เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 147 เปิดเผย
เข้าใจเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องที่ตระกูลหวงหยามเกียรติพวกนางก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน
นายหญิงสามยังคงรู้สึกไม่สบายใจ
เหยียนฮูหยินชราจึงจับมือของนายหญิงสามเอาไว้ กล่าวด้วยความจริงใจอีกครั้งหนึ่งว่า “เรื่องนี้ล้วนเป็นความผิดของพวกข้าทั้งหมด ข้ากับสะใภ้ต้องขอโทษพวกเจ้าแล้ว”
ต่อให้นายหญิงสามจะขุ่นเคืองใจมากเพียงใด ก็ไม่อาจคิดบัญชีกับผู้อาวุโสเช่นนี้ได้
นางจำต้องพึมพำกล่าวว่า “พวกท่านเองก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเช่นนี้”
หวังซีกลับรู้สึกว่าไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้จบไปง่ายๆ เช่นนี้ นางมองซ้ายมองขวา เห็นมีสาวใช้เด็กเข้ามาตั้งน้ำชาและของว่าง จึงลุกขึ้นมา ยิ้มพลางเข้าไปช่วยสาวใช้เด็กยกน้ำชาไปวางข้างมือเหยียนฮูหยินชรา
เหยียนฮูหยินชราเองก็สังเกตเห็นนางแล้วเช่นกัน
นางเผยรอยยิ้มหวานออกมาทันที จ้องมองด้วยดวงตาเฉลียวฉลาดแต่ก็เผยความไร้เดียงสาออกมาให้เห็นด้วยหลายส่วนพลางกระซิบถามว่า “ฮูหยินชราเจ้าคะ เรื่องนี้ช่างน่าเหลือเชื่อนัก! เหตุใดท่านถึงถูกใจพี่สาวสี่ของข้า? เรื่องเล่านี้ เหมือนกับที่เขียนเอาไว้ในหนังสือนิทานไม่มีผิด ไม่สิ ดูซับซ้อนกว่าที่เขียนเอาไว้ในหนังสือนิทานอีกเจ้าค่ะ”
ความจริงแล้วเวลาพวกผู้ใหญ่คุยกันเด็กๆ ไม่ควรกล่าวแทรก แต่ไม่อาจต้านทานท่าทางไร้เดียงสาที่ชวนเพ้อฝันของหวังซีได้ เหยียนฮูหยินชรามองแล้วก็รู้สึกชื่นชอบ กล่าวยิ้มๆ กับนางด้วยสีหน้าใจดีว่า “จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าด้วย!”
ไม่ใช่แล้วกระมัง นางก็แค่อยากช่วยฉังเคอถามให้ชัดเจนเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะลากตัวเองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
นางรีบถาม “ฮูหยินชราหมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ”
เหยียนฮูหยินชราค่อยๆ กล่าว “ที่งานเลี้ยงของวังหลวงในวันนั้นฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงยุ่งกับการเรียกสตรีชั้นสูงทุกคนเข้าเฝ้า ข้ากับสะใภ้ล้วนเป็นคนพูดไม่เก่ง กลัวจะรบกวนสุนทรียภาพของฮองเฮาเหนียงเหนียง จึงไปเดินเล่นด้านนอก”
เพราะกลัวรบกวนสุนทรียภาพของฮองเฮาเหนียงเหนียงหรือว่ากลัวถูกดึงเข้าสู่การช่วงชิงของพระราชวังกันแน่นั้น เกรงว่าคงเป็นการพูดโน้มน้าวให้คนเชื่อมากกว่า!
หวังซีวิจารณ์อยู่ในใจ ไม่เชื่อท่าทางอบอุ่นอ่อนโยนไร้พิษภัยของเหยียนฮูหยินชราและเหยียนฮูหยินอย่างที่พวกนางแสดงออกมา
“ใครจะรู้ว่าเดินไปเรื่อยๆ จะเห็นเด็กสาวสวมชุดแดงคนหนึ่ง หน้าตางดงามอย่างแท้จริง” เหยียนฮูหยินชรากล่าวยิ้มๆ “คาดว่าพวกเจ้าคงเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่าพวกข้ามีเด็กชายมากเด็กสาวน้อย ข้ากับสะใภ้ต่างรู้สึกชมชอบเหลือจะกล่าว จึงตั้งใจเดินอ้อมไปดูสักหน่อย พอเห็นก็ให้รู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่ง เด็กสาวผู้นี้งดงามกว่าที่พวกข้าจินตนาการเอาไว้เสียอีก…
…ตอนนั้นพวกข้าจึงคิดกันว่า อย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ มิสู้ไปคุยกับเด็กสาวคนนี้สักสองสามประโยคดีกว่า ดูว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นลูกหลานของบ้านใด”
นี่คือการอยากหาอะไรทำฆ่าเวลาตอนที่รู้สึกเบื่อหน่ายมากกว่า!
