เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 27
ที่นั่งของแคลร์อยู่ใกล้กับที่นั่งพิเศษเนื่องจากฐานะของนางเอง ส่วนจินเหยียนยืนอยู่ด้านหลังสุดของอัฒจันทร์เช่นเดียวกับผู้ติดตามของขุนนางคนอื่นๆ เหล่าขุนนางเข้ามาเต็มพื้นที่อัฒจันทร์ทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว ในบรรดาผู้คนเหล่านั้นมีทั้งคนที่แคลร์รู้จักและไม่รู้จัก นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้รู้ว่าในเมืองหลวงมีขุนนางมากมายถึงเพียงนี้ มากยิ่งกว่าครั้งที่แล้วที่นางไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดขององค์หญิงที่พระราชวังเสียอีก นั่นก็เพราะไม่ใช่ว่าขุนนางทุกคนจะสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังได้ แต่ว่าการประลองครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะว่าขุนนางในเมืองหลวงทุกคนสามารถเข้ามาชมได้
ตัวแทนจากทั้งสองสถาบันปรากฏตัวขึ้น แน่นอนว่าตัวแทนจากทางโรงเรียนไรซิ่งซันจะขาดราเซียไปไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเด็กสาวที่เปล่งประกายก้าวออกมาก็มีเสียงเชียร์อย่างล้นหลาม เพราะนางคือกุญแจสำคัญสู่ชัยชนะในการประลองครั้งที่แล้ว การประลองในครั้งที่แล้วมีใช้ระบบสองในสาม ทั้งสองโรงเรียนผลัดกันชนะหนึ่งแพ้หนึ่ง คนสุดท้ายที่ออกมาก็คือราเซียและนางสามารถชนะการประลองในครั้งนั้นจนได้รับการชื่นชมจากผู้คนมากมาย
เสียงเชียร์กึกก้องทั่วบริเวณ ดอกไม้ถูกโปรยขึ้นเต็มท้องฟ้าจนแทบจะกลบสนามเลยทีเดียว
“น่าเบื่อจริงๆ ” เสียงหงุดหงิดของวัลโดดังขึ้นในหัวของแคลร์ “คราวนี้คู่ต่อสู้ของไรซิ่งซันไม่ธรรมดาเลยสักนิด”
แคลร์มองนักเรียนของอีกฝ่ายอย่างเย็นชา ท่ามกลางบรรยากาศและเสียงเชียร์เช่นนี้ อีกฝ่ายกลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ใบหน้าของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่ผู้เล่นที่เข้าร่วมการประลองเท่านั้น นักเรียนคนอื่นๆ ก็ดูสงบเช่นกัน คราวนี้เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะเตรียมรับมือไว้แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการพวกเขาได้
ขณะที่แคลร์กำลังคิดอยู่นั้น เสียงทรอมโบนก็ดังขึ้น
จักรพรรดิเสด็จแล้ว!
จักรพรรดิปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนในชุดหรูหราและเป็นทางการ แค่เพียงเขาโบกมือเล็กน้อยก็เรียกเสียงเชียร์ได้ล้นหลาม ฮองเฮาแต่งตัวเรียบร้อยและทำตามจักพรรดิอย่างสง่างาม ด้านหลังจักรพรรดิมีชายชราในชุดคลุมสีขาวที่ดูเคร่งขรึมและสง่าผ่าเผย จู่ๆ ก็มีเสียงคนอุทานขึ้นมา นั่นคือพระสันตปาปา! พระสันตปาปาผู้สูงศักดิ์มาชมการประลองด้วยตัวเองเลย! เป็นไปได้อย่างไร? นี่เป็นแค่งานประลองแลกเปลี่ยนระหว่างนักเรียนเท่านั้น พระสันตะปาปาให้ความสนใจด้วยงั้นหรือ?!
“ว้าว ชายชราไร้ยางอายผู้นั้นยังไม่ตายอีก” น้ำเสียงล้อเลียนและเหยียดหยามของวัลโดดังขึ้นในหัวของแคลร์ เห็นได้ชัดว่าพระสันตะปาปาผู้เป็นที่เคารพนับถือของทุกคน ไม่ได้เป็นเช่นนั้นในสายตาของวัลโด
แคลร์หรี่ตาเล็กน้อย ความคิดที่ไม่ดีเกิดขึ้นในใจนาง ในการประลองของนักเรียนครั้งที่ผ่านๆ มาอย่างมากก็มีแค่พระคาร์ดินัลมา แต่คราวนี้พระสันตปาปากลับมาด้วยตัวเอง ทำไมล่ะ?
