เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 44
แคลร์เงียบไปชั่วขณะแล้วพูดออกมาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นสัตว์ชนิดไหน และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มันกลายร่างเป็นมนุษย์ ข้าเพิ่งรู้เลย เจ้าสามารถเก็บความลับนี้ไว้ให้ข้าได้หรือไม่? “
“แน่นอนสิ! ” เฟิงอี้เซวียนพูดตรงไปตรงมา จากนั้นเขาหันไปมองแบนิมที่เสียชีวิตอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลแล้วพูดด้วยความอึดอัดเล็กน้อย “คนนี้เป็นใคร? ตอนนี้เขาคงตายแล้วล่ะมั้ง? “
“เขาเป็นจอมเวทย์มนตร์ดำชั้นยอดและก็เป็นผู้ใช้ความตายด้วย เขาอันตรายมากๆ ” แคลร์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มและขมวดคิ้วขณะที่มองร่างนั้นอย่างเย็นชา
ให้ตายสิ! ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่สามารถแก้การคุมขังได้ เขาเป็นจอมเวทย์มนตร์ดำและผู้ใช้ความตาย เฟิงอี้เซวียนสาปแช่งในใจ แต่ว่าแคลร์มีเจ้าตัวน้อยที่ทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
เวลานี้ ในที่สุดก็มีการเคลื่อนไหว นกหุ่นเวทย์ของแคลร์บินออกมาพร้อมส่งเสียงดัง จากนั้นคลิฟก็แหวกกิ่งไม้และปรากฏขึ้นหน้าแคลร์อย่างกระวนกระวายใจ
“แคลร์! ” คลิฟรีบวิ่งมาที่ด้านหน้าของแคลร์ จากนั้นก็สำรวจร่างกายของแคลร์อย่างระมัดระวัง เมื่อไม่พบว่ามีบาดแผลใดๆ คลิฟก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นเขาก็หันไปเห็นเฟิงอี้เซวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เฮ้ เจ้าเด็กผมแดง” คลิฟยังคงจำเฟิงอี้เซวียนได้ เขาจึงโพล่งออกมา “เจ้าคือเด็กผมแดงที่ถูกศิษย์ของข้าเหยียบในวันนั้นไม่ใช่หรือ? เจ้ามาทำอะไรที่นี่? เจ้าจะแก้แค้นหรือ? ไอ้บ้าเอ๊ย!” คลิฟพูด
“อาจารย์! ” แคลร์พูด “ไม่ใช่นะอาจารย์ เฟิงอี้เซวียนเพิ่งช่วยข้าไว้”
“หือ? ” ดวงตาของคลิฟเบิกกว้างและมองไปที่เฟิงอี้เซวียนอย่างสงสัยและไม่ไว้วางใจ
“อาจารย์ จริงๆ นะ คนนี้เป็นคนของแบนิม เขาถูกเฟิงอี้เซวียนฆ่าตอนที่เขากำลังจะฆ่าข้า ส่วนศพที่อยู่ตรงนั้นคือแบนิม” แคลร์ชี้ไปที่ศพบนพื้นและบอกคลิฟ
“อะไรนะ? แบนิม? ” คลิฟขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แน่นอนว่าเขารู้ว่าแบนิมคือใคร แบนิมผู้เจ้าเล่ห์และร้ายกาจคนนั้น ตนเองไม่เคยได้พบเขาเลย จมูกของเขาดียิ่งกว่าสุนัขและเขาซ่อนตัวได้ทุกครั้ง ตอนนี้เขาตายแล้วงั้นหรือ? ใครฆ่าเขาล่ะ? ความแข็งแกร่งในตอนนี้ของแคลร์ไม่สามารถฆ่าเขาได้แน่
“ใครฆ่าเขา? เจ้าหรือ? ” คลิฟหันไปมองเฟิงอี้เซวียนแล้วส่ายหัว “เป็นไปไม่ได้ แคลร์ ใครฆ่าแบนิม? ” คลิฟถามแคลร์
แคลร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเล่าเรื่องโดยละเอียดเลยดีหรือไม่
แต่ตอนนี้ จู่ๆ ก็มีแสงเกิดขึ้น สิ่งที่เหนือความคาดหมายได้เกิดขึ้นแล้ว
“มืดยิ่งกว่าความมืด วุ่นวายยิ่งกว่าความโกลาหล พระเจ้าของข้า ข้าจะ… ” ทันใดนั้นเสียงชั่วร้ายที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นในท้องฟ้ายามค่ำคืน แท้จริงแล้วมันคือเสียงของแบนิมที่ตายไปแล้ว! เสียงนี้กำลังร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว!
