เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 328
ลมหยุดลงแล้ว และดอกไม้ก็ร่วงหล่นลง
ชีอ้าวชวางลดมือลงและลืมตาขึ้น แล้วก็ได้เห็นชายชุดดำยืนหันหลังให้อยู่เงียบๆ ตรงหน้า
ชายคนนั้นไม่ได้หันมา แต่พูดเรียบๆ “เจ้ามาแล้ว” นี่ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นน้ำเสียงยืนยันที่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าชีอ้าวชวางจะต้องมาแน่นอน
“เจ้าเป็นใคร?” ชีอ้าวชวางเอ่ยถาม
“ที่ตัวเจ้ามีกลิ่นของนางอยู่ นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าเข้ามาในนี้ได้” ชายชุดดำไม่ตอบคำถามของชีอ้าวชวางแต่พูดอะไรบางอย่างที่ชีอ้าวชวางไม่เข้าใจ
“กลิ่นของนาง…” ชีอ้าวชวางทวนคำพูดของชายชุดดำพร้อมทั้งคาดเดาในใจไปด้วยว่านางที่พูดถึงคือใคร
“แต่ทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แล้ว” ชายชุดดำถอนหายใจดูเสียดาย หลังจากพูดแบบนี้จบ เขาก็ค่อยๆ หันกลับมา เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตร
ชีอ้าวชวางมองคนตรงหน้า แต่ก็ยิ่งงุนงง เขาคือใคร? กำลังพูดถึงอะไรกันแน่? ทันใดนั้น ชีอ้าวชวาง ก็รู้สึกผิดปกติในร่างกาย ฉางคง! ในเวลานี้ฉางคงที่กำลังหลับใหลกำลังมีปฏิกิริยา ดูเหมือนเขาจะตัวสั่นคล้ายหวาดกลัว
“โอ้ เจ้าตัวเล็กนี่ก็ชอบเจ้า มันจะตามเธอไปหรือเปล่า” ชายชุดดำยิ้มจางๆ แล้วก็ทำอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็เอื้อมมือออกมาคว้าเบาๆ ชีอ้าวชวางรู้สึกว่าร่างกายว่างเปล่าไป พอเงยหน้ามองไปก็ได้เห็นว่าฉางคงถูกชายชุดดำจับไปง่ายๆ และฉางคงก็กำลังตัวสั่นด้วย
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” ชีอ้าวชวางรู้สึกถึงสัญญาณเตือนบางอย่าง
“ข้าหรือ ฮ่าๆ ข้าชื่อจิงเฟิง” ชายชุดดำมองชีอ้าวชวางพร้อมยิ้มและพูด “ข้าเป็นญาติของอาเป่า ดังนั้นข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าและเจ้าตัวเล็กของเจ้า ไม่ต้องกังวลไป”
จิงเฟิงยิ้มน้อยๆ และโยนฉางคงที่ตัวสั่นในมือของเขาไปให้ชีอ้าวชวางเบาๆ ชีอ้าวชวางรีบเอื้อมมือออกไปรับไว้ทันที เพราะนางดูออกว่าฉางคงตกใจมาก ถ้านางไม่เอื้อมมือไปรับไว้ ฉางคงคงจะตกลงพื้นอย่างแน่นอน
หลังจากที่ฉางคงกลับมาอยู่กับชีอ้าวชวางแล้ว เขาก็ได้สติและเข้าไปในร่างกายของชีอ้าวชวางทันที
“ญาติของอาเป่า?” ชีอ้าวชวางมองชายชุดดำที่ยิ้มจางๆ และก็นึกได้ว่านางเคยเป็นร่างเดียวกับอาเป่ามาก่อน เป็นธรรมดาที่จะบอกว่ามีกลิ่นของอาเป่าอยู่ เพราะอาเป่าอยู่กับนางมานาน และอยู่ในร่างของนางมาระยะหนึ่งแล้ว
“ใช่ ข้าเป็นญาติคนเดียวของอาเป่า” จิงเฟิงพูดถึงตรงนี้รอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“เจ้า…” ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วมองจิงเฟิงที่อยู่ตรงหน้า สัญชาตญาณบอกกับนางว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดา เพราะนางไม่รู้สึกถึงร่องรอยของลมหายใจบนร่างกายเขา จึงไม่รู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นสักนิด คนที่อยู่ข้างหน้าดูเหมือนสงบมาก รู้สึกว่าตัวเขาหลอมรวมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบๆ ไปแล้ว มันเหมือนกับว่าโลกนี้คือเขา และเขาก็คือโลกนี้
เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก
“ชีอ้าวชวาง เจ้าพร้อมที่จะเผชิญกับโชคชะตาของเจ้าหรือไม่?” จิงเฟิงมองชีอ้าวชวางที่ยังคงสงสัยอยู่และถามอย่างแผ่วเบา
“อะไรนะ?” ชีอ้าวชวางแปลกใจยิ่งกว่าเดิม ทำไมคนตรงหน้าดูเหมือนรู้อะไรมากมาย?
