เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 10 สองจิตสองใจ
หวังซียังอยากไปดูคนรำกระบี่อีกสักหน่อย แต่น่าเสียดายกว่าท่านหมอจะตรวจชีพจรและจัดเทียบยาให้นางเสร็จ ก็ล่วงเลยยามอู่[1]ไปแล้ว
ต่อให้นางเร่งไปก็ไม่ทันเห็นคนแล้ว
หวังซีจึงนอนคิดเรื่องนี้อยู่บนเตียง
คงไม่อาจเปลี่ยนกล้องส่องทางไกลอันใหม่ในระยะเวลาอันสั้นได้ หากอยากเห็นคนผู้นั้นชัดๆ ก็ต้องปีนขึ้นไปดูบนกำแพงของสวนร่มหลิว
ถ้าสภาพแวดล้อมของที่นั่นดีสักหน่อยก็ไม่เป็นปัญหา แต่ที่นั่นนอกจากจะอยู่ห่างไกลแล้ว ตัวเรือนและศาลาต่างๆ ยังดูรกร้างไร้คนอาศัยอยู่มาเนิ่นนาน เมื่อถึงฤดูร้อน ยุงจะต้องชุกชุมมากเป็นแน่ และด้วยร่างกายที่ดึงดูดยุงมากเป็นพิเศษของนางแล้ว แค่ยืนไม่กี่ลมหายใจก็คงถูกยุงกัดจนเป็นรอยเล็กบ้างใหญ่บ้างเต็มไปหมดแล้วเป็นแน่
นางต้องคิดหาวิธีสักอย่างถึงจะใช้ได้
หวังซีพลันนึกถึงการแก้ปัญหาของสวนซิ่งขึ้นมา
ถ้านางย้ายเข้าไปอยู่ที่สวนร่มหลิว…
เมื่อความคิดดังกล่าววาบผ่านเข้ามา นางไหนเลยจะมีกะจิตกะใจนอนกลางวันได้อีก
“ไป๋ซู่ ไป๋ซู่!” นางตะโกนเรียกคนเสียงดัง กล่าวว่า “พวกเราไปห้องหนังสือกัน”
นางต้องการดูให้ละเอียดว่าสวนร่มหลิวมีขนาดใหญ่เท่าไร
ไป๋ซู่โน้มน้าวให้นางนอนกลางวันสักตื่นหนึ่งก่อน “ประเดี๋ยวตอนไปหาฮูหยินผู้เฒ่าจะได้ไม่ง่วงเหงาหาวนอน”
หวังซีไม่ใส่ใจนัก ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้พวกนางไม่มีเวลามาสนใจพวกเราหรอก”
ไป๋ซู่จำต้องไปห้องหนังสือเป็นเพื่อนนาง
หวังซีมองแผนผังของจวนหย่งเฉิงโหวอย่างละเอียด ชี้เรือนประธานของสวนร่มหลิวพลางกล่าว “พวกเราสร้างบ้านสามทางเข้าตรงทิศตะวันออกอีกหนึ่งหลังเป็นอย่างไร”
เช่นนี้ คนของนางก็เข้าไปอยู่ได้ครบทุกคนแล้ว
นางชี้ไปที่ด้านหลังของเรือนประธาน “สร้างเรือนครัวตรงนี้”
ส่วนภูเขาจำลอง หินไท่หูนั้นไม่อาจหาซื้อได้ในระยะเวลาอันสั้น ต่อให้หาซื้อได้ก็ไม่อาจขนส่งมาให้ตอนนี้ได้
นางครุ่นคิด ชี้สวนดอกไม้หลังเรือนประธานพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ขุดบ่อน้ำเล็กๆ ตรงนี้หนึ่งบ่อ”
เอาดินที่ขุดออกมาก่อเป็นภูเขาเล็กๆ หนึ่งลูก สร้างศาลาบนยอดเขาหนึ่งหลัง ส่วนศาลาหลังเดิมเปลี่ยนเป็นห้องอุ่นก็แล้วกัน
แน่นอนว่าไม่เปลี่ยนก็ได้เหมือนกัน
นางอาจอยู่ไม่ถึงฤดูหนาว
หวังซีปรบมือ รู้สึกว่าแผนการนี้ของตนดียิ่งนัก
ไป๋ซู่ไม่รู้จะพูดอะไรดี ยิ้มถามเสียงอบอุ่นว่า “เช่นนั้นพวกเราไม่ซื้อบ้านแถวๆ นี้แล้ว?”
