เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 126 เดินเขา
แต่อยู่ต่อหน้าเฉินลั่ว หวังซีพูดถ้อยคำนี้ออกไปได้หรือ
ย่อมไม่ได้!
หวังซีมองดวงหน้ามีชีวิตชีวาของเฉินลั่ว รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าคำพูดเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกแย่เกินไป และเฉินลั่วก็ใช่จะมีเวลาให้ได้ดีใจเช่นนี้มากมายนัก
นอกจากหวังซีจะกลืนคำพูดที่เอ่อมาถึงริมฝีปากลงไปแล้ว ยังฝืนมโนสำนึกของตัวเอง จ้องตา พูดโกหกอย่างยิ้มแย้มว่า “ดีเลย! เช่นนั้นพวกเราไปเดินเขากัน!”
เฉินลั่วรู้สึกว่าตนเกือบจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เด็กสาวผู้นี้น่าสนใจเกินไปแล้ว
เห็นชัดว่าไม่อยากไปเดินเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ดวงตากลมกลอกไปมาอย่างใช้ความคิด หาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง แต่สุดท้ายยังคงถูกตนดึงเข้ามาอยู่ดี
ท่าทางที่คิดว่าตัวเองร่าเริงทว่าหัวไหล่ลู่ลงอย่างห่อเหี่ยวนั่น คล้ายลูกแมวที่ร้องขอปลาแห้งแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ไม่เพียงน่าขัน ยังน่ารักน่าเอ็นดูมากอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นางคิดว่าตัวเองต้องเดินเขาไปถึงที่ไหนกัน?
คงไม่ได้คิดว่าต้องเดินไปถึงศาลาสีแดงนั่นหรอกกระมัง
ที่นั่นอยู่ห่างจากที่นี่ไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ เกรงว่ากว่าจะเดินไปถึงฟ้าคงมืดแล้ว
ด้วยนิสัยของเฉินลั่ว เขาย่อมจะอธิบายให้ฟังดีๆ สักครั้งอย่างแน่นอน แต่เวลานี้ ไม่รู้นึกครึ้มอะไรขึ้นมา เขาอยากแกล้งหวังซีเล่นสักหน่อย ดูว่านางจะทำอย่างไร
แต่เขายังคงใจดีหักกิ่งไม้หนึ่งมาเหลาให้เกลี้ยงเกลายื่นส่งให้นางใช้ทำเป็นไม้ค้ำ กล่าวว่า “ไปกันเถอะ!”
หวังซีถือกิ่งไม้ที่เหลาเกลี้ยงเกลาชิ้นนั้นไว้ มองชิงโฉวอย่างขอความช่วยเหลือครั้งหนึ่ง
ในบรรดาพวกนาง มีเพียงชิงโฉวที่ขามีเรี่ยวแรงมากที่สุด หากนางวิ่งไปแจ้งหวังหมัวมัวสักคำได้ หวังสี่ต้องหาวิธีจัดเตรียมเรื่องหลังจากนี้ได้เป็นแน่
ชิงโฉวกลับก้มหน้าลงอย่างขออภัย
คราก่อนเป็นเพราะนางกับหงโฉวมัวแต่คุยกันจนลืมตัว เกือบปล่อยให้หลิวจ้งทำร้ายหวังซี พวกนางจึงไม่กล้าอยู่ห่างหวังซีอีก
ชิงโฉวรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ให้หงโฉวมาด้วย
นางดึงแขนเสื้อของไป๋กั่วเบาๆ
เรื่องนี้จำต้องให้ไป๋กั่วเป็นคนไปจัดการแล้ว
แม้นอาจช้าไปสักหน่อย แต่ก็ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูใหญ่แล้วนางไม่อยู่ด้วย
ไป๋กั่วร้อนใจเหลือจะกล่าว