หวังซีประชดประชัน
นายหญิงสามกลับถามขึ้นว่า “ที่เหยียนฮูหยินชรากล่าวมาหมายถึงคุณหนูต่างสกุลของพวกข้าหรือ”
เหยียนฮูหยินชราพยักหน้า กล่าวต่อว่า “ไม่คิดว่าตอนที่ข้าไปตามหาอีกครั้ง ก็ไม่เห็นคุณหนูหวังแล้ว กลับเห็นคุณหนูสี่ของพวกท่านแทน” กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้านางดูไร้ทางเลือกเล็กน้อย “ตอนนั้นคุณหนูสี่ของพวกท่านกำลังคุยเรื่องเกี่ยวกับการแต่งงานของคนกับคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวอยู่”
นายหญิงสามมองฉังเคอครั้งหนึ่งอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
ฉังเคอรู้สึกขมขื่นยิ่งนัก
นางแอบกระซิบกระซาบกับสหายเป็นการส่วนตัว ผู้ใดจะรู้ว่าจะมีคนมาได้ยิน?
นางก้มหน้าลงอย่างคนอยู่ในโอวาท แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“ข้าได้ยินคุณหนูสี่พูดว่า งานแต่งจะดีหรือร้าย ก็เหมือนใส่รองเท้า มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้” เหยียนฮูหยินชรากล่าว “ยังกล่าวด้วยว่า ใต้ผืนฟ้านี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ การแต่งงานที่ประสบความสำเร็จห้าถึงหกส่วนได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว ส่วนที่เหลือก็ต้องดูว่าเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างไร…
…ข้ารู้สึกว่าเด็กสาวผู้นี้กล่าวได้มีเหตุผลยิ่ง จึงทดเอาไว้ในใจ ให้คนไปสอบถามมาครั้งหนึ่ง ถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็เป็นคุณหนูสี่ของพวกเจ้านี่เอง”
เหยียนฮูหยินที่อยู่ด้านข้างพยักหน้า กล่าวต่อจากคำพูดของแม่สามีว่า “ประจวบเหมาะกับที่ตระกูลหวงมาขอให้พวกข้าช่วยเป็นแม่สื่อให้คุณชายหวง ข้ากับแม่สามีเห็นตรงกัน รู้สึกว่าคุณหนูสี่ของพวกท่านนั้น นอกจากเฉลียวฉลาดและหน้าตางดงามแล้ว ยังเฉียบแหลมมองอะไรทะลุปรุโปร่ง ถึงได้บังเกิดความคิด ไปทาบทามงานแต่งครั้งนี้ขึ้นมา…
…ผู้ใดจะรู้ว่าคุณชายหวงจะไม่รู้ความขนาดนี้ นอกจากเปลี่ยนใจอย่างง่ายดายแล้ว ผู้อาวุโสของตระกูลหวงก็เลอะเลือนตามเขาไปด้วย”
กล่าวจบ นางถอนหายใจติดๆ กันสองครั้ง กล่าวอีกว่า “ตระกูลหวงทำเช่นนี้ใช้การไม่ได้ ในระยะยาวคงไปได้ไม่ไกล”
หวังซีเองก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน นางคิดว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทั้งสองครอบครัวก็อย่าติดต่อกันอีกเลย
เพียงแต่ว่านางไม่อาจตัดสินใจแทนนายหญิงสามได้ ทำได้แค่มองนายหญิงสามครั้งหนึ่งเท่านั้น
โชคดีที่นายหญิงสามรักใคร่บุตรสาว กับตระกูลหวงก็ดี กับบ้านรองก็ดี ล้วนรังเกียจเหลือจะกล่าว ถือโอกาสบอกตระกูลเหยียนว่า “ในเมื่อไม่มีวาสนาต่อกันแล้ว ต่อไปพวกข้ากับตระกูลหวงนั้น ติดต่อกันให้น้อยเข้าไว้จะดีกว่า!”