หวังซีตอบยิ้มๆ ว่า “ซื้อ! ถ้าเจอหลังดีๆ ย่อมต้องซื้ออยู่แล้ว ปล่อยเช่าก็ยังได้ค่าเช่าบ้างเล็กน้อย”
เพียงแต่ว่าบ้านในเขตเสี่ยวสือยงอยู่ใกล้กับที่ทำการหกกรม หาซื้อไม่ง่ายนัก แต่ถ้าซื้อมาครอบครองได้ จะมีมูลค่ามากกว่าบ้านในเขตอื่นๆ ของจิงเฉิงมากโข
ไป๋ซู่ไม่เข้าใจความคิดของหวังซี หวังซีรู้ว่านางมีพรสวรรค์เรื่องอ่านเขียน แต่เรื่องเงินทองการคำนวณบัญชีกลับสู้ไป๋กั่วไม่ได้ จึงไม่บีบคั้นให้นางต้องเข้าใจ เพียงสั่งการให้นางไปเรียกหวังหมัวมัวมา
ต่อให้นางสนใจอยากได้สวนร่มหลิว แต่ก็ไม่อาจกระโดดออกไปในเวลานี้ได้
ของที่ได้มาง่ายดายเกินไป อาจจะไม่เห็นคุณค่า
นางต้องรอให้ถึงตอนที่พวกนางไร้หนทางแล้วค่อยยื่นมือเข้าไปช่วย ไม่แน่ว่าอาจเป็นเหตุให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกซาบซึ้งใจและติดหนี้บุญคุณนาง ทำให้ต่อไปนางจะทำอะไรในจวนโหวก็สะดวกมากขึ้นก็เป็นได้!
แค่ฟังหวังหมัวมัวก็เข้าใจความหมายของหวังซี นางรู้สึกว่าหวังซีทำได้ถูกต้องยิ่งนัก กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นข้าจะให้ชิงโฉวจับตาดูทางด้านโน้นเอาไว้ หาโอกาสที่เหมาะสมไปคุยกับฮูหยินผู้เฒ่า”
หวังซีพยักหน้าหงึก หารือเรื่องขยับขยายสวนร่มหลิวกับหวังหมัวมัว “หากให้จวนหย่งเฉิงโหวเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่รู้ว่าเวลาจะลากยาวไปถึงเมื่อไร ถือเสียว่าเป็นค่าเช่าระหว่างที่ข้าพักอยู่จวนหย่งเฉิงโหวชั่วคราว วัสดุอุปกรณ์สำหรับปรับปรุงสวนพวกเราจะจัดเตรียมกันเอง ส่วนเรื่องช่างฝีมืออะไรต่างๆ นั้นเกรงว่าคงต้องให้จวนหย่งเฉิงโหวส่งคนไปหามาให้ แต่พวกเราจะเป็นคนจ่ายเงินค่าจ้างให้คนงานเอง ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ รีบซ่อมแซมสวนให้แล้วเสร็จตามข้อกำหนด ส่วนพวกฝ้าเพดานต่างๆ นั้น ระหว่างนี้ยังไม่จำเป็นต้องวุ่นวายอะไรมาก วาดอะไรง่ายๆ ไปก่อนก็พอ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะกลับสู่จงก่อนปีใหม่ก็เป็นได้”
บ้านเรือนที่จิงเฉิงล้วนประณีตพิถีพิถัน คนยศตำแหน่งอะไรอยู่บ้านแบบไหนหรือสร้างประตูบ้านแบบใดนั้น ช่างฝีมือคนก่อสร้างที่ติดต่อกับจวนหย่งเฉิงโหวบ่อยๆ ย่อมต้องคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี จึงไม่น่าจะทำเกินขอบเขตที่ควรจะเป็น เพียงแต่ว่าจวนหย่งเฉิงโหวค่อนข้างตระหนี่ถี่เหนียว เพื่อให้ได้ย้ายเข้าไปอยู่เร็วขึ้นสักหน่อย นางตัดสินใจเพิ่มเงินค่าจ้างเข้าไปจากเดิมที่จวนหย่งเฉิงโหวเคยให้อีกเล็กน้อย