คุณหนูของพวกนางเคยต้องทนทุกข์เช่นนี้ที่ไหนกัน
นางหันไปพยักหน้าให้ชิงโฉวน้อยๆ ก้าวออกไปยอบกายทำความเคารพหวังซีด้วยรอยยิ้มครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ วันนี้พวกท่านคงกลับไปรับมื้อเที่ยงไม่ทันเป็นแน่ ข้าจะไปแจ้งหวังหมัวมัวสักคำหนึ่ง”
นั่นจะมีประโยชน์อะไร
หวังซีถอนใจอยู่ในใจ
ด้วยความเร็วของไป๋กั่ว กว่าหวังสี่จะเร่งมาถึง ฝ่าเท้าของนางต้องเป็นแผลพุพองไปเรียบร้อยแล้ว
นางพยักหน้าอย่างหดหู่ เดินตามเฉินลั่วไปยังทางเดินขนาดเล็กกลางเขา
พระอาทิตย์ขึ้นสูง สาดส่องไปตามเทือกเขาเขียวขจี หยดน้ำค้างร่วงหล่น อากาศแห้งและร้อนแผดเผา
ระยะทางเพียงสั้นๆ แต่หลังของหวังซีกลับเปียกชื้นไปหมด
นางใช้มือบังแสงแดดไว้ตรงหน้าผาก
มือที่ขาวยิ่งกว่าหิมะคล้ายจะละลายได้
เฉินลั่วเดินไปเด็ดหญ้ามาหนึ่งกำมือเงียบๆ เพียงไม่นานก็สานเป็นมงกุฎดอกหญ้าได้หนึ่งชิ้นยื่นส่งให้หวังซี “ให้เจ้า เอาไว้บังแดด”
อย่าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วนางจะยกโทษให้เขา!
หวังซียู่ปากสวมมันไว้บนศีรษะ
แสงแดดไม่เสียดแทงตาเหมือนเมื่อครู่แล้วจริงๆ
หวังซีท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกผิด
นางควรจะแสดงท่าทีต่อต้านต่อไปไม่เปลี่ยนแปลงต่างหาก เจ้าดูตอนนี้ ผิวที่นางอุตส่าห์ดูแลมาเป็นอย่างดีถูกแดดเผาอยู่ใต้ดวงตะวัน คาดว่าเมื่อกลับไปคงเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ ยังมีแมลงตัวเล็กไม่ทราบชื่อที่กระโดดออกมาจากพงหญ้าหนาทึบนี้อีก ไม่รู้ว่ากัดคนได้หรือเปล่า…
กล่าวไปกล่าวมาล้วนเป็นเพราะนางชอบดูใบหน้าของเฉินลั่วมากเกินไป
แต่ถ้าเฉินลั่วยังทำเช่นนี้ต่อไป สักวันมันจะไม่มีอิทธิพลกับนางอีกแล้ว
รอให้ถึงตอนนั้น…
วายร้ายที่อยู่ในใจหวังซีแอบหัวเราะจนงอหงาย
คอยดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!
ขณะที่หวังซีคิดอยู่นั้นก็เผลอเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว
เด็กสาวผู้นี้กำลังคิดอะไรอีกแล้ว
เฉินลั่วที่คอยสังเกตสีหน้าของหวังซีอยู่ตลอดรู้สึกงุนงง ประเดี๋ยวนางก็กัดฟันกรอด ประเดี๋ยวก็หัวเราะคิกคัก แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นางไม่คร่ำครวญ ไม่ขมวดคิ้วพร่ำบ่นกับตัวเองก็พอ
ถือเป็นเด็กสาวที่มองโลกในแง่ดีผู้หนึ่ง
เฉินลั่วพรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าความหัวร้อนเมื่อครู่ยังนับว่าดีอยู่ ไม่ได้ยั่วยุจนบังเกิดเป็นเด็กสาวขี้แยขึ้นมา
เขาจึงแสดงความกรุณา กล่าวยิ้มๆ ว่า “เอาละ พวกเราพักกันครู่หนึ่งแล้วค่อยเดินต่อเถิด!”