เนื่องจากตอนนี้บ้านสามอาศัยอยู่ในจวนหย่งเฉิงโหว และไม่อาจย้ายออกไปได้ทันทีในเวลาอันสั้นด้วย บ้านสามกับบ้านรองนั้นเงยหน้าไม่เจอก้มหน้าก็ต้องเจอกันอยู่ดี ต่อให้นายหญิงสามอยากตัดขาดกับบ้านรองก็เป็นไปได้ยาก นางถึงใช้โอกาสตอนที่คนตระกูลเหยียนรู้สึกผิดต่อนางนี้ เสนอความต้องการที่มีต่อตระกูลหวงขึ้นมาข้อหนึ่ง
เหยียนฮูหยินชรารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของฝั่งตัวเองทั้งหมด จึงรับปากทันทีโดยไม่ต้องคิด
นายหญิงสามวางความกังวลในใจลงมาได้ สนทนากับเหยียนฮูหยินชราและเหยียนฮูหยินครู่หนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะคุยกันได้อย่างออกรส
ตระกูลเหยียนอยากชดเชยให้ฉังเคอ เหยียนฮูหยินลากนายหญิงสามไปตัดชุด
นายหญิงสามไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลเหยียนมากเกินไป อย่างไรก็ไม่ยินยอม
หวังซีกลับมองความนึกคิดของตระกูลเหยียนได้อย่างกระจ่างแจ้ง คิดว่าหากไม่ให้พวกนางชดเชยตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าพวกนางจะคิดอย่างไร ต่อให้อยากขีดเส้นแบ่งกับตระกูลเหยียนให้ชัดเจนก็เกรงว่าคงไม่ง่ายนัก ไม่สู้รับเอาไว้อย่างสงบ เมื่อตระกูลเหยียนสบายใจแล้ว เรื่องนี้ก็จะผ่านพ้นไปเอง
นายหญิงสามฟังที่หวังซีโน้มน้าวแล้ว แม้นรู้สึกไม่สบายใจเท่าไร แต่ก็ยังคงช่วยเลือกเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้ฉังเคอกับหวังซีหลายชุด
หลังจากส่งแม่สามีและสะใภ้สกุลเหยียนกลับไปแล้ว หวังซีกล่าวกับนายหญิงสามว่า “ข้ามีเสื้อผ้ามากมาย ท่านไม่ต้องทำให้ข้าหรอก ตัดให้พี่สาวสี่ทั้งหมดเลยดีกว่า”
มีเพียงนางที่ยังไม่ได้กำหนดเรื่องงานแต่ง ต่อไปนางคงได้ติดตามผู้อาวุโสออกไปเข้าสังคมร่วมงานเลี้ยงอีกบ่อยครั้ง จะได้ใช้ประโยชน์
นายหญิงสามยืนกรานว่าไม่ได้ ยังกล่าวด้วยว่า “เจ้าจะไม่ให้ข้าได้นอนหลับสนิทเลยหรือ แม้นเจ้าอายุน้อย แต่เรื่องของอาเคอนี้ข้ากระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่าล้วนพึ่งพาเจ้าทุกอย่าง เจ้าเอาใส่ใจนางยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ ของนางเสียอีก หัวใจดวงนี้ของข้ารับรู้มันได้ดี! หากจะกล่าวโทษก็กล่าวโทษที่ป้าสะใภ้สามกับลุงสามของเจ้าไร้ความสามารถ ไม่อาจช่วยเหลืออะไรเจ้าได้เลย หากแม้แต่สิ่งของเจ้ายังไม่ยอมรับไว้ เจ้าจะให้ข้าเอาใบหน้าชรานี้ไปวางที่ไหน!”
หวังซีไม่มีทางเลือก จำต้องตามฉังเคอไปตัดอาภรณ์มากองหนึ่ง
เมื่อกลับถึงจวน พวกนางบังเอิญเจอกับฉังหนิงที่ไม่ได้พบมานาน
นางทำความเคารพนายหญิงสามครั้งหนึ่งอย่างไม่ประจบแต่ก็ไม่โอหัง แต่เมื่อนายหญิงสามจากไป นางกลับกล่าวกับฉังเคออย่างใจร้ายว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะขังตัวเองไว้ไม่ออกไปไหนเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะใจกล้าถึงเพียงนี้ วิ่งไปตัดชุดที่ห้องเสื้อเมฆาคำนึงได้ คาดว่าบ้านรองคงชดเชยเงินให้เจ้าไม่น้อยเลยกระมัง!”
