เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 39
ลมพายุพัดอย่างบ้าคลั่งจนท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง
บรรยากาศที่เคร่งขรึมสร้างความลำบากใจขึ้น
ดยุกกอร์ตั้นตะลึงอยู่ด้านข้าง เขาไม่คาดคิดว่าแคลร์จะพูดเช่นนี้ ตอนนี้เขาควรทำอย่างไรดี? อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่ตระกูลฮิลล์จะไปมีเรื่องด้วยได้เลย
ในขณะนี้อูมาริรู้สึกตื้นตันจนไม่สามารถพูดออกมาได้ เขามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า ลำคอของเขาสะอึกเล็กน้อย ตาของเขารู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ราวกับว่าของเหลวบางอย่างกำลังจะไหลทะลักออกมา
คลิฟหน้าแดงยิ่งขึ้น ร่างกายของเขาสั่นเทา ริมฝีปากของเขาอ้าออก เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เขาไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำเลย
แคลร์พูดคำเหล่านั้นเพื่อปกป้องนักเวทย์ที่น่าอับอายผู้นี้!
จะไล่ล่าไปทั้งชีวิต! จะไม่ปล่อยไป!
บรรยากาศเยือกเย็นจนถึงขีดสุด ดยุกกอร์ตั้นสูดหายใจ ครั้งนี้คงจะจบสิ้นแล้วจริงๆ คนอย่างปรมาจารย์คลิฟเคยถูกคุกคามแบบนี้เมื่อไหร่กัน?
ฟันของวัลโดสั่นกระทบกัน ในใจของเขารู้สึกถึงความอันตราย แคลร์ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว แต่เขายังอยากมีชีวิตอยู่ เขายังต้องการที่จะฟื้นฟูร่างกายเพื่อวันนี้จะได้สัมผัสกับแสงแดดอีกครั้ง! นางพูดเช่นนี้กับชายชราในตำนวนที่ตอนนี้กำลังลอยอยู่ในอากาศได้อย่างไร นางไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหรือไร?
แคลร์มองคลิฟที่ลอยอยู่ในอากาศ คลิฟก็มองแคลร์
บรรยากาศตอนนี้มันช่างอึดอัดมาก
ดยุกกอร์ตั้นปาดเหงื่อ
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าที่สงบของอูมาริ เขาได้ตัดสินใจในใจของเขาแล้ว ในชีวิตนี้เขาได้มีศิษย์อย่างแคลร์ก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องเสียใจแล้ว
อูมาริกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แคลร์มองคลิฟแล้วพูดเรียบๆ
“และด้วยหลักการเดียวกัน ท่านอาจารย์คลิฟ ไม่มีใครจะมาแทนที่ท่านในใจข้าได้ หากมีใครจะมาทำร้ายท่าน ข้าก็จะพยายามปกป้องท่านอย่างเต็มที่ ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้คนที่ทำร้ายท่านหลุดรอดไปได้ ข้าสาบานว่าข้าจะไม่มีวันปล่อยพวกเขาไปเช่นกัน” เสียงที่นุ่มนวลแต่หนักแน่นของแคลร์ดังก้องในใจของคลิฟ
บริเวณรอบๆ มีแต่ความเงียบงัน ราวกับจะสามารถได้ยินเสียงหายใจของทุกคน
ทันใดนั้นคลิฟก็ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆ เขานั่งลงที่พื้นเตะขาและส่งเสียง “ทำไมข้าถึงเป็นอาจารย์ที่สอง ทำไมข้าต้องเป็นอาจารย์ที่สอง ข้าอยากเป็นอาจารย์ที่หนึ่ง อยากเป็นอาจารย์ที่หนึ่ง……”