เช่นนี้จะทำให้ช่างฝีมือเหล่านั้นตั้งใจทำงานอย่างเต็มใจและเต็มที่
นี่เป็นสิ่งที่ท่านปู่สอนนางมาตั้งแต่นางเป็นเด็ก
แม้แต่บ่าวไพร่ในบ้าน ถ้าพวกเขากับเจ้าของบ้านไม่มีผลประโยชน์อะไรร่วมกันเลย ก็ไม่อาจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับเจ้าของบ้านได้
ดูจากบ่าวไพร่ที่บรรดาหัวหน้าเผ่าของอวิ๋นกุ้ยส่งมาให้ก็รู้แล้ว
ตามหนังสือสัญญา เมื่อพวกนางอายุครบยี่สิบปีก็ยื่นใบสมัครกลับบ้านเดิมได้แล้ว แต่คนที่กลับไปจริงๆ นั้น ในสองสามปีนี้มีเพียงหนึ่งถึงสองคนเท่านั้น คนส่วนใหญ่ล้วนรั้งอยู่ที่สกุลหวัง แต่งงานกับบ่าวของสกุลหวัง
หวังหมัวมัวยิ่งรู้สึกว่าหวังซีกระทำการอะไรมีแบบแผน คิดว่าไม่เสียแรงที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนายท่านใหญ่ รู้ได้เองโดยธรรมชาติว่าต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้ผู้อื่นทำงานให้นางอย่างเต็มอกเต็มใจและเต็มที่
“ท่านวางใจเถิด ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง” นางกล่าวยิ้มๆ “ข้าจะให้หวังสี่เตรียมการเอาไว้ รอให้ท่านพูดคุยตกลงกับฮูหยินผู้เฒ่าเรียบร้อย ก็เริ่มดำเนินการได้เลย”
หวังหมัวมัวเป็นธุระจัดการให้ หวังซีรู้สึกวางใจเป็นอย่างมาก
ตกบ่าย ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนมาแจ้งว่าช่วงนี้ให้หวังซีงดเว้นการคารวะเช้าเย็นออกไปก่อน จะกลับมาปฏิบัติดังเดิมเมื่อไรนั้น ให้หวังซีรอฮูหยินผู้เฒ่าแจ้งข่าวอีกที
หวังซีรับคำอย่างยิ้มแย้ม คิดว่าเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ก็จะได้ไปดูคนข้างบ้านผู้นั้นรำกระบี่อีกแล้ว จึงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว นางถึงกับอดรนทนไม่ได้ไปที่สวนร่มหลิวอีกครั้งหนึ่ง
น่าเสียดาย ครานี้นางไม่ได้เห็นแม้แต่ใบไม้ที่ปกคลุมเต็มพื้นลาน
คาดว่าคงถูกบ่าวชายที่หงโฉวพูดถึงกวาดจนสะอาดหมดจดไปแล้ว
หวังซีถอนหายใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก แม้แต่การลูบขนเซียงเย่ยังเป็นเรื่องไม่สนุก ไม่ง่ายเลยกว่าจะนอนหลับไปได้ครู่หนึ่ง ทว่าก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างไม่ทราบสาเหตุ เอ่ยถามไป๋จื่อที่อยู่เวรกลางคืนว่า “กี่ยามแล้ว”
ไป๋จื่อมองนาฬิกาจากดินแดนตะวันตกภายในห้องครั้งหนึ่ง ตอบเสียงเบาว่า “ยังไม่ถึงยามจื่อ[2]เจ้าค่ะ!”