หวังซีประหลาดใจ มองเฉินลั่วที่เดินมาอยู่ข้างๆ นาง
เฉินลั่วยิ้มน้อยๆ ชี้หน้าผาที่อยู่ไม่ไกลจากทางเดินขนาดเล็ก กล่าวว่า “ที่นั่นมีธารน้ำอยู่สายหนึ่ง พวกเราไปนั่งพักที่นั่นสักครู่หนึ่งได้”
หวังซีมองตามไป บนหน้าผาเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ มีธารน้ำใสสายหนึ่งไหลเอื่อยลงมาจนค่อยๆ หายลงไปในแอ่งน้ำใต้หน้าผา รอบๆ ธารน้ำใสเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่บดบังท้องฟ้าและดวงตะวัน ใต้ต้นไม้มีก้อนหินเล็กใหญ่หลากหลายรูปทรงกระจัดกระจายเต็มไปหมด ก่อกำเนิดเป็นสถานที่หย่อนใจตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง ทำให้คนมองแล้วรู้สึกสดชื่นและเย็นสบายตามขึ้นไปด้วย
“อา!” นางก้าวเท้าเดินเข้าไปด้วยความรวดเร็วอย่างเริงร่า
เฉินลั่วตะโกนอยู่ด้านหลังนางว่า “ระวังพื้นลื่น เจ้าเดินช้าลงหน่อย!”
หวังซีลดฝีเท้าให้ช้าลง ค้นพบว่าข้างๆ แอ่งน้ำก็เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำเช่นกัน นอกจากนี้น้ำในแอ่งน้ำยังใสแจ๋ว มองเห็นหินก้อนเล็กใหญ่ในน้ำได้อย่างชัดเจน เป็นหินสีดำบ้าง สีแดงบ้าง สีเขียวบ้าง สีเหลืองและสีน้ำตาลบ้าง มีทุกสีทุกทรง คล้ายมีใครไปคัดเลือกมาวางลงไปก็ไม่ปาน
นางอดไม่ได้นั่งยองลงไปกวนน้ำในแอ่งน้ำเล่น
สดชื่นเย็นสบาย ความร้อนในร่างกายลดลงไปกว่าครึ่ง
ด้านเฉินอวี้นำเสื่อที่ดูเหมือนทำจากหนังแล้วก็เหมือนทำจากผ้ากำมะหยี่มาจากที่ไหนไม่รู้สองผืนมาปูไว้บนหินสองก้อน กล่าวว่า “คุณหนูหวัง ท่านพักสักครู่หนึ่งก่อน นี่คือปลายน้ำของธารน้ำใสอันเลื่องชื่อบนเขาของวัดอวิ๋นจวีสายนั้น ท่านอยากดื่มชาหรือไม่ขอรับ”
วัดอวิ๋นจวีมีธารน้ำไหลมาจากภูเขา ว่ากันว่าได้รับเลือกจากปราชญ์ด้านน้ำชาของราชวงศ์ก่อนให้เป็นหนึ่งในสิบของน้ำที่ดีที่สุดในใต้หล้า ตระกูลชั้นสูงทรงอิทธิพลจำนวนมากในจิงเฉิงต่างให้บ่าวรับใช้มาตักน้ำจากที่นี่กลับไปต้มชาเป็นการเฉพาะ
หวังซีถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไร” ทว่าสายตากลับมองไปที่เฉินลั่ว
เฉินลั่วยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ตอนเด็กข้ามาไหว้พระที่วัดอวิ๋นจวีเป็นเพื่อนมารดาและฮองเฮาเหนียงเหนียง เจ้าอาวาสวัดอวิ๋นจวีเป็นคนบอกข้า ข้ายังเคยพาองค์ชายรองและองค์ชายสี่มาด้วย”
ซึ่งก็หมายความว่า เขาคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี
เช่นนั้นเขายังจะไปเดินเขาอยู่อีกหรือ
หวังซีพลันรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาเล็กน้อย
ความจริงผู้อื่นไม่ได้ชวนส่งๆ แต่มีการเตรียมตัวก่อนมา
หาไม่คงหาสถานที่พักเท้าเช่นนี้ไม่เจอ
