เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 273
“เหมียว…เหมียว…” แมวล่าสมบัติที่อยู่บนไหล่ของเหลิ่งหลิงยวิ๋นร้องออกมาพอเหลิ่งหลิงยวิ๋นได้ยินเสียงร้องของแมวล่าสมบัติก็ตกใจเพราะจู่ๆ ก็มีเสียงอีกเสียงปรากฏขึ้นในหัวของเขา
เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองชีอ้าวชวางที่กำลังเสียใจอย่างอึ้งๆและมองเฟิงอี้เซวียนที่สีหน้าซีดเผือดจนเกือบจะโปร่งใสแล้วเงยหน้าขึ้นมองคามิลล์ที่กำลังยิ้มจางๆ อยู่
ทันใดนั้นเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ยิ้มเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นพูดกับคามิลล์อย่างเคร่งขรึม “คามิลล์ ท่านพูดจริงหรือว่าหากอ้าวชวางบาดเจ็บท่านจะช่วยอย่างแน่นอน”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ” คามิลล์ยิ้ม เลิกคิ้วเบาๆ และพูดประโยคนี้ออกมา
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ยอม” เหลิ่งหลิงยวิ๋นก้มหน้าลงพูดอะไรบางอย่างในอากาศเหมือนกำลังพูดกับตัวเองแต่ก็เหมือนพูดอยู่กับใครบางคนด้วย
หลังจากที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดเสร็จแล้วก็ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ แล้วนั่งลงข้างชีอ้าวชวางจากนั้นเขาก็ยิ้มและพูด “อ้าวชวาง ข้าเชื่อใจเจ้า เฟิงอี้เซวียน เจ้าเชื่อใจอ้าวชวางหรือไม่?”
เฟิงอี้เซวียนตะลึงแต่ก็พยักหน้าอย่างยากลำบากเขาเห็นความมุ่งมั่นและความมั่นใจในสายตาของเหลิ่งหลิงยวิ๋น
“ถ้าอย่างนั้นอ้าวชวาง พวกเรารอเจ้า ข้ากับเฟิงอี้เซวียนรอเจ้านะ” หลังจากที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดแบบนี้ เขาก็ค่อยๆ ถอดต่างหูคริสตัลสีม่วงออกจากหูของชีอ้าวชวาง
เวลาต่อมา ชีอ้าวชวางยังไม่ทันจะเข้าใจว่าเหลิ่งหลิงยวิ๋นหมายถึงอะไรเลย นางก็ถูกล้อมด้วยแสงสีม่วง แสงสีม่วงนั้นปกคลุมพวกเขาทั้งสามเอาไว้อย่างแน่นหนา
“เหมียว!” แมวล่าสมบัติกระโดดไปรอบๆ แสงสีม่วงนั้น
ตอนนี้คาร์ดิโอไม่ได้บ้าคลั่งแบบเมื่อครู่แล้ วแต่เขามองไปที่แสงสีม่วงนั้นอย่างตะลึง ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าชีวิตของเฟิงอี้เซวียนหยุดนิ่งนะ
คามิลล์เหลือบมอง จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หยุดนิ่งลงและมองไปที่แสงสีม่วงอย่างครุ่นคิด
“คามิลล์ จำสิ่งที่ท่านพูดไว้ด้วย…” เสียงต่ำของเหลิ่งหลิงยวิ๋นดังมาจากแสงสีม่วงนั้น
“น่าสนใจ ฮ่าๆ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเติมเต็มความปรารถนาให้พวกเจ้าแล้วข้าจะตั้งตารอ” ใบหน้าหล่อของคามิลล์มีรอยยิ้มจางๆ ขึ้นอีกครั้งและดูเหมือนว่ารอยยิ้มในครั้งนี้จะแตกต่างจากก่อนหน้านี้ด้วย
แสงสีม่วงเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ…
คาร์ดิโอมองแสงสีม่วงด้วยความงุนงงแต่เข้าไปแทรกแซงไม่ได้ แรงกดดันที่ชายชุดขาวผู้นั้นปล่อยออกมาแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาสู้ชายคนนั้นไม่ได้แน่นอน! ชายคนนั้นกำลังทำอะไร
คามิลล์ยิ้มเล็กน้อยและสะบัดแขนเสื้อเบาๆ
ครู่ต่อมาแสงสีม่วงก็หายไป…
ที่ตรงนั้นไม่มีอะไรเหลืออยู่เล ยเฟิงอี้เซวียนหายไป ชีอ้าวชวางหายไป และเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็หายไปเช่นกัน…
มีเพียงแมวล่าสมบัติตัวสีขาวราวกับหิมะเท่านั้นที่นั่งอยู่ แมวล่าสมบัติมองขึ้นไปบนฟ้า ร่างของคามิลล์เองก็หายไปเช่นกัน
“เหมียว?” แมวล่าสมบัติมองและพยักหน้า จากนั้นก็ยิ้มด้วยความโล่งอก คาร์ดิโอมองอยู่ ใช่เลย เขาไม่ได้ตาฝาด ใบหน้าของแมวตัวนั้นแสดงออกแบบนั้นจริงๆ!