หวังซีขยี้ตาที่ยังไม่ตื่นเต็มที่เบาๆ
นางยังหลับไม่ถึงหนึ่งชั่วยามอีกหรือ
แต่นางรู้สึกว่าตัวเองนอนหลับไปเป็นเวลายาวนานมากแล้ว
นางกำชับไป๋จื่อ “พรุ่งนี้เช้าเมื่อถึงเวลาแล้วเจ้าอย่าลืมปลุกข้าเป็นอันขาด!”
ไป๋จื่อรับคำซ้ำๆ แต่เมื่อหวังซีลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งทั้งห้องก็เต็มไปด้วยลำแสงแห่งรุ่งอรุณแล้ว
นางร้อง อ๊าก ออกมาอย่างตื่นตกใจพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง เอ่ยถามอย่างร้อนรนว่า “ตอนนี้กี่ยามแล้ว”
ไป๋จื่อและคนอื่นๆ ยิ้มร่าตอบว่า “ยามเหม่าสามเค่อ[3]แล้วเจ้าค่ะ”
หวังซีตะลึงงัน เอ่ยถามเสียงดัง “ข้าบอกว่าให้เจ้าปลุกข้าตื่นเร็วหน่อยมิใช่หรือ”
ไป๋จื่อตอบด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อยว่า “ข้าปลุกท่านแล้ว แต่ท่านกอดผ้าห่มเอาไว้บอกว่าต้องการนอนต่ออีกครู่หนึ่ง”
หวังซีมองไป๋จื่ออย่างว่างเปล่าจดจำอะไรไม่ได้ “จริงหรือ”
“จริงเจ้าค่ะ!” ไป๋จื่อยกมือขึ้นสาบาน “ข้าเคยพูดโกหกต่อหน้าท่านเมื่อใดกันเจ้าคะ!”
หวังซีล้มตัวลงบนเตียงอย่างหดหู่
หงโฉวรีบกล่าวขึ้นว่า “หากท่านรีบสักหน่อย ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะเร่งไปทันช่วงท้ายก็เป็นได้เจ้าค่ะ”
หวังซีได้ยินแล้วลุกขึ้นมาทันที ล้างหน้าเกล้าผมอย่างรีบเร่ง กินหมานโถวไปครึ่งลูกแล้วก็พาหงโฉวและคนอื่นๆ ไปที่สวนร่มหลิว
บันไดที่ใช้เมื่อวานหงโฉวเอาไปซ่อนไว้ในพงหญ้าข้างกำแพง นางกับชิงโฉวสองคนช่วยกันประคองหวังซีปีนขึ้นไปบนกำแพงอย่างระมัดระวัง
เร่งมาทันช่วงท้ายจริงๆ ด้วย
ในกล้องส่องทางไกลดวงกลม คนผู้นั้นเก็บกระบี่เรียบร้อยแล้ว หลับตาลง แหงนหน้าขึ้น ยืนอยู่ข้างๆ ป่าไผ่ ดูองอาจมีรัศมีเด่นชัดมากขึ้น
หยดเหงื่อบนหน้าผากของเขาดูคล้ายหยาดน้ำค้างเปล่งประกายสุกใส หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงน้อยๆ จากความเหน็ดเหนื่อยสงบลง ถึงแม้ร่างกายจะตั้งตรง ทว่ากลับดูผ่อนคลายและสบาย
อา!
ช่างเป็นคนรูปงามผู้หนึ่งจริงๆ!
ไม่ว่าจะทำอะไรก็งดงามไปเสียหมด!