ฉังเคอโกรธจนตัวสั่นไม่หยุด พูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่
หวังซีเห็นแล้วช่วยทวงความอยุติธรรมแทนนาง กล่าวขึ้นอย่างเย็นชาอยู่ด้านข้างทั้งที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองว่า “ของเล่นที่เน่าเปื่อยแล้ว ผู้ใดต้องการก็ลากเอาไป ควรค่าให้พวกข้าต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับที่ไหนกัน ส่วนเงินค่าตัดชุด ขอเพียงข้าไม่ต้องออกเงินเอง ข้าคิดๆ แล้วก็รู้สึกมีความสุขมากจริงๆ พี่สาวรองกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
“เจ้ามันคนปากงูพิษ” ฉังหนิงด่าหวังซี หวังซีกลับลากมือฉังเคอเดินจากไป
ฉังหนิงกระทืบเท้า ทว่าไม่กล้าไปฟ้องโหวฮูหยิน กลัวโหวฮูหยินจะขังนางไว้ในเรือนอีก
ส่วนงานแต่งของฉังเหยียน นางก็ดูแคลนไม่ต่างกัน นอกจากไม่ไปกล่าวแสดงความยินดีกับฉังเหยียนแล้ว ยังถามซือจูว่า “ดีร้ายทุกคนก็เป็นพี่น้องกัน เจ้าก็ไม่ห้ามปรามฉังเหยียนสักหน่อย หากเรื่องแพร่ออกไป ชื่อเสียงทุกคนล้วนแย่ไปด้วย!”
ซือจูนั่งอยู่หน้ากระจก จัดปิ่นชนิดต่างๆ ในกล่องอย่างตั้งใจไปด้วย กล่าวอย่างไม่ยี่หระไปด้วยว่า “ใต้หล้านี้มีกำแพงที่สายลมไม่พัดผ่านด้วยหรือ นางเคยทำอะไรไว้ ช้าเร็วทุกคนก็รู้เอง เหตุใดข้าต้องช่วยปกปิดให้นางด้วย อีกอย่าง นายหญิงรองของพวกเจ้าวางตัวเป็นคนสง่างามมีคุณธรรมสูงส่งผู้หนึ่ง พูดจาน่าฟังกว่าใครทั้งหมด ทว่าการกระทำกลับไร้ซึ่งคุณธรรม ตอนแรกขโมยงานแต่งของตระกูลหันไป บัดนี้ก็ขโมยงานแต่งของตระกูลหวงไปอีก มีแค่เจ้าเท่านั้นที่ไม่รู้จักใช้สมอง ตอนนี้ยังมาเรียกร้องความยุติธรรมให้บ้านสามอยู่ตรงนี้อีก”
ความหมายโดยนัยก็คือ หากนางมีเวลาว่างนักไม่สู้ไปสนใจเรื่องของบ้านหลักดีกว่า
ฉังหนิงสะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความโกรธ
ซือจูร้อง “ชิ” คำหนึ่ง รู้สึกว่าจวนหย่งเฉิงโหวไม่มีคนปกติเลยจริงๆ นางอยากจะรีบออกไปจากที่นี่เหลือเกิน
แน่นอนว่าหวังซีย่อมไม่รู้ว่าฉังหนิงกับซือจูคุยอะไรกันบ้าง นางเห็นว่าช่วงนี้อากาศดี จึงชวนคุณหนูพานกับฉังเคอมาทำน้ำปรุงรสเห็ดปลวกด้วยกัน
น้อยนักที่คุณพานจะได้ทำกิจกรรมประเภทนี้ จึงสนใจมาก วิ่งมาช่วยในครัวคัดเลือกเห็ดปลวกตั้งแต่เช้าตรู่
แม่ครัวที่หลงจู๊ใหญ่สกุลหวังส่งมาให้กำลังให้คำแนะนำพวกนางอยู่ตรงนั้น “เห็ดปลวกต้องเล็ก จะให้ดีที่สุดหัวต้องสีดำ ใบต้องไม่แตกมาก…”
พวกนางนั่งทำงานหัวชนกันอยู่ใต้ซุ้มองุ่นในลานบ้าน ไป๋กั่ววิ่งเข้ามา กล่าวว่า “คุณหนูใหญ่จวนเจียงชวนป๋อมาหาเจ้าค่ะ บอกว่ามีเรื่องด่วนต้องการพบท่าน”
หวังซีแปลกใจ รีบวางตะกร้าหวายลง บอกกล่าวคุณหนูพานกับฉังเคอครั้งหนึ่งแล้วเดินไปที่โถงรับรอง
