เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 279
“ขอบคุณ” หญิงสาวชุดแดงขอบคุณและพยักหน้าให้ไดทันส์แล้วไปนั่งลงด้านข้าง
เลนนี่เหลือบมองหญิงชุดแดง จากนั้นก็ขมวดคิ้วและไม่พูดอะไรแต่มีความเป็นปรปักษ์จางๆ อยู่ในแววตา
โจนาธานมองท่าทางของเลนนี่แล้วแอบขำผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองถูกอยู่ตลอดเวลาผู้นี้มองว่าผู้หญิงคนอื่นเป็นศัตรูของตัวเองอีกครั้งแล้ว
ชีอ้าวชวางฟังที่ผู้หญิงชุดแดงพูดก็รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงนั้นแตกต่างจากครั้งที่แล้วที่ได้เจอนาง ดูเหมือนจะมีความผันผวนและความรู้สึกมากขึ้นก่อนหน้านี้ที่เจอนางยังเป็นผู้หญิงเอาแต่ใจและบ้าบิ่นอยู่เลย ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว? จะมีเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้ได้อย่างไรกัน? นางไปพบเจออะไรมาชีอ้าวชวางไม่รู้ว่าเฮยหยู่โจมตีผู้หญิงคนนี้ไปอย่างร้ายแรงจนทำให้ร่างของผู้หญิงคนนี้แยกออกเป็นสองท่อน โชคดีที่อาจารย์ของนางช่วยชีวิตไว้ได้ตั้งแต่นั้นมาอารมณ์ของนางก็เปลี่ยนไป และการฝึกฝนอย่างยากลำบากก็ทำให้นางแข็งแกร่งอย่างในตอนนี้จนได้เข้าร่วมการประเมินในที่สุด
หลังจากนั้น โจนาธานก็ยังคงคุยกับชีอ้าวชวางอยู่ เขาบอกว่าคุยกับชีอ้าวชวางก็ดีกว่าพูดอยู่คนเดียวเพราะชีอ้าวชวางมักจะพนักหน้าให้อย่างเงียบๆ และนานๆ ทีก็จะส่งเสียงตอบรับมาบ้าง
หลายวันต่อมาก็มีศิษย์หลายคนก้าวออกมาจากประตูเหล็กพอมองไปรอบๆ ก็มีคนที่ผ่านการประเมินจำนวนไม่น้อยเลยเหล่าศิษย์ของสำนักเทียนต้าวทุกคนเดินออกมาในเช้าวันที่สี่แม้ว่าจะมีสองคนที่บาดเจ็บแต่ก็ผ่านมาได้ทั้งหมดสิ่งนี้เป็นผลมาจากการตัดสินใจของทารีน่าและความสามัคคีของทุกคนนั่นเอง แม้ว่าสำนักเทียนต้าวจะเป็นเพียงสำนักระดับกลางแต่ก็มีชื่อเสียงมากในโลกแห่งนี้ มันต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว
พอทารีน่าเห็นชีอ้าวชวางที่นั่งอยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนางก็ถอนหายใจโล่งอกโดยไม่รู้ตัว
“ชิ คนนั้นมาถึงเร็วกว่าเราอีก” แจ็คลินเองก็เห็นชีอ้าวชวางที่มาถึงก่อนเช่นกันและก็เห็นว่าชีอ้าวชวางไม่ได้รับบาดเจ็บ
“ผ่านกันหมดก็ดีแล้วนี่ รอบต่อไปก็ต้องผ่านเหมือนกัน” ทารีน่าเตือนอย่างเคร่งขรึม
“ครับ ศิษย์พี่” ทุกคนพยักหน้าอย่างจริงจัง แม้แต่แจ็คลินก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึมเช่นกันหากอุปสรรครอบที่สองนี้ไม่ได้เป็นไปตามการเตรียมการของศิษย์พี่ อย่าว่าแต่ทุกคนอาจจะไม่ได้ผ่านกันมาทั้งหมดเลย จะมีชีวิตกันอยู่ทั้งหมดหรือไม่ก็ไม่รู้
