคนของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนไป ป้องกันรักษาความรากฐานแข็งแกร่งของพวกเขาไว้เพื่อให้พวกเขามีความแข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับมาริลินได้”ชีอ้าวชวางพูดอย่างเคร่งขรึม
“อืม เข้าใจแล้ว” เฮยหยู่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไรให้เสียเวลาอีก
“แต่คนของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนน่าจะไม่ได้จัดการง่ายถึงเพียงนั้นนะ” ชีอ้าวชวางครุ่นคิดและพูดช้าๆ ศาสนจักรเพรสไบทีเรียนเป็นผู้ปกครองสูงสุดของโลกเทพเจ้ามาโดยตลอด จะจัดการได้ง่ายๆได้อย่างไรเล่า
“หึ! แล้วอย่างไรล่ะ! คอยดูสิข้าจะจัดการพวกเขาเอง!” ทันใดนั้นเสียงที่เต็มไปด้วยความรังเกียจก็ดังเข้ามา
“นายน้อย…” ชีอ้าวชวางเงยหน้าขึ้นและเห็นนายน้อยยืนอยู่ที่ประตู นายน้อยเข้ามาในเขตกั้นที่วางไว้อย่างเงียบๆ และคนที่ยืนอยู่ข้างหลังนางก็คือเฟิงอี้เซวียน ถัดจากเฟิงอี้เซวียนก็คือเหลิ่งหลิงยวิ๋น
“ทุกคนอยู่ที่นี่กันหมดเลย” คามิลล์พูดด้วยรอยยิ้ม “เชิญเข้ามานั่งสิ ได้เวลาหารือกันแล้ว”
“มีอะไรต้องหารือ ก็แค่อัดพวกเขาให้หน้าแหกแต่ให้เหลือลมหายใจไว้ให้ดิ้นรนต่อไปไม่ใช่หรือ”นายน้อยแสยะมุมปากที่ขาวซีด
“ลาเดีย!” เสียงของเฟิงอี้เซวียนเต็มไปด้วยความโกรธ แต่เป็นเสียงที่ต่ำ จากนั้นนายน้อยก็หุบปากเงียบอย่างเชื่อฟังทันที
“เข้าใจแล้ว เจ้าบอกให้ทำอย่างไรก็จะทำตามนั้น” นายน้อยกระซิบ
“เมื่อไหร่เจ้าจะแก้นิสัยเช่นนี้ได้สักที สักวันเจ้าจะได้รับบทเรียนที่ลึกซึ้งแน่ๆ” เฟิงอี้เซวียนกล่าวเสียงเข้มพร้อมทั้งระงับความโกรธในใจของเขา
“ข้าเข้าใจแล้ว!” เสียงของนายน้อยแผ่วลงเรื่อยๆ แล้วสายตาก็เหลือบมองที่คามิลล์ “ขอโทษที่เมื่อครู่ข้าพูดหยาบคาย”
คามิลล์ยังคงยิ้มอ่อนโยนและพยักหน้าเบาๆ เพื่อแสดงว่าเขาไม่ถือสา
สีหน้าของชีอ้าวชวางดูซับซ้อนเล็กน้อย เกรงว่านายน้อยคงจะไม่เคยเจอคู่ต่อสู้มาก่อน ดังนั้นจึงใจกล้าขนาดนี้ นางทั้งหยิ่งยโสและบ้าคลั่งแต่ก็เหมือนที่เฟิงอี้เซวียนบอก นิสัยเช่นนี้ของนายน้อยหากวันหนึ่งได้พบกับความพ่ายแพ้ก็คงจะได้บทเรียนที่ลึกซึ้งเลยทีเดียว นางจะล้มจนลุกขึ้นไม่ได้หรือฮึดสู้ต่อได้ก็ไม่รู้เลย
“เราจะร่วมมือกับเจ้า” เฟิงอี้เซวียนพูดเสียงต่ำ จากนั้นก็กลับหลังหันจะเดินจากไป
ชีอ้าวชวางอ้าปากจะเรียกเฟิงอี้เซวียนแต่นายน้อยมองชีอ้าวชวางอย่างดุร้ายแล้วเอาตัวมาบังสายตาของชีอ้าวชวางไว้ จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป