เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 156 ดันกลับ
เฉินลั่วได้ยินแล้วเกิดอาการตกตะลึง
สิ่งที่หวังซีกลัวที่สุดคือการที่นางพูดแล้วไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับจากผู้อื่น จึงไม่สนใจว่าเฉินลั่วกำลังใช้ความคิดอยู่หรือไม่ ตบบ่าของเขาเบาๆ พร้อมกับร้อง “นี่” เสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าพูดถูกหรือไม่ถูก ดีร้ายเจ้าก็ตอบข้ามาสักประโยคหนึ่ง!”
เฉินลั่วได้สติคืนกลับมา เงยหน้าขึ้นมองหวังซี กล่าวว่า “เจ้ากล่าวได้มีเหตุผลยิ่ง ข้ากำลังคิดตามคำพูดของเจ้าอยู่!”
หวังซีพอใจแล้วจึงนั่งลงข้างกายเฉินลั่วอีกครั้ง เอามือเท้าคางพลางกล่าว “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นแบบใด”
เฉินลั่วกำลังขบคิดสิ่งที่หวังซีพูดอยู่ในใจ ณ เวลานี้จำต้องละทิ้งเรื่องเป็นผู้ใหญ่หรือไม่เป็นผู้ใหญ่ไปก่อน หยิบยกเรื่องราวออกมาถกกับหวังซี “ข้ารู้สึกว่าฮ่องเต้คงไม่ได้คิดจะแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อจริงๆ เจ้าลองคิดดู การแต่งตั้งรัชทายาทของราชสำนักนั้นให้ความสำคัญกับโอรสองค์โตที่ถือกำเนิดจากชายาเอก องค์ชายใหญ่เป็นโอรสองค์โต หากมารดาของเขาเป็นชายาเอก ยังจะมีอะไรให้ต้องถกเถียงกันอีก? ต่อให้ชิ่งอวิ๋นโหวคิดหาแผนการอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์…
…หากฮ่องเต้ประสงค์จะแต่งตั้งองค์ชายใหญ่จริง ก็แค่ต้องแต่งตั้งมารดาขององค์ชายใหญ่เป็นฮองเฮา เช่นนี้ปัญหาทั้งหมดก็ได้รับการแก้ไขแล้ว…
…แต่การแต่งตั้งมารดาขององค์ชายใหญ่เป็นฮองเฮานั้นเป็นเรื่องของเสนาบดีทั้งหกกรม การเรียกหม่าซานกลับมาจะทำอะไรได้?…
…แล้วการรั้งข้าไว้ที่จิงเฉิงมีประโยชน์อะไร?…
…หรือว่าจะใช้ข้าเป็นกับดักทำลายองค์ชายรอง?”
เสียงพูดของเขายังไม่ทันสิ้นสุดลง รูม่านตาของหวังซีก็หดเล็กลงเนื่องจากตกใจมากเกินไปจนดูคล้ายลูกแมวตัวหนึ่ง
ทั้งสองคนสบตากันครั้งหนึ่งด้วยดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
จริงด้วย ประโยชน์สูงสุดของการรั้งเฉินลั่วไว้ในเมืองหลวงก็คือใช้เขาเป็นกับดักทำลายองค์ชายสักพระองค์หนึ่ง เขาสนิทสนมกับองค์ชายรองมากที่สุด คนที่จะถูกทำลายได้ง่ายที่สุดก็คือองค์ชายรองแล้ว แต่นั่นก็ต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่องค์ชายรองไปขวางทาง
ถ้ามารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายใหญ่ได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา องค์ชายรองก็ไม่เป็นที่น่าหวาดหวั่นอีก ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เฉินลั่วเป็นกับดักทำลายเขาแล้ว
หวังซีอดพึมพำกล่าวไม่ได้ว่า “บางทีที่ใช้เจ้าเป็นกับดักทำลายองค์ชายรอง เพราะต้องการบีบบังคับให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงหรือไม่ก็ชิ่งอวิ๋นโหวยอมจำนน?”