“เร็วเข้า! หยุดเสียงนี้เร็วเข้า! ” ทันใดนั้นวัลโดก็ร้องออกมาด้วยความกลัว ในฐานะนักเวทย์มนตร์ดำเขารู้ดีกว่าใครๆ ว่าคาถานี้หมายถึงอะไร
แคลร์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แต่ว่ามันมีอะไรอยู่ที่ไหนล่ะ?
สีหน้าของคลิฟก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เขาเข้าใจว่านี่เป็นพิธี นี่คือคำเรียกของพิธี! แม้ว่าแบนิมจะตายไปแล้ว แต่เขาใช้วิธีใดในการทำให้วิญญาณของเขาหายใจและไม่หายไปในทันที ตอนนี้เขากำลังเรียกบางสิ่งมาเพื่อล้างแค้นคนที่ฆ่าเขา
เฟิงอี้เซวียนมองสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระมัดระวัง ความรู้สึกไม่สบายใจเกิดขึ้นอย่างรุนแรง สิ่งนี้เป็นสัญชาตญาณของนักฆ่าซึ่งเป็นสัญชาตญาณที่น่ากลัวมาก เฟิงอี้เซวียนตกใจเล็กน้อยเพราะเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ความรู้สึกที่น่าขนลุกนี้ทำให้ผมของเขาขนหัวลุก
คลิฟหยิบไม้กายสิทธิ์ของเขายกขึ้นและร่ายคาถาใส่พื้นที่บริเวณหนึ่งบนท้องฟ้า แล้วลำแสงก็พุ่งไปในอากาศ
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด
แต่แล้วก็มีเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “มันสายไปแล้ว ฮ่าๆ กลุ่มของเจ้า ข้าจะให้เจ้าชดใช้ แม้ว่าข้าจะถูกฆ่า ข้าก็จะแก้แค้น ฮ่าๆๆ …” เสียงหัวเราะค่อยๆ เบาลงจนหายไปในที่สุด เห็นได้ชัดว่าวิญญาณของแบนิมถูกคลิฟทำลายไปแล้ว แต่คำพูดสุดท้ายของแบนิมชัดเจนมาก
วิญญาณของแบนิมถูกคลิฟทำลาย แต่การแสดงออกของคลิฟดูเคร่งขรึมผิดปกติ มีความกังวลและแม้กระทั่งความกลัวในดวงตาของเขา
“แคลร์ รีบออกไปจากที่นี่ซะ…” คลิฟตัดสินใจทันที
แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป
ทุกสิ่งรอบตัวมืดลงทันที ดวงจันทร์บนท้องฟ้ายามค่ำคืนก็หายไป ความมืดเข้าจู่โจมและทุกสิ่งก็ถูกความมืดกลืนกิน ไม่เห็นแม้แต่นิ้วที่เอื้อมมือออกไป
แม้ว่าแคลร์และเฟิงอี้เซวียนจะมีความเชี่ยวชาญในการลอบสังหารและได้รับการฝึกฝนสายตาให้มองในตอนกลางคืน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลยในขณะนี้
ทุกคนไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป ความรู้สึกของการโจมตีในครั้งนี้น่ากลัวยิ่งกว่าการคุมขังที่แบนิมได้ทำไว้ในตอนนั้นเสียอีก
เหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาบนหน้าผากของคลิฟ หัวใจของเขาดิ่งลงเรื่อยๆ
วัลโดเงียบไปอย่างน่าประหลาด เขาไม่พูดอะไรสักคำเลย
แต่แคลร์รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความผันผวนทางจิตใจของวัลโด ครั้งนี้มันรุนแรงกว่าที่เคย
สภาพแวดล้อมถูกความมืดกลืนกินไปหมด ทันใดนั้นกระแสน้ำวนก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าคนทั้งสาม เหมือนว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนจะฉีกขาดออกจากกันและค่อยๆ ขยายออกไป
แสงสีแดงคล้ายเลือดค่อยๆ โผล่ออกมาจากกระแสน้ำวนนั้น
แรงบีบบังคับเช่นนี้ ทำให้คนแทบหายใจไม่ออก ขาแข้งอ่อนแรง
เหงื่อเย็นบนหน้าผากของคลิฟรวมตัวกันเป็นเส้นบางๆ และไหลลงมา ชุดของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ในทวีปนี้มีผู้แข็งแกร่งไม่มากนักที่สามารถทัดเทียมคลิฟได้ ตราบใดที่คนที่แข็งแกร่งเหล่านั้นไม่ร่วมมือกันเพื่อจัดการเขา คลิฟก็สามารถต่อกรได้
แต่…
มนุษย์ไม่สามารถต่อกรกับเทพเจ้าได้!