ครบกำหนดห้าวันแล้ว มีคนที่มาถึงที่นี่กว่าแปดในสิบแม้ว่าบางคนจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทั้งยังมีบางคนได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ยังไงก็มาถึงที่นี่แล้วตราบใดที่มาถึงที่นี่ภายในเวลาที่กำหนดก็ถือว่าผ่านการประเมิน
“หมดเวลาแล้วขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ผ่านการประเมินรอบที่สองนี้ ต่อไปเราจะเข้าสู่การประเมินรอบที่สามทันที” เมื่อยืนอยู่บนที่สูงเสียงเฉยเมยของไดทันส์ก็ดังพอให้ทุกคนได้ยิน
ทันทีที่คำพูดของไดทันส์จบลงบรรยากาศก็เดือดขึ้นทันที อะไรนะ การประเมินรอบสามจะเริ่มเลยหรือ ไม่เห็นหรือว่ามีตั้งหลายคนที่ยังไม่ได้พักฟื้นเลย รอบที่สองมันอันตรายมากไม่ให้เวลาพวกเขาพักฟื้นแล้วจะเริ่มประเมินรอบที่สามทันทีเลยเนี่ยนะ! ผู้ที่มาถึงก่อนหน้านี้ก็ไม่เป็นไรหรอกแต่บางคนที่เพิ่งมาถึงเมื่อครู่นี้ยังคงบาดเจ็บอยู่เลย บางคนก็บาดเจ็บรุนแรงตามร่างกายด้วยการตัดสินใจของไดทันส์ครั้งนี้ทำให้เหล่าศิษย์หลายคนไม่พอใจ
“ผู้ที่ไม่ต้องการเข้าร่วมสามารถออกไปได้ทันที” น้ำเสียงของไดทันส์ยังคงเย็นชาเช่นเดิมแต่ทุกคนที่ได้ยินโดยทั่วกันกลับรู้สึกหนาวเย็นแล่นจากหัวไปจนถึงฝ่าเท้าคำพูดนี้เด็ดขาดมากจริงๆ
“ถ้าเช่นนั้นก็เข้ารับการประเมินรอบที่สามกันเลย”มีคนตะโกนเสียงดังขึ้นมา หากถูกชายชุดขาวดูถูกก็คงจะอายแย่เลย พอมีเสียงหนึ่งพูดขึ้นเสียงคนอื่นๆ ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
“การประเมินรอบที่สามก็คือการเดินขึ้นบันไดนี้ หากในตอนสุดท้ายสามารถขึ้นไปถึงประตูสถาบันได้ก็จะผ่านการประเมิน”ไดทันส์พูดถึงการประเมินนี้อย่างเฉยเมย
อะไรนะแค่ขึ้นบันไดนี้ไปถึงประตูสถาบันก็ผ่านเลยหรือทุกคนมองหน้ากัน กลัวว่ามันจะไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิระหว่างทางต้องมีอันตรายอะไรแน่ๆ!
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวลจะไม่มีสิ่งมีชีวิตที่อันตรายเหมือนพวกที่อยู่ในการประเมินรอบสองมาโจมตีพวกเจ้าหรอก เรามาเริ่มกันเลยเถอะ”โจนาธานพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร
เลนนี่ส่งเสียงอย่างดูถูกเหยียดหยามแต่ไม่ได้พูดอะไร
ทุกคนต่างสงสัยและมองหน้ากัน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร
ทันใดนั้นเสียงตะโกนอย่างร้อนใจก็ดังมาจากประตูเหล็กหนา “เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน…”
ทุกคนมองกลับไปก็เห็นศิษย์คนหนึ่งวิ่งมาที่นี่ด้านหลังเองก็มีคนกลุ่มหนึ่งตามมาอยู่ไกลๆ
“การประเมินสิ้นสุดลงแล้ว” พอไดทันส์เห็นคนเหล่านั้นวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาก็โบกมือเบาๆ ด้วยสีหน้าเย็นชาและสร้างเขตกั้นขนาดใหญ่ขึ้นด้านหลังผู้ที่ผ่านการประเมินรอบที่สองเพื่อให้กั้นศิษย์ที่ผ่านการประเมินออกจากประตูเหล็กนั้น