คนที่อยู่ถัดจากพระสันตปาปาคืออัครราชฑูตของประเทศลากัค เขาเป็นดยุกท่านหนึ่ง หากมองจากภายนอกดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนเจ้าเนื้อ แต่ดวงตาเล็กๆ ที่ส่องประกายของเขาบอกกับแคลร์ว่าอัครราชฑูตผู้นี้ไม่ได้ธรรมดาเหมือนกับที่เห็นภายนอก!
คนที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์คือ จักรพรรดิ ฮองเฮา พระสันตปาปา ดยุคกอร์ตั้น และปรมาจารย์คลิฟ
หลังจากที่พวกเขานั่งลง เสียงทรอมโบนยาวก็หยุดลงเช่นกัน
ในขณะที่ทุกคนยังวุ่นวายกันอยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงกระพือปีกจากบนท้องฟ้า จากนั้นท้องฟ้าก็มืดลงและมีลมพัดมา
ทันใดนั้นเงาของคนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า พวกเขาสวมเครื่องแต่งกายสีดำทั้งตัว รองเท้าบูทหนังมันวาว พู่สีทองที่อินทรธนูบนบ่าของพวกเขาปลิวไปตามสายลม พวกเขามีกลิ่นอายที่ืทรงพลังและสีหน้าที่ดูจริงจัง ทุกคนต่างให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาขี่มาอย่างมาก สิ่งนั้นมีร่างกายกับกรงเล็บแบบสิงโต แต่มีหัวและปีกแบบนกอินทรี
นี่คือกริฟฟอน!
ทีมกริฟฟอนแห่งอันพาแกรนด์! พวกเขาอยู่ภายใต้อำนาจของจักรพรรดิโดยตรง พวกเขาคือกองกำลังในตำนานที่ทรงพลังมากและจะรับฟังคำสั่งของจักรพรรดิเท่านั้น พวกเขาเป็นกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดของราชวงศ์และเป็นแนวป้องกันสุดท้ายที่มั่นคงมาก ตอนนี้พวกเขามาปรากฏตัวอย่างน่าตกใจท่ามกลางสายตาของทุกคน
ผู้คนด้านล่างส่งเสียงโห่ร้องออกมา สีหน้าของท่านทูตเปลี่ยนไปในทันที เขาแอบเหลือบมองพระสันตปาปาที่นั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าที่เรียบนิ่งของพระสันตะปาปาทำให้เขาโล่งใจเล็กน้อย หลังจากสีหน้าเขากลับมาเป็นปกติ เขาก็มองไปที่นักเรียนประเทศของเขาที่นั่งอยู่ด้านล่างทันที สีหน้าของนักเรียนส่วนใหญ่เปลี่ยนไปและไม่ได้สงบนิ่งแบบก่อนหน้านี้แล้ว เขาเข้าใจดีว่าการปรากฏตัวของกริฟฟอนคือการแสดงให้เห็นถึงอำนาจของจักรพรรดิ ผลการประลองครั้งนี้ช่างยากที่จะคาดเดาจริงๆ
แคลร์มองทีมกริฟฟอนที่ฝึกฝนมาอย่างดีด้วยความสนใจ ใบหน้าของกัปตันทีมค่อนข้างคล้ายกับใบหน้าของแคลร์ เขาคือเอเรค ฮิลล์ พี่ชายของแคลร์ และเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เขาชอบราเซียผู้เป็นอัจฉริยะและมีความประพฤติดี และเกลียดแคลร์ที่บ้าผู้ชาย
กริฟฟอนหายไปจากสายตาท่ามกลางเสียงโห่ร้องของทุกคน เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว จักรพรรดิไม่จำเป็นต้องแสดงความทรงพลังตลอดเวลา
“แคลร์……” ทันใดนั้นเสียงแผ่วเบาก็เรียกแคลร์ให้กลับสู่ความเป็นจริง
แคลร์หันไปมองก็เห็นองค์หญิงแมริสที่กำลังยิ้มให้นาง
“องค์หญิง” แคลร์ยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อย
“ข้าไม่มีเวลาไปหาเจ้าเลย ข้าชอบของขวัญที่เจ้าให้ข้ามากเลยนะ ชอบมากจริงๆ ขอบคุณนะ” องค์หญิงแมริสมีความสุขมาก นางกล่าวขอบคุณอยู่ซ้ำๆ
แคลร์ยิ้ม “องค์หญิงชอบก็ดีเลยเพคะ”
ขณะที่ทั้งสองทักทายกันนั้น สนามก็เดือดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่จักรพรรดิประกาศรางวัลที่ผู้ชนะจะได้รับในครั้งนี้