“เส้นทางแห่งโชคชะตาที่เต็มไปด้วยขวากหนาม…” จิงเฟิงถอนหายใจเล็กน้อย “เจ้าเคยคิดจะถอยหรือไม่?”
“ไม่เคย ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคย ตอนนี้ก็ไม่ แม้แต่ในอนาคตก็ไม่มีทาง!” ชีอ้าวชวางส่ายหัวอย่างหนักแน่นและพูดอย่างจริงจัง “ข้าจะไปต่อเสมอ และจะไม่มีใครหยุดข้าได้”
“เหอะๆ ข้าก็คิดอย่างนั้น ดังนั้นคนคนนั้นจะรออย่างแน่วแน่อย่างนั้นหรือ?” จิงเฟิงหลุบตาลงและพึมพำ เหมือนเขากำลังพูดเรื่องนี้กับชีอ้าวชวาง และก็ดูเหมือนว่าเขากำลังพูดกับตัวเองด้วย
“เจ้ารู้อะไร?” ชีอ้าวชวางกังวลใจ นางรู้สึกอยู่ตลอดว่าชายตรงหน้าดูเหมือนจะรู้อะไรมากกว่าที่คิด ทำไมเขาถึงรู้ว่ามีคนรอนางอยู่ล่ะ? ชีอ้าวชวางจึงถาม “เจ้าเป็นใคร? เป็นใครกันแน่?”
“ข้าหรือ? ข้าปกป้องการมีอยู่ของพื้นที่แห่งนี้” จิงเฟิงยิ้มจางๆ และมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วพูดเบาๆ “ตลอดไป…”
ชีอ้าวชวางตะลึงและมองคนตรงหน้าแล้วนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ทำไมถึงสัมผัสได้ถึงความเศร้าในแววตาของคนผู้นี้นะ? มันเป็นทั้งความเหงาและเศร้าสร้อย
“แต่การปรากฏตัวของเจ้าอาจจะทำลายสิ่งเดิมๆ ไป” ความเศร้าในแววตาของจิงเฟิงหายวับไป และเขาก้มลงมองชีอ้าวชวางและพูดเบาๆ
“มีอะไรอยู่ในที่แห่งนั้นหรือ? มิติสูญสลายนั่น หลังจากเข้าไปมันจะเป็นแผนร้ายที่ไม่อาจรู้ได้จริงๆ หรือ?” เป็นครั้งแรกชีอ้าวชวางจี้ถามใครอย่างกระตือรือร้น
“เจ้าเข้าไปดูเองก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ?” จิงเฟิงไม่ตอบออกมาตรงๆ แต่พูดแบบนี้พร้อมกับรอยยิ้ม
ชีอ้าวชวางแค่อยากจะถามคำถามต่อ แต่จิงเฟิงพูดขึ้นก่อน “คนที่เจ้าจะไปหายังคงรอเจ้าอยู่ รีบเข้านะ…มิฉะนั้น แม้แต่คนคนนั้นก็คงป้องกันตัวเองไม่ได้…”
เมื่อพูดจบ สายลมก็พัดมาจนชีอ้าวชวางแทบจะยืนไม่ไหว
“อะไรนะ? เจ้าหมายถึงอะไร? คนคนนั้นป้องกันตัวเองไม่ได้หรือ? คนคนนั้นคือคามิลล์หรือ? ใช่หรือไม่…” ชีอ้าวชวางตะโกนใส่สายลมด้วยความกังวลในใจ คนตรงหน้ารู้อะไรบางอย่างมาอย่างแน่นอน แต่ทำไมเขาถึงไม่อธิบายล่ะ เอาแต่พูดบางอย่างพิลึกพิลั่นอยู่ได้! พอสายลมหยุดลงก็ไม่มีร่างนั้นอยู่ตรงหน้าอีกต่อไปแล้ว
แม้ยังมีดอกไม้หอมที่เต็มไปด้วยความสดใสอยู่รอบๆ แต่กลับไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย ราวกับว่าการปรากฏตัวของจิงเฟิงเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