กล่าวไปกล่าวมา ยังคงเป็นเพราะนางเชื่อใจเฉินลั่วน้อยเกินไป
ใช้งานใครไม่ควรสงสัย คนที่สงสัยไม่ควรใช้งาน ระหว่างพันธมิตรหากขาดซึ่งเรื่องพื้นฐานอย่างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ก็ไม่อาจทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นได้
หวังซีกระแอมไอเบาๆ อย่างรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย กล่าวอย่างพยายามปกปิดความเก้อกระดากว่า “พวกเจ้าเอากาน้ำและชามาด้วยหรือ นั่งดื่มชาตรงนี้สักถ้วย กินขนมสักสองสามชิ้นก็ไม่เลวเหมือนกัน”
ที่สำคัญคือใกล้ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว บนเขาย่อมไม่มีอาหารร้อนๆ ให้กิน รองท้องไปก่อนก็ดีเหมือนกัน
เฉินอวี้ขานรับคำ หมุนกายเดินจากไป ไม่นานก็พาบ่าวร่างกำยำมาด้วยสองคน ถือกาดินเผาสีแดงและชุดน้ำชามาด้วย
หวังซีไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเฉินลั่วเท่าไรนัก นั่งดื่มชาและกินขนมไปสองชิ้นอย่างผ่อนคลายเสร็จแล้ว ก็เดินขึ้นเขากันต่อพร้อมกับเฉินลั่ว
ทางเดินที่เฉินลั่วเลือกล้วนเป็นถนนเส้นเล็กทั้งสิ้น แต่หลังจากที่เดินผ่านทางเดินที่แดดแผดเผาคนมากที่สุดตอนแรกเริ่มไปแล้ว ตลอดทางที่เหลือล้วนแล้วแต่เป็นทางเดินที่มีเงาไม้ร่มรื่น ยังมีสายลมจากภูเขาพัดผ่านมา อากาศเย็นสบาย รื่นรมย์กว่านั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่นในวัดอวิ๋นจวีเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้นเดินไปอีกไม่เท่าไร พวกเขาก็พักใหม่อีกครั้งหนึ่ง
สถานที่พักเท้าของพวกเขาครานี้เป็นศาลาแปดเหลี่ยมที่ถูกต้นไม้บดบังเอาไว้ เมื่อนั่งอยู่บนราวของศาลาแปดเหลี่ยม มองเห็นวัดอวิ๋นจวีที่ตั้งอยู่ตรงเชิงเขาได้ รวมถึงหมู่บ้านตรงเชิงเขาด้วย
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเรารับมื้อกลางวันกันตรงนี้เลยก็แล้วกัน”
หวังซีมองเขาอย่างประหลาดใจ
เขาเม้มปากกลั้นหัวเราะ ในตาฉายความซุกซนเจ้าเล่ห์ออกมา “เจ้าคงไม่ได้คิดว่ามากับข้าก็เหมือนออกไปทำสงคราม ได้แต่แทะอาหารแห้งเท่านั้นหรอกกระมัง ที่นี่มิใช่ต้าถงหรือจี้โจว แต่ที่นี่คือจิงเฉิง! พูดกันอย่างคร่าวๆ มีภัตตาคาร หอสุราและวัดที่รับทำอาหารอยู่มากมาย”
จริงด้วย! จิงเฉิงคือสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในใต้หล้า ต่อให้รกร้างเปล่าเปลี่ยวก็จะรกร้างเปล่าเปลี่ยวได้ถึงไหนกันเชียว
หวังซีรู้สึกว่าตอนที่เฉินลั่วกล่าวถ้อยคำนี้ดูมีเจตนาชั่วร้ายซ่อนเร้นอยู่ นางถลึงตาใส่เฉินลั่วครั้งหนึ่ง
เฉินลั่วหมุนกายกลับไป หัวเราะจนไหล่สั่นระริกไม่หยุด
หวังซีมองแล้วหัวเราะตามขึ้นมาด้วย
นางควรจะเชื่อใจเฉินลั่วให้มากกว่านี้ถึงจะถูก!