หวังซีมองคนในกล้องด้วยความอิจฉา
หัวคิ้วของคนผู้นั้นกลับผูกเป็นปม คล้ายกับค้นพบอะไรบางอย่างเข้า ทันใดนั้นลืมตาขึ้นมา และหันมามองที่นาง
อาจเป็นเพราะเวลานี้เขาค่อนข้างผ่อนคลาย แววตาของเขาจึงมิได้คมกริบเหมือนเมื่อวาน แต่เจือความฉงนสงสัยและไม่เข้าใจอยู่ด้วยเล็กน้อย
หวังซีกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวตามสัญชาตญาณ
คนผู้นั้นเงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
สีหน้าดูเคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
มีความงามที่ดูขึงขังขึ้นมาอีกประเภทหนึ่งแล้ว
หวังซีใช้มือปิดปากเอาไว้ถึงไม่กรีดร้องออกมา
มีคนรูปงามขนาดนี้ได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการยืนแหงนหน้าอยู่ตรงนั้น หรือท่าทางการเงี่ยหูฟัง ล้วนราวกับว่างอกเงยออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของนางก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็หล่อเหลางดงามไปหมด
ลมวสันต์สายหนึ่งโชยผ่านมา พัดพาให้ใบหลิวส่งเสียงดังซ่า
หวังซีเองก็วางกล้องส่องทางไกลในมือลง มือทาบหน้าอกสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง
จงสงบ จงสงบ!
นางบอกตัวเองอยู่ในใจไม่หยุด
มิใช่ว่านางไม่เคยเห็นบุรุษรูปงามมาก่อน
อย่างฝานเสี่ยวโหลวนักแสดงเลื่องชื่อของสู่จง ก็รูปงามมากเช่นกัน
แต่ฝานเสี่ยวโหลวมีลักษณะนิ่มนวลของสตรีเจืออยู่ด้วยหลายส่วน มิได้ดูองอาจเยี่ยงเขา และก็มิได้ดูสดใสเช่นเขาด้วย
นางไม่อาจทำเสมือนกับว่าไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน หลอกให้ตัวเองตื่นตระหนก เหมือนเมื่อวานที่ตกลงมาจากบันไดเท้าเปล่า
หวังซีจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งหนึ่ง ถึงได้ยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมองไปทางลานบ้านข้างๆ อีกครั้ง
เอ๋! คนหายไปไหนแล้ว
หวังซีเบิกดวงตาโต มองไปรอบๆ ทั้งสี่ทิศอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หายไปแล้วจริงๆ!
หวังซีหดหู่ใจเป็นที่สุด
แค่ประเดี๋ยวเดียว เขาก็เดินจากไปแล้วอย่างนั้นหรือ
วาสนาของทั้งสองคนช่างบางเบาเกินไปแล้ว!
หวังซีนั่งอยู่บนบันได กว่าครู่ใหญ่ถึงเอ่ยกับพวกหงโฉวอย่างอ่อนแรงว่า “พวกเรากลับกันเถอะ! วันนี้ตื่นสายไปหน่อย”
หงโฉวและคนอื่นๆ ขานรับ “เจ้าค่ะ” ประคองนางลงมาจากบันไดอีกครั้ง พากันกลับสวนหิมะงาม
สิ่งที่หวังซีไม่รู้คือ ตอนที่พวกนางเพิ่งเดินออกไปไม่ไกลนั้น บ้านข้างๆ ภายในเรือนวสันต์สราญ ณ สวนดอกไม้ด้านหลังของจวนจ่างกงจู่ที่มองลงมาเห็นได้ทั่วทั้งจวนนั้น มีคนกำลังยืนพาดราวระเบียงทอดมองไกลออกไป พึมพำกล่าวสองสามคำว่า น่าแปลก ช่างน่าแปลก จนกระทั่งมีคนเข้ามาเชิญ ถึงได้เดินจากไป