คนที่เจ้าหายังรอเจ้าอยู่
รีบเข้านะ…
มิฉะนั้น แม้แต่คนคนนั้นก็คงป้องกันตัวเองไม่ได้…
คนคนนั้นคือคามิลล์หรือ? คามิลล์ใช่หรือไม่?
คามิลล์ป้องกันตัวเองไม่ได้หรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร? เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เกิดอะไรขึ้นกับคามิลล์นะ?
ทันใดนั้นหัวใจของชีอ้าวชวางก็เต็มไปด้วยความร้อนรน ต้องทำให้ได้ให้เร็วที่สุด ต้องไปที่นั่นให้ได้! คำพูดของเหลิ่งหลิงยวิ๋นยังคงชัดเจนอยู่เลย เราจะรอเจ้า!
ชีอ้าวชวางหายใจเข้าลึกๆ และพยายามสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็ค่อยๆ นั่งลงตรงนั้นและเริ่มจัดระเบียบความคิด จากการกระทำของสถาบันดวงดาวมาจนถึงการขัดขวางจากชายลึกลับชุดขาว ตลอดจนคำพูดที่มีความลึกซึ้งของจิงเฟิง…
ความคิดค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ดูเหมือนจะมีจุดสำคัญที่ไม่เข้าใจอยู่
มันคืออะไรกันนะ?
ชีอ้าวชวางนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ และลืมทุกสิ่งรอบตัวไป
เวลา มิติ ในเวลานี้ดูเหมือนจะไม่มีอยู่เลย
นางค่อยๆ เข้าสู่เขตมหัศจรรย์ที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งตัวเอง
แต่สิ่งที่นางมองไม่เห็นก็คือรอบตัวนางมีลมพัดเบาๆ อยู่เสมอ แล้วสุดท้ายก็ค่อยๆ เข้าไปในร่างของนางและหายไป
พอชีอ้าวชวางตื่นขึ้นอีกครั้งก็มีดวงอาทิตย์ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้า ชีอ้าวชวางยืนขึ้นช้าๆ มองบริเวณโดยรอบที่ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงไป นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังส่วนลึกของหุบเขาและไม่ได้คิดที่จะเข้าไปอีก จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป
เมื่อเดินไปถึงที่ปากหุบก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าโจนาธานกำลังงีบหลับอยู่ด้วยท่าทางเหนื่อยล้า
“โจนาธาน ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ล่ะ?” ชีอ้าวชวางถามอย่างประหลาดใจ
“หือ?” โจนาธานตื่นจากความฝันและลุกขึ้นทันที “อ้าวชวาง ในที่สุดเจ้าก็ออกมาแล้ว”
“อะไรนะ?” ชีอ้าวชวางยังคงสับสนอยู่ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่? มาหาข้ามีอะไรหรือ? นี่รอมานานแค่ไหนแล้ว? ทำไมไม่เข้าไปหาข้าล่ะ?”