“พี่สาวหวัง พี่สาวหวัง!” ลู่หลิงสวมเสื้อคาดอกสีม่วงครามขอบลายดอกไม้กลางเก่ากลางใหม่ตัวหนึ่ง ด้านล่างเป็นกระโปรงจีบผ้าไหมหังโจวสีขาว บนมวยผมทั้งคู่ปักดอกหอมหมื่นลี้สีทองเรืองรองเอาไว้สองช่อ แต่งกายด้วยชุดอยู่บ้าน จากที่ไกลๆ นางก็ได้กลิ่นหอมเข้มข้นของดอกหอมหมื่นลี้แล้ว
หวังซีตกใจมาก ถามขึ้นว่า “นี่เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หนึ่งไม่ส่งเทียบมาแจ้งก่อน และสองไม่แต่งกายให้เรียบร้อยก็วิ่งออกมาหานางด้วยสภาพเช่นนี้แล้ว
ลู่หลิงรีบคล้องแขนของหวังซีเอาไว้ กล่าวว่า “พี่สาวสี่ฉังคงไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกกระมัง ข้าได้ยินคนพูดกันว่า คนที่พี่สาวสามฉังหมั้นหมายด้วยผู้นั้นความจริงแล้วถูกใจพี่สาวสี่ฉังก่อน นอกจากงานแต่งของนางจะล้มเหลวแล้ว หย่งเฉิวโหวฮูหยินผู้เฒ่ายังชดเชยเงินให้พี่สาวสี่ฉังเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
หวังซีขมวดคิ้ว ถามขึ้นว่า “ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้า”
ข่าวคราวนี้แพร่กระจายได้เร็วเกินไปแล้ว
“คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวเป็นคนบอกข้า” ลู่หลิงลดเสียงลง “เห็นบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าของจวนหย่งเฉิงโหวเป็นคนเล่าให้ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกนางฟัง หย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่าช่างเลอะเลือนเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจเอาไปพูดไปทั่ว บัดนี้มีคนเริ่มกระจายเรื่องนี้กันแล้ว ต่อไปจะให้พี่สาวสามฉังกับพี่สาวสี่ฉังทำตัวเช่นไร!”
หวังซีหัวเราะยินดีกับความโชคร้ายของผู้อื่น
เป็นจริงตามนั้น เมื่อเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปทั้งฉังเหยียนและฉังเคอล้วนต้องเสียหน้าด้วยกันทั้งสิ้น แต่ฉังเหยียนน่าจะเป็นทุกข์มากกว่า เมื่อก่อนนางอยากแต่งเข้าจวนเซียงหยางโหว ผลปรากฏว่านางถูกย่าแท้ๆ ของตัวเองตบหน้า นอกจากนางจะไม่ได้แต่งเข้าจวนเซียงหยางโหวแล้ว ย่าของนางยังทำให้คนจวนเซียงหยางโหวรู้ว่านางขโมยงานแต่งของน้องสาวอีก
เกรงว่านี่คงเป็นอะไรที่แม้แต่ในความฝันนางก็ยังคิดไม่ถึงเลยกระมัง
หวังซีรู้สึกว่ายายของนางผู้นี้ก็มีอะไรให้น่าสนุกเหมือนกัน พลันรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าของจวนหย่งเฉิงโหวไม่ได้น่ารังเกียจขนาดนั้นแล้ว
ลู่หลิงเห็นท่าทีของหวังซีก็รู้แล้วว่าที่คนลือกันข้างนอกนั่นเป็นเรื่องจริง ทันใดนั้นนางก็กล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “พี่สาวหวัง พี่สาวหวัง ข้าจะเป็นแม่สื่อให้พี่สาวสี่ฉังเอง หากเจ้าฟังแล้วรู้สึกว่าใช้ได้ ข้าจะไปคุยกับท่านย่าของข้า รับรองว่าพึ่งพาได้มากกว่าตระกูลหวงขี้ปะติ๋วอะไรนั่นร้อยเท่าพันเท่า!”
…………………………………………………………………..
ตอนต่อไป