น่าอายมาก ทุกคนรู้สึกอายไปหมด
ดยุกกอร์ตั้นรู้สึกสับสน นี่คือจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน แต่ทำไมเขาทำตัวราวกับเด็กๆ ไปได้ล่ะ
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของแคลร์ ที่คนบอกกันว่ายิ่งแก่ก็ยิ่งเด็กคือเรื่องจริงมากๆ มีหลายครั้งเลยที่คลิฟทำตัวเหมือนเด็ก แต่ไม่ว่ายังไงเรื่องนี้ก็ผ่านพ้นไปได้ในที่สุด
“เจ้า! ” คลิฟเงยหน้าขึ้นมองอูมาริแล้วตะคอกโกรธเคือง “ข้าจะเป็นอาจารย์ที่หนึ่ง เจ้าไปเป็นอาจารย์ที่สองซะ ถ้าเจ้าตกลงข้าจะชดใช้เรื่องห้องทดลองให้เจ้า แล้วข้าก็จะให้วัตถุเวทย์ รวมถึงจะสอนคาถาให้เจ้าด้วย ตกลงสิ! เจ้าต้องตกลง! ตกลงตามนี้นะ! “
“ไม่ได้ อาจารย์ที่หนึ่งก็คืออาจารย์ที่หนึ่ง” แคลร์ปฏิเสธ
“แคลร์ ไม่เป็นไรหรอก อาจารย์ที่หนึ่งหรือที่สองแล้วยังไงล่ะ? ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าดี ให้อาจารย์คลิฟเป็นอาจารย์ที่หนึ่งของเจ้าไปเถอะ ข้าไม่สามารถอยู่สอนเจ้าได้ตลอด ข้ายังต้องช่วยเหลืองานของท่านดยุกด้วย ปรมาจารย์คลิฟไม่ได้มีภาระอะไร เขาสามารถติดตามสอนสิ่งที่ดีที่สุดแก่เจ้าได้ แค่เจ้ามีข้าอยู่ในใจ ข้าก็มีความสุขมากกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว”เสียงของอูมาริดังมาจากด้านหลังแคลร์
แคลร์หันหน้าไปด้วยความประหลาดใจ แต่ก็เห็นว่าใบหน้าของอูมาริเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
“ข้ามีศิษย์เช่นเจ้า ข้าก็สามารถตายได้โดยไม่เสียใจแล้วล่ะ” ดวงตาของอูมาริพร่ามัวเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดว่าตนเองจะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นอาจารย์ของแคลร์เลย แต่แคลร์ก็มักจะให้ความสำคัญกับเขาเป็นอันดับแรกเสมอ นางยังออกหน้าตอบโต้กับปรมาจารย์คลิฟ ถ้ามีศิษย์อย่างแคลร์แล้ว เขายังจะต้องขออะไรอีกล่ะ?
“อาจารย์?” แคลร์สะดุ้งเล็กน้อย
“ตกลงตามนั้น ต่อไปนี้ปรมาจารย์คลิฟจะเป็นอาจารย์ที่หนึ่งของแคลร์” ดยุกกอร์ตั้นรีบออกมาพูด ตอนนี้สถานการณ์สงบลงแล้ว เขาต้องพูดเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง
“ได้ ฮ่าๆ ตกลงแล้วข้าจะเป็นอาจารย์ที่หนึ่ง! ” คลิฟพูดและลุกขึ้นทันที น้ำตาของเขาไหลออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม เขาตบบ่าอูมาริ “ต่อไปนี้เจ้าเป็นน้องชายของข้า ใครกล้ารังแกเจ้าก็เทียบเท่ากับหาเรื่องข้า”
อูมาริขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดบริเวณที่คลิฟสัมผัส เมื่อคลิฟเห็นเช่นนั้น เขาจึงหยิบยาสำหรับทำแผลออกมาจากแหวนมิติในทันที จากนั้นก็เริ่มทายาเพื่อรักษาบาดแผลให้อูมาริ บาดแผลรักษาตัวเองด้วยความเร็วที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แคลร์และดยุกกอร์ตั้นมองฉากที่น่าทึ่งตรงหน้าพวกเขาโดยไม่ได้พูดอะไร