รางวัลคือแกนเวทย์ระดับเก้า ไม้กายสิทธิ์ และดาบขนาดใหญ่ สิ่งแรกไม่จำเป็นต้องพูด ส่วนไม้กายสิทธิ์เป็นมรดกล้ำค่าที่จอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์คนก่อนหน้าทิ้งเอาไว้ มันสามารถร่ายเวทย์ระดับสูงได้ถึงสามอย่างแม้ไม่ได้อยู่ในสายเดียวกันได้ในทันที ส่วนดาบใหญ่ก็คือดาบไร้เทียมทาน แน่นอนว่าตัวดาบนั้นไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ ความคมกริบนั้นอยู่ในระดับที่หากเส้นผมปลิวไปถูกดาบเข้า ก็จะขาดออกเป็นสองท่อนทันที ดาบนี้สามารถตัดเหล็กได้ราวกับเหล็กนั้นอ่อนนุ่มเหมือนโคลนตม และที่สำคัญที่สุดมันคือดาบวิเศษ! สามารถสร้างความล่าช้าได้! คู่ต่อสู้จะเคลื่อนไหวช้าลงหากถูกดาบนี้โจมตี รางวัลเช่นนี้ช่างล่อตาล่อใจจริงๆ!
แต่แคลร์กลับรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“แคลร์ ไม้กายสิทธิ์นั่นไม่เลวเลยนะ ฮ่าๆ แกนเวทย์ระดับเก้าก็ดี” วัลโดหัวเราะอยู่ในหัวของแคลร์
การประลองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว การตัดสินจะตัดสินด้วยชัยชนะสองครั้งในสามการประลอง
ราเซียยังคงเป็นคนสุดท้ายในสายที่จะต่อสู้กับนักเวทย์ของฝ่ายตรงข้าม สิ่งที่น่าทึ่งคือคู่ต่อสู้ของราเซียเป็นคนเดียวกับที่แพ้ราเซียในครั้งที่แล้ว ชายผู้นั้นนอนอยู่อย่างเกียจคร้านโดยไม่สนใจราเซียแม้แต่เลย เขาคือชายผมสีแดง ใบหน้าหล่อของเขาเต็มไปด้วยความรำคาญ เขากลอกตาฟังคำอธิบายจากอาจารย์ข้างๆ ในขณะที่แคลร์มองปากของอาจารย์ผู้นั้นอย่างตั้งใจ
“เฟิงอี้เซวียน เจ้าฟังอยู่หรือไม่?! ครั้งที่แล้วเจ้ากินไม่เลือกจนท้องร่วงทำให้เราแพ้ ครั้งนี้เจ้าไม่ได้กินอาหารตามอำเภอใจใช่หรือไม่? หือ? หือ? หือ? ” อาจารย์มองศิษย์ที่ทำท่าทางสบาย แล้วร้อนใจแทบแย่ เขาอยากได้คำตอบที่ยืนยันจากเด็กชายผู้นี้
เฟิงอี้เซวียน?! แคลร์ขมวดคิ้ว นี่ก็เป็นนามสกุลที่ดูเหมือนไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว ทำไม?
“วัลโด! ” แคลร์แอบเรียกวัลโด
“อะไรหรือ? ” วัลโดตอบทันที
“เจ้าจำนามสกุลของบุตรแห่งแสงผู้นั้นได้หรือไม่? แล้วก็นักเรียนของฝ่ายตรงข้ามผู้นั้นอีก มีนักเรียนชื่อเฟิงอี้เซวียนด้วย ทำไมนามสกุลของพวกเขาถึงแปลกเช่นนี้ล่ะ? ” แคลร์ถาม
“อ๋อ เจ้าหมายถึงนามสกุลของพวกเขา คนหนึ่งสกุลเหลิ่ง อีกคนหนึ่งสกุลเฟิง นามสกุลของพวกเขาแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ เป็นนามสกุลที่เก่าแก่ที่สุดในแผ่นดินนี้และตำแหน่งค่อนข้างสูงส่ง ทำไมเจ้าถึงไม่รู้เรื่องนี้ล่ะ?” หลังจากที่วัลโดตอบเสร็จ เขาก็งงว่าคุณหนูคนโตของตระกูลฮิลล์จะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน
แคลร์ไม่ได้พูดอะไรอีก ความทรงจำของแคลร์ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยชายรูปงาม เครื่องประดับ และเสื้อผ้า แต่ไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่เลย นามสกุลโบราณจะคล้ายกับนามสกุลตะวันออกได้อย่างไร? แผ่นดินนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ที่ตนเองจากมาหรือไม่นะ?