ยังไม่ทันที่คาร์ดิโอจะตอบสนองอะไร ร่างของแมวล่าสมบัติก็หายไปแล้ว
ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบสงบราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ถ้าไม่ใช่เพราะความโกลาหลที่ยังคงมีอยู่รอบตัวก็ไม่มีใครรู้เลยว่าเมื่อครู่นี้มีการต่อสู้ที่รุนแรงเกิดขึ้น
คาร์ดิโอมองแท่นสูงที่ว่างเปล่าด้วยความงุนงง พวกเขาล่ะ? ทำไมพวกเขาถึงหายไปหมดเลย ลูกชายของเขา ลูกชายที่เขารักและภาคภูมิใจก็ไม่อยู่ที่นี่แล้ว
แต่มีสิ่งหนึ่งที่คาร์ดิโอรู้ดีนั่นก็คือลูกของเขายังไม่ตาย!
แต่ไปไหนแล้วล่ะ
ชายชุดขาวที่น่ากลัวคนนั้นพาพวกเขาทั้งหมดไปที่ไหน
หรือว่าคำสาปนี้จะทำลายได้?
หรือกุญแจสำคัญในการทำลายคำสาปคือมนุษย์ผู้หญิงคนนั้นมันจะเป็นแบบนี้จริงๆหรือหัวใจที่สิ้นหวังไปก่อนหน้านี้ของคาร์ดิโอกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งแล้ว
บางทีมันอาจจะพลิกผันได้จริงๆ!
‘ถ้าอย่างนั้นอ้าวชวางพวกเรารอเจ้าข้ากับเฟิงอี้เซวียนรอเจ้าอยู่’
พวกเรารอเจ้า…
‘น่าสนใจฮ่าๆ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเติมเต็มความปรารถนาให้พวกเจ้าแล้วข้าจะตั้งตารอ’
หมายถึงอะไร? คำพูดเหล่านี้มันหมายความว่าอะไร?
ปวดหัว ปวดมาก ปวดเหลือเกิน…
คำพูดเหล่านี้สะท้อนอยู่ในหัวและชีอ้าวชวางก็ปวดหัวจนจะแย่แล้ว
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
อี้เซวียน! หลิงยวิ๋น! คามิลล์!
พวกเจ้าอยู่ที่ไหน?
ชีอ้าวชวางตื่นและลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วแต่นางกลับเห็นแต่ผ้าม่านเตียงที่สวยงาม
นางหันไปช้าๆ แล้วก็เห็นว่ากำลังอยู่ในห้องที่มีตกแต่งสวยงามห้องหนึ่ง
แต่มันไม่คุ้นเลย…
ที่นี่คือที่ไหน
เฟิงอี้เซวียนกับเหลิ่งหลิงยวิ๋นอยู่ที่ไหน
คามิลล์ล่ะ?
อาเป่าล่ะ?
ทำไมพวกเขาไม่อยู่นี่ที่สักคน?
ชีอ้าวชวางค่อยๆ ลุกขึ้นแต่ร่างกายของนางเจ็บไปหมดจึงลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก แต่แล้วนางก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ความรู้สึกของร่างกายเหมือนจะมีอะไรผิดปกติ…
ชีอ้าวชวางยื่นมือออกมาและก้มลงมอง ดูเหมือนว่ามือจะใหญ่ขึ้น พอก้มลงเส้นผมสีแดงเพลิงก็ร่วงลงมาอย่างแผ่วเบาชีอ้าวชวางค่อยๆ จับเส้นผมอย่างตกใจ
สีนี้ ไม่ใช่สีดำที่นางคุ้นเคยนี่!