เฉินลั่วปรายตามองนางครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ข้ามิใช่ทั้งโอรสของฮองเฮาเหนียงเหนียงและบุตรชายของชิ่งอวิ๋นโหว”
“จริงด้วย!” หวังซีกล่าวเสียงเบา รู้สึกว่าการคาดเดาของตัวเองไร้เหตุผลไปสักหน่อย หันไปยิ้มให้เขาอย่างเก้อเขิน กล่าวว่า “ต่อให้เจ้าเป็นโอรสของฮองเฮาเหนียงเหนียงหรือบุตรชายของชิ่งอวิ๋นโหว แต่ในตระกูลใหญ่ตระกูลโตนั้น พวกเขาย่อมตัดหางเพื่อรักษาชีวิตรอด คาดว่าคงไม่มีทางช่วยชีวิตเจ้า หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ไม่แน่ว่าคนที่ดีใจที่สุดก็คือพวกเขา ได้โยนข้อกล่าวหาไปให้เจิ้นกั๋วกงหรือไม่ก็จ่างกงจู่ กับจ่างกงจู่ยังจัดการง่าย แต่เจิ้นกั๋วกงกับชิ่งอวิ๋นโหวไม่ถูกกันมาโดยตลอดมิใช่หรือ”
เฉินลั่วมองนางครั้งหนึ่ง ราวกับกำลังพูดว่า ‘นับว่าเจ้ายังใช้สมองขบคิดอยู่บ้าง’
หวังซีหัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นฮ่องเต้ไม่ได้คิดจะแต่งตั้งองค์ชายใหญ่ด้วยใจจริง ก็แสดงว่าต้องการแต่งตั้งองค์ชายเจ็ด?”
เดิมทีเป็นเรื่องที่นางมั่นใจมาก แต่เมื่อถูกเฉินลั่วมองด้วยสายตาเมื่อครู่จึงสูญเสียความมั่นใจไปเล็กน้อย ก็เลยขอความเห็นจากเขา
เฉินลั่วรู้สึกมาโดยตลอดว่าฮ่องเต้รักองค์ชายเจ็ดมากเกินปกติ ดูไม่เหมือนคนต้องการเหลือทางเดินในอนาคตให้สนมรัก ไม่เหมือนคนต้องการตระเตรียมชีวิตในอนาคตให้องค์ชายเจ็ด แต่เหมือนต้องการแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นไท่จื่อมากกว่า เวลานี้ความคิดดังกล่าวก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
แต่นี่ก็เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ไม่มีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์การคาดเดาของเขาได้
บางครั้งบางเรื่องราว ความคลาดเคลื่อนเพียงน้อยนิดอาจนำไปสู่ความผิดพลาดอันใหญ่หลวงได้
เขากล่าวด้วยความลังเลเล็กน้อยว่า “กล่าวได้ว่าเป็นเช่นนั้นกระมัง”
หวังซีนั้นรู้สึกมาโดยตลอดว่าฮ่องเต้ต้องการแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นไท่จื่อ หาไม่คงไม่มีทางกระทำเรื่องราวมากมายอย่างอ้อมค้อมไปมาเช่นนี้
เมื่อนางได้รับคำยืนยันแล้ว ก็กล่าวขึ้นด้วยอาการตื่นเต้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวาว่า “เช่นนั้นแล้วข้าว่าคงเป็นเช่นนี้ เหมือนอย่างที่พวกเราเคยคุยกันก่อนหน้านี้ หากฮ่องเต้ต้องการแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นไท่จื่อ ถ้ามิใช่กำจัดฮองเฮาเหนียงเหนียง ก็ต้องกำจัดเหล่าเชษฐาที่อยู่ก่อนหน้าองค์ชายเจ็ดทิ้งไป การกำจัดเหล่าเชษฐาที่อยู่ก่อนหน้าองค์ชายเจ็ดทิ้งไปนั้น ความสูญเสียใหญ่หลวงเกินไป ฐานรากถูกทำลายได้ง่าย อาจปลุกเร้าการต่อต้านจากเหล่าขุนนางและความตื่นตระหนกของเชื้อพระวงศ์ ก่อความยุ่งยากมากเกินไป…
…อีกทั้งฮ่องเต้ยังประชวรด้วยโรคพระทัยสั่น ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ว่าเขาจะยืนหยัดได้ถึงเมื่อไร นั่นจึงต้องรีบตัดจบปัญหาในดาบเดียว ให้ได้ผลลัพธ์โดยเร็วที่สุด…