แต่พวกหวังซีเองก็มิได้เดินทางกลับอย่างราบรื่นนัก
ออกมาจากสวนร่มหลิว มาถึงประตูหลังของสวนหิมะงาม พวกนางได้พบกับคุณหนูสี่ฉังเคอที่ดวงตาบวมแดงเล็กน้อยกับสาวใช้ข้างกายของนางอีกสองคน
ทั้งสองคนต่างประหลาดใจอย่างมากที่ได้พบอีกฝ่าย ณ ที่แห่งนี้ ฉังเคอยิ่งแล้วใหญ่ก้มศีรษะลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าผาก เอ่ยเสียงบางเบาว่า “น้องสาวสกุลหวัง เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
หวังซีไม่คิดจะมีปฏิสัมพันธ์ส่วนตัวกับพวกพี่สาวน้องสาวสกุลฉัง ยิ้มตอบว่า “ข้ากินข้าวเช้าเสร็จแล้วออกมาเดินเล่น”
เหตุใดฉังเคอถึงมาปรากฏตัวที่นี่นั้น นางไม่อยากรู้เลยแม้แต่นิดเดียว
นางหวังแค่ว่าเรื่องของสวนซิ่งจะดุเดือดรุนแรงกว่านี้อีกสักหน่อย นางจะได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่สวนร่มหลิวเร็วขึ้น
นึกถึงตรงนี้ นางยังรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เมื่อครู่มัวแต่คิดจะกลับสวนหิมะงาม จนลืมไปดูเรือนประธานของสวนร่มหลิว จะได้รู้ว่าเรือนประธานหลังนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ปกติฉังเคอเองก็มิใช่คนพูดเก่ง เมื่อทั้งสองคนทักทายกันเสร็จแล้ว ก็เดินผ่านหน้ากันไป
ผู้ใดจะรู้ว่าหวังซีเดินออกมาไกลหนึ่งลูกศร[4]แล้ว ฉังเคอกลับไล่ตามมา
“น้องสาวสกุลหวัง” นางกระหืดกระหอบร้องเรียกหวังซี กล่าวด้วยสีหน้าหมดหนทางว่า “เจ้าเองก็น่าจะทราบเรื่องที่เกิดขึ้นของสวนซิ่งแล้วกระมัง หากเรื่องนี้เปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะทำอย่างไรหรือ”
“ข้าหรือ!” หวังซีชี้ตัวเองด้วยความประหลาดใจ
ฉังเคอพยักหน้า ถ้อยคำที่เก็บซ่อนไว้ในใจมาตลอดเหล่านั้นราวกับประตูน้ำที่ปิดไม่อยู่อีกต่อไป ฉวยโอกาสนี้พังทลายออกมา “ข้ารู้ว่าทุกคนต่างพูดว่าข้าไม่รู้ความ แต่ข้ากลัวการต้องไปอยู่ที่สวนร่มหลิวมากจริงๆ เมื่อครู่เจ้าคงได้ไปที่สวนร่มหลิวมาแล้ว ที่นั่นนอกจากจะใหญ่กว่าสวนหิมะงามเกือบสองเท่าแล้ว ด้านหลังเป็นซอยกันไฟหนึ่งเส้น ยามปกติไม่มีคนเดินผ่านแม้แต่คนเดียว ข้างกายข้ามีหญิงรับใช้เพียงสิบกว่าคน พวกข้าเข้าไปอยู่ ก็เหมือนกับเม็ดทรายแตกซ่านกระเซ็นลงไปในบ่อน้ำ ไม่มีน้ำกระเซ็นให้เห็นแม้แต่นิดเดียว หากมีใครคิดร้ายบุกเข้ามา ต่อให้ข้าตะโกนร้องจนคอแตกก็คงไม่มีใครได้ยิน ท่านย่าโปรดปรานเจ้าเพียงนั้น เจ้าช่วยเสนอความคิดให้ข้าสักข้อได้หรือไม่ ให้ข้าไม่ต้องย้ายเข้าไปอยู่ที่สวนแห่งนี้!”
………………………………………………………………..
[1] ยามอู๋ 11.00-13.00 นาฬิกา
[2] ยามจื่อ 23.00-01.00 นาฬิกา
[3] ยามเหม่าสามเค่อ 05.45 นาฬิกา
[4] หนึ่งลูกศร ระยะไกลของการยิงธนูหนึ่งลูกศร
ตอนต่อไป