ชีอ้าวชวางค่อยๆ เดินไปที่กระจกบานใหญ่ที่มีเพียงบานเดียวในห้อง
พอชีอ้าวชวางเห็นคนในกระจกนางก็ตกใจและยื่นมือออกไป คนในกระจกนั้นก็ยื่นมือออกมาเช่นกัน
ชีอ้าวชวางตัวแข็งทื่อและค่อยๆ หดมือกลับ คนที่อยู่ในกระจกก็หดมือด้วยเช่นกัน
คนที่อยู่ในกระจกมีผมสีแดงเพลิงแต่ผมกลับยาวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ยาวลงไปถึงพื้น มันสวยงามมากที่หูข้างขวามีต่างหูคริสตัลสีม่วงสองอันอยู่! รูปร่างหน้าตาของคนในกระจกนั้นไร้ที่ติ หน้าขาวและดวงตาสีดำที่ชีอ้าวชวางคุ้นเคยจนทำให้นางปวดใจ
เฟิงอี้เซวียน…
ทำไมคนในกระจกคือเฟิงอี้เซวียนล่ะ?!
ชีอ้าวชวางค่อยๆ ก้มหน้าลง ยื่นมือออกมาและมองมือตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ มองลงไป…
ในที่สุดชีอ้าวชวางก็แน่ใจแล้วว่าร่างกายนี้เหมือนเฟิงอี้เซวียนเลย!
ทำไมร่างกายของนางถึงเหมือนเฟิงอี้เซวียนได้ล่ะ???
เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร ในหัวของชีอ้าวชวางมีแต่ความสับสนวุ่นวาย
ชีอ้าวชวางตัวแข็งแล้วยืนอยู่หน้ากระจกด้วยความงุนงง นางมองใบหน้าที่คุ้นเคยแต่ไม่ใช่ใบหน้าของตัวเองในกระจกจากนั้นก็ครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทันใดนั้นก็มีการเคลื่อนไหวที่ประตูประตูถูกผลักให้ค่อยๆ เปิดออกแล้วใบหน้าที่ชีอ้าวชวางเคยเห็นก็ปรากฏขึ้น
โพ่เทียน! บุคคลที่คาดเดาไม่ได้ที่พวกเขาได้พบในตอนที่ไปโลกแห่งความวุ่นวายเป็นครั้งแรกและเขาก็เป็นเจ้านายของอาเป่าด้วย
“เหมียว!” หัวกลมๆ โผล่ออกมาตรงหัวของโพ่เทียนและยื่นอุ้งเท้าออกมาโบกให้ชีอ้าวชวางราวกับจะทักทาย
“อาเป่า…โพ่เทียน…” ชีอ้าวชวางพูดแล้วก็ตกใจ เพราะเสียงนี้เป็นเสียงของเฟิงอี้เซวียนชีอ้าวชวางยื่นมือออกไปแตะที่ลำคอเบาๆ ด้วยสีหน้าแปลกประหลาดไม่มีใครสามารถยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับเรื่องนี้ได้ทันทีหรอก
“เจ้าฟื้นแล้ว” โพ่เทียนยิ้มและเดินเข้าไป “รู้สึกอย่างไรบ้าง”
“เหมียว!” แมวล่าสมบัติร้องออกมาและกระโดดจากหัวของโพ่เทียนไปอยู่บนไหล่ของชีอ้าวชวางแล้วนั่งลง จากนั้นก็คลอเคลียใบหน้าของชีอ้าวชวาง
“สบายดี แต่ว่า…” ชีอ้าวชวางขมวดคิ้ว นางยังคงไม่คุ้นเคยเท่าไหร่ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่? อี้เซวียนกับหลิงยวิ๋นล่ะ? คามิลล์ล่ะ? พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“เหอะๆ ทำไมเจ้าไม่เป็นห่วงตัวเจ้าเองล่ะ” โพ่เทียนหัวเราะออกมา เขานั่งลงบนโซฟาและพูดเรียบๆ แน่นอนว่าเขารู้ว่าที่ชีอ้าวชวางถามว่าเกิดอะไรขึ้นนันหมายถึงอะไรแต่เขาไม่ได้ตอบแล้วถามประโยคนั้นออกมารอยยิ้มจางๆ แทน