…จะให้ดีที่สุดคือกำจัดฮองเฮาเหนียงเหนียง แต่งตั้งมารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายเจ็ดเป็นฮองเฮา เช่นนี้แล้ว องค์ชายเจ็ดก็จะกลายเป็นโอรสที่ถือกำเนิดจากชายาเอก ส่วนองค์ชายรองมีมารดาที่มีความผิด องค์ชายใหญ่ไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ฮ่องเต้สมปรารถนาอย่างสบายพระทัยโดยที่ไม่ต้องสูญเสียองค์ชายแม้แต่พระองค์เดียว”
เฉินลั่วพยักหน้า รู้สึกว่าหวังซีกับตนคิดเห็นไปในทางเดียวกันอีกครั้งหนึ่งแล้ว
เหมือนคนสองคนที่มีความคิดตรงกัน เขาจึงกล่าวต่อจากสิ่งที่หวังซีพูดโดยไม่รู้ตัวว่า “การกำจัดฮองเฮาเหนียงเหนียงมีคนเป็นอุปสรรคอยู่สองคน คนแรกคือชิ่งอวิ๋นโหวและอีกผู้หนึ่งคือองค์ชายรอง ในจำนวนนี้ คนที่สำคัญที่สุดคือชิ่งอวิ๋นโหว ขอเพียงชิ่งอวิ๋นโหวขยับเขยื้อนไม่ได้ องค์ชายรองก็ไม่เป็นที่น่าหวาดหวั่นอีก”
“เช่นนั้นชิ่งอวิ๋นโหวคือบุคคลที่สำคัญที่สุดแล้ว!” หวังซีพยักหน้าหงึกๆ กล่าวว่า “ข้าจำได้เจ้าเคยบอกว่า กองบัญชาการทหารทั้งห้านั้นมีเจิ้นกั๋วกงของพวกเจ้า ชิงผิงโหว เว่ยกั๋วกงและหย่งเฉิงโหว หย่งเฉิงโหวนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง ผลงานไม่มี ความสามารถไม่ปรากฏ ไร้ซึ่งคุณสมบัติ เป็นเพียงคนที่มาเติมตำแหน่งให้เต็มเท่านั้น”
เฉินลั่วระเบิดหัวเราะออกมาในทันที กล่าวว่า “มีใครกล่าวถึงลุงของตัวเองเช่นเจ้าบ้าง”
“ไอยา!” หวังซีหันไปขยิบตาใส่เฉินลั่ว “ผู้อื่นหาได้ยอมรับข้าเป็นหลานสาว ต่อหน้าบุคคลภายนอกล้วนแล้วแต่บอกว่าข้าเป็นเพียงญาติจากตระกูลเดิมของฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น! เจ้าดูข้ากับซือจูดีต่อกันมากเพียงใด ที่ผ่านมาไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ราชาไม่พบปะราชา ต่างคนต่างอยู่”
สีหน้าเจ้าเล่ห์ซุกซนของนางทำเอาเฉินลั่วหัวเราะออกมาดังลั่น ครู่ใหญ่ถึงกล่าวว่า “เจ้าพูดถูก หย่งเฉิงโหวก็เป็นเพียงคนที่มาเติมตำแหน่งให้เต็มเท่านั้น ส่วนเว่ยกั๋วกงไม่สนใจเรื่องต่างๆ มานานแล้ว ชิงผิงโหวก็เป็นขุนนางมือสะอาด ไม่มีทางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องในบ้านของฮ่องเต้จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังเขา”
กล่าวถึงตรงนี้ เขากับหวังซีต่างสั่นสะท้าน นั่งตัวตรงขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
หวังซีถามอย่างลังเลว่า “เพราะเหตุนี้ งานแต่งของคุณหนูรองอู๋ถึงได้ราบรื่นขนาดนั้นใช่หรือไม่”
เฉินลั่วพยักหน้า สีหน้าไม่น่าดูเล็กน้อย
จึงเหลือเพียงเจิ้นกั๋วกงแล้ว
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ต่อให้เจิ้นกั๋วกงไม่ชอบเขาหรือไม่ยอมรับเขาอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นคุณชายรองของจวนเจิ้นกั๋วกงอยู่ เฉินอวี๋ในฐานะคนเป็นพ่ออย่างไรก็ไม่อาจลอยตัวอยู่เหนือปัญหาได้
“ที่แท้ข้าก็ยังมีประโยชน์เช่นนี้อยู่” เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ทว่าในรอยยิ้มมีความขมขื่นและรวดร้าวอยู่ด้วย
หวังซีมองแล้วปวดหัวใจยิ่งนัก
เฉินลั่วเองก็เคยปรารถนาความรักของบิดามาก่อนกระมัง?