ความคิดของแคลร์ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเชียร์ ตอนนี้การประลองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ในเกมแรก นักเวทย์ต่อสู้กับนักเวทย์ เกมที่สองคือนักรบกับนักรบ เกมสุดท้ายคือราเซียผู้อัจฉริยะต่อสู้กับเฟิงอี้เซวียนผมแดงผู้นั้น
การต่อสู้ระหว่างผู้เวทย์ยิ่งใหญ่และรุนแรง แต่ก็ช้ามากเช่นกัน เนื่องจากคาถาที่ยืดเยื้อ ยิ่งเป็นคาถาที่ทรงพลังมากก็ยิ่งใช้เวลานาน บนแท่นสูงของการประลองจะมีกำแพงกั้นโดยรอบเอาไว้ เพื่อป้องกันการต่อสู้ของพวกเขาไม่ให้ไปทำร้ายผู้อื่น ที่ร่างกายของนักเรียนจะมีโล่เวทย์สามเหลี่ยมขนาดเล็กช่วยปกป้องส่วนสำคัญอยู่ นี่คือสิ่งที่สร้างขึ้นจากเวทมนตร์ของปรมาจารย์คลิฟ ทั้งสองประเทศไม่อยากให้ความหวังในอนาคตของพวกเขาต้องมาตายที่นี่
บนแท่นสูงมีนักเวทย์สองคน คนหนึ่งคือนักเวทย์ธาตุไฟและอีกคนคือนักเวทย์ธาตุน้ำ พวกเขาสามารถเอาชนะกันได้ ขึ้นอยู่กับการใช้เวทย์ ไหวพริบ และความรวดเร็วของแต่ละบุคคล
นักเรียนจากอันพาแกรนด์คือนักเวทย์ธาตุน้ำ แคลร์มองนักเวทย์ธาตุน้ำที่เสกโล่น้ำสูงเท่าคนสองคนเพื่อปิดกั้นการโจมตีด้วยเปลวไฟของคู่ต่อสู้ ขณะที่ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามกำลังขมวดคิ้ว โล่น้ำก็สั่นและก็เกิดเสียงดังขึ้น น้ำกระเด็นไปทั่วสถานที่ โล่น้ำไม่สามารถปิดกั้นการโจมตีด้วยเปลวไฟที่ทรงพลังได้อย่างทั้งหมด เวลานี้ใบหน้าของนักเวทย์ธาตุน้ำสะท้อนสีแดง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเปลวไฟนั้นเข้าใกล้ใบหน้าของนักเวทย์ธาตุน้ำมากๆ แล้ว
บนแท่นที่นั่งพิเศษ ดวงตาของท่านทูตหรี่ลงจนเป็นเส้นตรง ฝ่ายเราชนะแล้ว
จักรพรรดิยังคงสงบนิ่ง สีหน้าของเขายังคงดูเป็นปกติ ไม่มีการแสดงออกใดๆ ออกมา
“เจ้าโง่นี่” วัลโดพึมพำในหัวของแคลร์ “คิดว่าโล่แตกแล้วเจ้าจะชนะแล้วงั้นหรือ?” วัลโดมองนักเวทย์ธาตุไฟด้วยสีหน้าเยาะเย้ย ในการต่อสู้ทุกครั้ง หากประเมินศัตรูต่ำเกินไป ก็มักจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้เสมอ
ในเวลาต่อมา น้ำที่สาดลงสู่พื้นก็ไหลเคลื่อนที่ไปรอบๆ ราวกับภูติผีและค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังด้านหลังของนักเวทย์ธาตุไฟอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นลูกธนูที่แหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าใส่ด้านหลังของนักเวทย์ธาตุไฟ
สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นชัดเจนอยู่แล้ว
นักเวทย์ธาตุน้ำได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ผมและเสื้อผ้าของเขาไหม้เกรียม ในขณะที่นักเวทย์ธาตุไฟบาดเจ็บสาหัส แต่เพราะเขามีโล่เวทย์การบาดเจ็บจึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
………………………………………………………………………………