ตรงหน้าของพวกเขานี้คือภาพของมิตรภาพพี่น้อง ไม่ใช่คู่ต่อสู้อีกต่อไป
“ยังเจ็บหรือไม่? ฮ่าๆ ก่อนหน้านี้เจ้าดูแลแคลร์ของข้าไปแล้ว ต่อไปข้าจะสอนแคลร์อย่างดีเลย ฮ่าๆ ต่อไปเราจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วสิ ใช่ไหม? ” คลิฟพูด ดยุกกอร์ตั้นยังยืนอยู่ตรงนั้น แต่จู่ๆ แคลร์กลับได้กลายเป็นคนในครอบครัวของคลิฟไปแล้ว
อูมาริพยักหน้า
ทั้งสองสามัคคีกันอย่างมีความสุข…
แคลร์ถอนหายใจเบาๆ ถึงอย่างไรเรื่องก็ได้รับการแก้ไขแล้ว
คืนนี้แคลร์ต้องเดินทางไปเมืองเนียร์
บุคคลที่วิหารแห่งแสงส่งมาช่วยเหลือแคลร์ก็คือบุตรแห่งแสงผู้มีผมสีม่วง…เหลิ่งหลิงยวิ๋น
เมื่อได้ยินว่าแคลร์กำลังจะไปเมืองเนียร์ ราเซียก็ขอลาเพื่อจะติดตามไปด้วย แต่แคลร์และดยุกกอร์ตั้นห้ามเอาไว้ เนื่องจากโรคระบาดนั้นอันตรายมาก พวกเขาจึงไม่อยากให้ราเซียไปเสี่ยง ส่วนคลิฟและจินเหยียนก็ตามไปด้วยอย่างแน่นอน
ในตอนกลางคืน คนที่วิหารแห่งแสงส่งมาก็มาถึงคฤหาสน์ของดยุกฮิลล์อย่างตรงเวลา ทุกคนออกเดินทางไปเมืองเนียร์พร้อมกับแคลร์ ดยุกกอร์ตั้นจัดเตรียมรถม้าที่สะดวกสบายและมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษสามารถรองรับคนได้หกคน มีเบาะนุ่มๆ พรมหนาๆ ในรถม้ามีของกินและของใช้ทุกอย่าง เพราะคนที่ไปกับแคลร์ในครั้งนี้ไม่ใช่คนธรรมดาๆ เขาคือบุตรของวิหารแห่งแสง และปรมาจารย์คลิฟจอมเวทย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์
พอทั้งสี่คนเข้าไปในรถม้า คลิฟก็เอนหลังแล้วหลับไป ส่วนจินเหยียนนั่งอยู่ข้างหลังเงียบๆ
“ขอบคุณบุตรแห่งแสงสำหรับความช่วยเหลือในครั้งนี้” แคลร์ขอบคุณอย่างสุภาพ นางได้เห็นเวทมนตร์ในการรักษาของเหลิ่งหลิงยวิ๋นแล้ว แต่โรคระบาดนี้ดูเหมือนจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยเวทมนตร์นะ? คราวนี้ดูท่าทางจะยุ่งยากจริงๆ
“นี่คือสิ่งที่วิหารของเราควรทำอยู่แล้ว” เหลิ่งหลิงยวิ๋นตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ แล้วก็เงียบต่อไป
บรรยากาศในรถม้าอึมครึม
“จิ๊บๆ …” ไป๋ตี้ลุกจากอ้อมแขนของแคลร์แล้วปีนขึ้นไปบนไหล่ จากนั้นก็ขึ้นไปบนหัวของแคลร์แล้วเริ่มดึงผมของนางไม่หยุด
แคลร์ยังคงเงียบและไม่ขยับ เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองเจ้าลูกชิ้นขนปุยบนหัวของแคลร์ด้วยความประหลาดใจ นี่คืออะไร? สัตว์เลี้ยงของแคลร์หรือ? ไม่ว่าจะมองยังไง แคลร์ก็ดูไม่เหมือนคนที่สามารถเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่น่ารักเช่นนี้ได้เลย
“จิ๊บๆ! ” ไป๋ตี้ดูเหมือนจะโกรธเล็กน้อยที่แคลร์ไม่สนใจมัน มันใช้อุ้งเท้าเล็กๆ สองข้างเกาะผมของแคลร์อยู่พักหนึ่ง