“ข้า?” ชีอ้าวชวางตะลึงจากนั้นก็มองผมสีแดงเพลิงบนไหล่แล้วขมวดคิ้ว
“ตอนนี้พวกเขาน่าจะเรียบร้อยดี ไม่มีความกังวลในชีวิตอะไร เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก” โพ่เทียนไม่อ้อมค้อมอีกเพราะแมวล่าสมบัติที่อยู่บนไหล่ของชีอ้าวชวางยกอุ้งเท้าขึ้นมาที่เขาเป็นเชิงขู่ว่าหากไม่รีบอธิบายให้ชีอ้าวชวางฟังจะโดนข่วน
ชีอ้าวชวางที่ตื่นตระหนกยังไม่ทันได้พูดอะไร โพ่เทียนก็รวบทุกอย่างอย่างรวดเร็ว “ตอนนั้นเจ้าของร่างนี้กำลังจะตาย อาเป่าก็เลยใช้วิธีการลับติดต่อกับข้าและขอให้ข้าช่วยเจ้า แต่ถึงจะเป็นข้า ข้าก็ทำให้คนที่กำลังจะตายฟื้นคืนไม่ได้หรอกนะ ชายชุดขาวคนนั้นสามารถช่วยได้ แต่เขาบอกว่าเขาพร้อมจะช่วยแค่เจ้าเท่านั้น ดังนั้น ตอนน้นข้าเลยตกลงกับชายผมสีเงิน เขาอาสาเป็นสื่อกลางให้พวกเจ้าสองคนสลับจิตวิญญาณกันเพื่อบีบบังคับให้ชายชุดขาวได้ลงมือช่วยเหลือ แม้จะไม่ใช่วิธีที่ดีแต่สุดท้ายแล้วกลับมีประโยชน์มากเลย”
หลังจากโพ่เทียนพูดจบ สีหน้าของชีอ้าวชวางก็ซีดมากแล้ว
“แล้วหลิงยวิ๋นล่ะ หลิงยวิ๋นอยู่ที่ไหน หรือว่าเขา… ”ชีอ้าวชวางตกใจมากและก็ยิ่งรู้สึกว้าวุ่นใจหากเป็นไปตามที่โพ่เทียนพูด คามิลล์จะช่วยนางอย่างแน่นอนแต่เหลิ่งหลิงยวิ๋นที่อาสาจะเป็นสื่อกลางล่ะ?!
“ไม่ต้องกังวล ข้าบอกแล้วว่าพวกเขาไม่เป็นไร รวมถึงหลิงยวิ๋นที่เจ้าพูดถึงด้วย” โพ่เทียนยิ้มและพูดปลอบโยน
“ไม่เป็นไร?” สีหน้าของชีอ้าวชวางดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ละ แล้วพวกเขาล่ะ…”
“นี่คือปัญหาที่เจ้าต้องเผชิญในตอนนี้” โพ่เทียนถอนหายใจเบาๆ “ถ้าเจ้าต้องการหาพวกเขาให้พบ เจ้าคงจะต้องพยายามหนักกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้ ร่างกายของเจ้าในตอนนี้น่าจะใช้พลังเวทที่เจ้าคุ้นเคยที่สุดไม่ได้ใช่หรือไม่ พลังยุทธเองก็คงไม่มีเช่นกันใช่หรือไม่” โพ่เทียนมีแววตาแปลกๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือร่างกายนี้เป็นผู้ชาย ชีอ้าวชวางเป็นผู้หญิงสถานการณ์ตอนนี้จึงแปลกมากที่มีวิญญาณของผู้หญิงอยู่ในร่างของผู้ชาย
ชีอ้าวชวางตกใจและสะบัดนิ้วเบาๆ แต่กลับไม่มีลูกไฟเล็กๆ ปรากฏขึ้นเหมือนแต่ก่อนร่างกายรู้สึกว่างเปล่าไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของธาตุไฟเลย พลังยุทธก็ดูเหมือนจะหายไปด้วย!
สีหน้าของชีอ้าวชวางเปลี่ยนไปและเงียบลงทันที