“ใครกัน? ใครที่มารบกวนการนอนของข้า? เครื่องสังเวยอยู่ที่ไหน? ” เสียงชั่วร้ายที่รู้สึกเบื่อหน่ายดังมาจากกระแสน้ำวนสีแดงเลือดช้าๆ จากนั้นแรงบีบบังคับที่น่ากลัวจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เสียงนี้ชั่วร้ายและทำให้จิตใจของผู้คนสั่นสะท้าน นี่คือพลังอันแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้และไม่มีใครสามารถตอบโต้ได้
“อึก…” ทั้งแคลร์และเฟิงอี้เซวียนหายใจไม่ออกในเวลาเดียวกัน พวกเขาไม่สามารถทนต่อแรงกดดันที่น่ากลัวและครอบงำได้จึงกระอักเลือดออกมา
ใบหน้าของคลิฟซีดลง
แบนิมอัญเชิญเทพเจ้าแห่งความมืดออกมาจริงๆ!
แต่ไม่ได้มีการเตรียมเครื่องบูชา!
แบนิมที่น่ากลัวและน่ารังเกียจกำลังจะตีกรอบล้อมพวกเขา แบนิมอัญเชิญเทพเจ้าแห่งความมืดออกมาโดยไม่มีการเตรียมเครื่องสังเวยเอาไว้ จากนั้นเทพเจ้าแห่งความมืดจะพิโรธและบดขยี้พวกเขาโดยไม่เหลือขี้เถ้า ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น เมืองเนียร์ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาทั้งหมดก็จะกลายเป็นเศษผงไปด้วย!
แรงบีบบังคับของเทพเจ้า สิ่งนี้คือแรงบีบบังคับของเทพเจ้า!
เฟิงอี้เซวียนและแคลร์ไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงอีกต่อไป พวกเขาล้มลงกับพื้น แม้แต่คลิฟก็ทนแรงบีบบังคับที่น่ากลัวไม่ได้เช่นกัน เท้าของเขาสั่นและคุกเข่าลงบนพื้น
สิ่งนี้คืออะไร? เฟิงอี้เซวียนนอนอยู่บนพื้นและมองวัตถุในแสงสีเลือดด้วยความขุ่นเคือง นั่นมันไม่ใช่มนุษย์!
แคลร์ขมวดคิ้วแต่ขยับร่างกายไม่ได้
“แคลร์ ลาก่อนนะ นี่คือเทพเจ้าแห่งความมืดที่พวกเรานับถือ แบนิมเรียกเขามาแต่ไม่มีเครื่องสังเวยบูชา เขาจะโกรธจนไม่มีอะไรเหลืออยู่แน่นอน” เสียงของวัลโดสงบมากในเวลานี้ เทพเจ้าแห่งความมืดนั้นโหดร้าย จิตใจแปรปรวน และโลภมาก การเรียกเขาทุกครั้งต้องใช้เวลาและพลังงานอย่างมากเพื่อเตรียมเครื่องสังเวยจำนวนมาก หากการสังเวยไม่ทำให้เทพเจ้าแห่งความมืดพอใจ ผู้อัญเชิญจะถูกพลังทำลายล้าง ดังนั้นการอัญเชิญเทพเจ้าแห่งความมืดจึงมีน้อยมาก วัลโดรู้ว่ามีไม่กี่ครั้งในรอบหลายพันปี แม้จะมีครั้งหนึ่งที่กษัตริย์เรียกเขาออกมา แต่เครื่องสังเวยคือวิญญาณของหญิงพรหมจารีสามพันคน
นี่คือเทพเจ้า?! เทพเจ้างั้นหรือ?