จากนั้นศิษย์ที่มาช้าเหล่านั้นก็วิ่งออกมาจากประตูเหล็กแต่พวกเขาทั้งหมดก็ชนเข้ากับเขตกั้น มีหลายคนที่เคาะเขตกั้นอย่างสิ้นหวังและร้องขอความเมตตา “ท่านผู้ประสานงาน โปรดอนุโลมด้วย ข้ามาช้าไปห้านาทีเอง”
“โปรดอนุโลมด้วย ข้ามาช้าไปสามนาทีเท่านั้นเอง…”
เสียงร่ำร้องและเสียงเคาะเขตกั้นดังปนกันไปหมด ใบหน้าของผู้มาช้าเหล่านั้นเต็มไปด้วยความวิงวอนและคาดหวัง
“สายไปแล้ว” ไดทันส์บอกอย่างเย็นชาโดยไม่พูดอะไรอีกจากนั้นเขาก็หันหลังเดินตรงไปในทันที
“การประเมินรอบที่สามได้เริ่มขึ้นแล้ว” โจนาธานบอกทุกคนด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนลังเลและต่างมองหน้ากัน หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนส่งเสียงประหลาดออกมา แล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดไปราวกับจะโบยบิน พอมีคนเริ่ม คนอื่นๆ ก็ตามกันไป แต่ชีอ้าวชวางกลับดูสงบนิ่งขณะเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
“เมื่อวาน วันนี้ พรุ่งนี้ อะไรจริงและอะไรเท็จ?” ขณะที่ชีอ้าวชวางกำลังจะก้าวไปข้างหน้าเสียงของโจนาธานก็ดังขึ้นชีอ้าวชวางหันไปมองโจนาธานอย่างประหลาดใจแต่พอเห็นหน้าโจนาธาน นางก็ยักไหล่และเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ชีอ้าวชวางเหลือบมองและครุ่นคิด จากนั้นก็เดินไปพร้อมกับทุกคน
ในตอนแรกทุกคนก็ดูระมัดระวังกันดีแต่ระหว่างทางสงบมากและไม่มีอุปสวรรคเลยบางคนจึงเริ่มได้ใจและเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า
ชีอ้าวชวางเดินช้าๆ แต่กำลังคิดถึงรหัสลับของโจนาธานที่ส่งมาให้นางเมื่อครู่นี้อยู่ ทำไมจู่ๆ โจนาธานถึงพูดประโยคที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ขึ้นมาล่ะ? เป็นไปไม่ได้ที่จะพูดโดยไม่มีเหตุผลแต่ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่
ไม่ไกลจากชีอ้าวชวางมีดวงตาคู่หนึ่งที่มองมาที่ร่างของชีอ้าวชวาง ดวงตานั้นก็คือดวงตาของทารีน่านั่นเอ งทารีน่าเดินตามคนอื่นๆ ไปอย่างช้าๆ แต่ก็คิดเช่นกันว่าเส้นทางนี้คงจะไม่ได้ง่ายขนาดนี้ พอเห็นชีอ้าวชวางก้าวอย่างไม่เร่งรีบเช่นนั้น ทารีน่าก็รู้สึกว้าวุ่นใจเล็กน้อย ชายคนนี้มีบรรยากาศของความเศร้าจางๆ ที่ทำให้คนเห็นรู้สึกทุกข์ใจและสนใจอยู่ นางไม่อยากให้เกิดเหตุอันใดขึ้นกับเขาระหว่างการประเมินเลย
ทารีน่าเร่งฝีเท้านำทุกคนและตามเข้าไปใกล้กับชีอ้าวชวางมากขึ้น
แต่ทันใดนั้นรูม่านตาของทารีน่าก็ขยายออกอย่างกะทันหันนางเห็นภาพที่น่าทึ่ง ร่างของชีอ้าวชวางผู้เป็นร่างหนุ่มผมแดงกำลังค่อยๆ หายไป จากนั้นก็หายไปในอากาศที่เบาบางนั้น
ทารีน่าตกใจรีบเดินไปข้างหน้าและมองอย่างระมัดระวัง ไม่มีร่างของผู้ชายคนนั้นจริงๆ!