“เอาล่ะๆ เดี๋ยวให้กิน” แคลร์หยิบตะกร้าออกมาจากเบาะหลังอย่างไม่เต็มใจ นางหยิบจานเงินกับเนื้อบาร์บีคิวหนึ่งชิ้นในตะกร้าวางลงในจาน จากนั้นก็ท่องคาถาและปล่อยลูกบอลไฟขนาดเล็กออกมาเพื่อย่างให้เนื้อร้อน ไป๋ตี้กรีดร้องอย่างมีความสุข หันไปที่จาน แล้วใช้อุ้งเท้าทั้งสองข้างก็หยิบเนื้อบาร์บีคิวเข้าปากและเริ่มเคี้ยว
“นี่มันคือสัตว์ชนิดใดกัน? ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นถามอย่างสงสัย
“ข้าก็ไม่รู้” แคลร์ยักไหล่ตอบตามความเป็นจริงพลางมองมันกินอาหารในจาน ไป๋ตี้ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อหรือสัตว์มังสวิรัติ มันเป็นสัตว์กินไม่เลือก ชอบของอร่อยๆ ไม่ว่าจะเนื้อสัตว์หรือผักผลไม้ แต่ในหมวดเนื้อจะชอบบาร์บีคิวมาก
จากนั้นทุกอย่างก็เงียบสงบอีกครั้ง
ตลอดทางมีแต่ความเงียบ แคลร์ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับวิหารแห่งแสง นั่นก็เพราะวิหารแห่งแสงเป็นที่รวมของเหล่าเทพ
“แคลร์ เจ้านี่เสแสร้งมาก น่ารำคาญจริงๆ ข้าอยากจะฉีกหน้าเขาให้คนอื่นดูว่ามีอะไรอยู่ภายใต้หน้ากากของเขา” วัลโดพูดในหัวของแคลร์
“เงียบ ข้าต้องการพักผ่อน เราต้องรีบไปให้ถึงเมืองเนียร์ในวันมะรืนนี้และข้ายังมีเรื่องต้องให้จัดการอีกมาก” แคลร์หลับตาและพิงกับรถม้า
“ฮึ่ม” วัลโดส่งเสียงอย่างโกรธเคือง บุตรแห่งแสง หึ ก็เป็นเพียงแต่สุนัขตัวหนึ่งของเทพีผู้นั้นเท่านั้นเอง คอยดูเถอะ สักวันข้าจะต้องแก้แค้นให้ได้!
เมืองเนียร์ถูกปิดตายอย่างสมบูรณ์ ตอนไปถึง แคลร์ก็เห็นว่าประตูเมืองปิดอยู่ และมีเต็นท์แบบเรียบง่ายมากมายตั้งอยู่นอกประตูเมือง คนเหล่านี้คือคนที่ต้องการเข้าเมืองแต่ถูกห้ามไม่ให้เข้า พวกเขาทั้งหมดมีญาติหรือเพื่อนอยู่ในเมืองจึงต้องการเข้าไป แต่เพราะโรคระบาดได้แพร่กระจายในเมืองแล้ว จึงจำเป็นต้องห้ามเข้าและออกเมืองเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
เมื่อพวกเขารู้ว่าคนที่นั่งอยู่ในรถม้าเป็นเจ้าเมืองเนียร์ก็เกิดความปั่นป่วนขึ้นทันที
“ท่านเจ้าเมืองครับ ขอให้พวกเราเข้าไปด้วยเถิด ภรรยาและลูกๆ ของข้ายังอยู่ข้างใน ข้าอยากรู้ว่าตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ท่านเจ้าเมือง พ่อของข้ายังอยู่ข้างใน ได้โปรดให้พวกเราเข้าไปเถอะ”
“ท่านเจ้าเมือง……”
คำวิงวอนมีเข้ามาเรื่อยๆ และผู้คนก็ค่อยๆ รวมตัวรุมล้อมทำให้รถม้าจนไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้
ทันใดนั้น ประตูเมืองก็เปิดออก ทหารกลุ่มหนึ่งยืนเข้าแถวและวิ่งเหยาะๆ ออกมา จากนั้นพวกเขาก็เริ่มไล่ชาวบ้านให้ถอยออกจากถนนเพื่อให้รถม้าวิ่งผ่านเข้าไปในเมือง รวมทั้งคอยขับไล่ชาวบ้านที่ต้องการฉวยโอกาสเข้าเมืองด้วย แม้ว่าจะดูหยาบคาย แต่พวกเขาก็จัดการได้ดี และไม่ได้ทำร้ายใคร หากสามารถใช้มาตรการแบบนี้ได้ สถานการณ์ก็จะไม่ร้ายแรง เห็นได้ชัดเลยว่าคนที่ดยุกกอร์ตั้นส่งมาจัดการดูแลเมืองเนียร์แทนแคลร์นั้นทำได้ดีทีเดียว…………………………………………………………………………….