คำพูดของชีอ้าวชวางทำให้โจนาธานตะลึง เขาทำได้แค่เกาหัวและพูด “อ้าวชวาง เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าหลังจากที่เจ้าออกมาจากสำนักเทียนต้าว เจ้าก็เอาแต่ตรงเดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัวว่าข้ากำลังตามมา จนกระทั่งมาถึงที่นี่ ที่นี่มันมีเขตกั้นอยู่แล้วเจ้าก็เดินเข้าไปได้ง่ายๆ แต่ข้าทำอย่างไรก็เข้าไปไม่ได้ ข้าก็เลยทำได้แค่รอเจ้าอยู่ตรงนี้ นี่มันผ่านมาครึ่งเดือนแล้วนะ ในที่สุดเจ้าก็ออกมาแล้ว”
“อะไรนะ! ครึ่งเดือน?” ชีอ้าวชวางตกใจมาก นางรู้สึกเหมือนนั่งอยู่หนึ่งคืนเท่านั้นเอง มันจะเป็นครึ่งเดือนได้อย่างไร?
“ใช่สิ ไม่อย่างนั้นคิดดูสิว่าข้าจะเหนื่อยล้าขนาดนี้หรือ ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ แต่ข้าเข้าไปไม่ได้ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? เกิดอะไรขึ้นข้างในนั้น?” โจนาธานมองขึ้นลงสำรวจชีอ้าวชวาง แต่ยิ่งมองก็ยิ่งประหลาดใจ ชีอ้าวชวางดูเหมือนจะแตกต่างไปนะ แต่แตกต่างที่ตรงไหนล่ะ?
“ข้าสบายดี” ชีอ้าวชวางยิ้มและมองดูโจนาธานที่เหนื่อยล้า จากนั้นก็ยื่นมือไปตบไหล่เขาพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณนะ”
“อ้าวชวาง ดูเหมือนเจ้าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยนะ” โจนาธานขมวดคิ้วมองชีอ้าวชวาง จากนั้นก็ลูบคางตัวเองและจ้องชีอ้าวชวาง
“ไปกันเถอะ พวกเรากลับกัน ข้าคิดว่าเรื่องราวสมควรจะต้องได้รับการแก้ไขแล้ว” ชีอ้าวชวางยิ้มและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่แววตานั้นแน่วแน่มาก
“อ้าวชวาง…” โจนาธานสับสนเล็กน้อย แต่เขารู้สึกว่าอารมณ์ของชีอ้าวชวางดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา
“โจนาธาน การได้รู้จักเจ้าก็เป็นเรื่องที่ดีนะ” ชีอ้าวชวางหัวเราะและบินขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่รอให้โจนาธานได้ตั้งสติ จากนั้นก็บินตรงไปยังทิศทางของสถาบันดวงดาว
โจนาธานมองแผ่นหลังของชีอ้าวชวางอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะกลับมาตั้งตัวได้ จากนั้นก็ยิ้มแล้วตามไป
ตอนที่ชีอ้าวชวางกลับไปที่บันไดหินยาวของสถาบันดวงดาวก็ตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพตรงหน้า มีคนสองคนนั่งนิ่งอยู่บนบันไดหินคนละข้าง พาริน่าอยู่ทางซ้าย ทารีน่าอยู่ทางขวา ทั้งคู่อยู่ในท่าทางที่ไม่ดีอย่างมาก สองมือเท้าคางและนั่งสัปหงกอยู่
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ชีอ้าวชวางมองทั้งสองคนอย่างสงสัย
โจนาธานก็ร่อนลงมาในเวลานี้เช่นกัน เขาเหล่มองและหาวเสียงดัง “ข้าเหนื่อย ง่วงมากด้วย วันนี้จะนอนให้เต็มที่ไปเลย ข้าจะนอนสามวันสามคืนรวด!”
ทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนบันไดหินถูกเสียงของโจนาธานปลุกจนตื่นขึ้นมา ทั้งคู่เงยหน้ามองอย่างประหลาดใจแล้วก็ได้เห็นคนที่พวกนางรอคอย