แคลร์มองไปที่ดวงตาเรียวสีเข้มท่ามกลางแสงสีเลือดด้วยความประหลาดใจ นั่นคือเทพเจ้าแห่งความมืดงั้นหรือ?
คลิฟพยายามที่จะทำทุกอย่าง อย่างน้อยก็ต้องให้แคลร์รอดปลอดภัย แต่เขาไม่สามารถหลีกหนีแรงบีบบังคับที่น่ากลัวนี้ไปได้เลย
“ใครเรียกข้า? เครื่องสังเวยอยู่ที่ไหน? ” เสียงชั่วร้ายดังขึ้นอีกครั้ง
“ไม่มีทางหนีไปได้เลยหรือ?” แคลร์ถามวัลโดในใจ
“มนุษย์ไม่สามารถต่อกรกับพระเจ้าได้” น้ำเสียงของวัลโดสงบผิดปกติ เขาไม่เสียใจที่จะตายในพระหัตถ์ของพระเจ้า
จากนั้นวัลโดก็หยุดพูดเและรอทักทายความตายที่กำลังจะมาถึงอย่างใจเย็น
“โอ้ เครื่องสังเวยอยู่ที่นี่งั้นหรือ” แต่เสียงต่ำและชั่วร้ายกลับดังออกมาเช่นนี้
คลิฟตกตะลึง เขาเห็นกลุ่มควันสีดำและสีแดงล้อมรอบแคลร์ มันเคลื่อนตัวขึ้นลงไปมาราวกับพิจารณามองแคลร์อยู่
“ดีมากเลย” เสียงทุ้มและชั่วร้ายเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ข้ายอมรับการสังเวยนี้แล้ว ใครเรียกข้าออกมาล่ะ เจ้าหรือ? “
ในช่วงเวลาต่อมาคลิฟสามารถเคลื่อนไหวและพูดได้แล้ว เทพเจ้าแห่งความมืดคลายแรงบีบบังคับที่มีต่อพวกเขา เฟิงอี้เซวียนขยับมือและเท้า มองควันสีดำและสีแดงที่ล้อมรอบแคลร์อยู่
“อย่าทำอะไรผลีผลาม นี่คือเทพเจ้าแห่งความมืด” คำเตือนของคลิฟดังขึ้นในใจของเฟิงอี้เซวียน เฟิงอี้เซวียนมองไปที่กลุ่มควันและตกใจจนไม่สามารถพูดอะไรได้ นี่คือเทพเจ้าแห่งความมืด! แน่นอนว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ ไม่แปลกใจเลยที่ผู้มีอำนาจจะอุกอาจมากเพียงนี้
“ท่านเทพ พวกเราไม่ได้เรียกท่านออกมา คนที่เรียกท่านออกมาได้จากไปแล้ว และนางก็ไม่ใช่เครื่องสังเวยด้วย” คลิฟตอบอย่างระมัดระวัง
“โอ้ ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือข้าพอใจกับการสังเวยครั้งนี้มาก เมื่อถึงเวลาข้าจะมารับนางไป” เสียงต่ำและชั่วร้ายเอ่ยประโยคดังกล่าวออกมาโดยไม่สนใจคำพูดสุดท้ายของคลิฟเลย
คลิฟตะลึงและไม่เข้าใจว่านี่หมายถึงอะไร ควันสีดำและสีแดงลอยเข้ามาในมือของแคลร์และหายไปทันที จากนั้นกระแสน้ำวนก็ค่อยๆ หายไป ความมืดรอบๆ ก็ค่อยๆ ลดลง ป่าก่อนหน้านี้และดวงจันทร์ในท้องฟ้ายามค่ำคืนก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง
……………………………………………………………………………..