“แจ็คลิน…” ทารีน่ามองกลับไปและอยากถามทุกคนว่าพวกเขาเห็นเรื่องแปลกนี้ด้วยหรือไม่
แต่เมื่อนางหันไป นางก็ตกตะลึงอย่างมาก
ไม่มีใครอยู่ข้างหลังเลยตอนนี้พวกศิษย์น้องก็หายตัวไปอย่างประหลาดเช่นเดียวกับผู้ชายผมแดงคนนั้น
จากนั้นข้างหน้าของนางก็ปรากฏภาพที่คุ้นเคยที่สุดขึ้น…
ตอนนี้ชีอ้าวชวางก็ตกตะลึง นางยืนอยู่ด้วยความงุนงงและมองภาพตรงหน้าโดยไม่ขยับไปไหนแต่กลับมีน้ำตาร่วงพรูออกมาจากดวงตา
“เจ้ามาแล้ว” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นพูดขึ้น
ใบหน้าของคามิลล์พร้อมรอยยิ้มที่สง่างามปรากฏต่อหน้าชีอ้าวชวาง
ด้านหลังของเขาคือกำแพงคริสตัลโปร่งใสและคนที่สงบนิ่งอยู่ในกำแพงคริสตัลนั้นก็คุ้นเคยมากพอที่จะทำให้นางใจสั่นผมสีดำและดวงตาที่ปิดสนิท คนนั้นก็คือร่างของชีอ้าวชวางนั่นเอง
“เจ้ามาเร็วมากจริงๆ ข้าคิดไม่ถึงเลย” คามิลล์ยิ้มอย่างนุ่มนวลและเดินมายืนอยู่ตรงหน้าชีอ้าวชวาง
ชีอ้าวชวางมองคนในกำแพงคริสตัลที่ดูเหมือนไม่มีชีวิตแต่กลับยังมีชีวิตอยู่แล้วอ้าปากตัวสั่นแต่พูดอะไรไม่ออกเลย
“อย่ากังวลเลย เขายังไม่ตาย เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ยังไม่ตาย พวกเขากำลังรอเจ้าอยู่” คามิลล์ยิ้มและพูดเบาๆ
“คา…มิลล์…” ชีอ้าวชวางละสายตาไปมองรอยยิ้มที่คุ้นเคยบนใบหน้าของคนตรงหน้าและเรียกชื่อเขา
“อืม ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมา” คามิลล์ยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะรักษาสัญญา ข้าจะช่วยชีวิตพวกเขา”
ชีอ้าวชวางมองคามิลล์และไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ดวงตากลับพร่ามัวและมีประกายบางอย่างวูบวาบเข้าตา
“ฮ่าๆ เสี่ยวอ้าวชวาง…” คามิลล์ยื่นมือออกไปกำลังจะลูบหัวของชีอ้าวชวางเบาๆอย่างเคยชิน
“เพียะ…” ชีอ้าวชวางก้มหัวลงแล้วเอื้อมมือไปตีมือที่คามิลล์กำลังยื่นออกมา
“เสี่ยวอ้าวชวาง เจ้ายังโกรธข้าอยู่อีกหรือ จะตำหนิที่ข้าไม่ช่วยเฟิงอี้เซวียนตั้งแต่แรกหรือ” คามิลล์ลูบหลังมือและพูด
ชีอ้าวชวางก้มหน้าลงทำเหมือนไม่ได้ยิน จากนั้นก็ค่อยๆ เดินผ่านคามิลล์ไป
“เสี่ยวอ้าวชวาง เอาน่า อย่าโกรธข้าเลย นี่ข้าก็แลกเปลี่ยนกับพวกเจ้าไง เหลิ่งหลิงยวิ๋นนั่นข้าก็จัดการให้เจ้าแล้ว เดี๋ยวเราค่อยไปหาที่ที่ไม่มีคนอยู่ด้วยกัน…” คามิลล์หันไปรอบๆ และยื่นมือออกไปเพื่อจะจับชีอ้าวชวาง จากนั้นมือของเขาก็โปร่งใสทันทีที่สัมผัสแขนของชีอ้าวชวาง แล้วก็หายไปอย่างช้าๆ