เคยอยากเป็นบุตรชายที่ทำให้บิดาภูมิใจและยอมรับผู้หนึ่งกระมัง?
ผู้ใดจะคิดว่า เขากลับทำได้แค่ใช้วิธีเช่นนี้ในการดึงดูดความสนใจของเจิ้นกั๋วกงเท่านั้น?
หวังซีอยากปลอบโยนเฉินลั่วสักหน่อย แต่เมื่ออ้าปาก กลับไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไรดี
ความเจ็บปวดบางอย่างมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ ล่วงเลยวัยที่ต้องการความรักและการปลอบโยนมานานแล้ว บางทีเขาอาจอยากลืมมันมากกว่าก็เป็นได้?
ไม่อยากมองเห็นตัวเองคนที่แม้นโง่เขลาแต่ก็ยังคงไร้เดียงสามากผู้นั้น?
หวังซีไม่ค่อยมั่นใจนัก จึงไม่เอ่ยถึง กล่าวว่า “ฮ่องเต้ต้องใช้เจิ้นกั๋วกงเป็นตัวถ่วงดุลอำนาจกับชิ่งอวิ๋นโหวอย่างแน่นอน มีเพียงเจิ้นกั๋วกงเท่านั้นแล้วที่ถ่วงดุลอำนาจกับชิ่งอวิ๋นโหวได้…
…และสิ่งที่เจิ้นกั๋วกงต้องการมากที่สุดคืออะไรนั้น?”
นางไม่ได้กล่าวต่อจนจบ
คาดว่าทั่วทั้งเมืองจิงเฉิงนี้ไม่มีใครไม่รู้ว่าคืออะไร
“เพราะฉะนั้น ที่บอกว่าต้องการแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อนั้น ความจริงแล้วเป้าหมายหลักคือจวนเจิ้นกั๋วกง ต้องการออกอุบายเล่นงานข้า?” เฉินลั่วพึมพำกล่าว ในใจเชื่อถือไปแล้วแปดถึงเก้าส่วน แต่ยังคงอดกล่าวเย้ยหยันออกมาไม่ได้ว่า “คิดไม่ถึงว่าข้าจะมีความสำคัญมากถึงเพียงนี้ ถึงกับทำให้เสด็จลุงของข้าพระองค์นี้ต้องออกเรี่ยวแรงมากมายขนาดนี้ เพียงเพื่อให้การรับประกันแก่บิดาของข้า ช่างวุ่นวายนัก! เหตุใดถึงไม่สังหารข้าเสียในหนึ่งดาบ แก้ไขที่ต้นเหตุ จะได้ไม่เป็นปัญหาอีก!”
หวังซีฟังแล้วตัวสั่นสะท้าน
หรือปกติเฉินลั่วก็คิดเช่นนี้?
ไม่เห็นคุณค่าของตัวเองมากเกินไปแล้ว!
นางอดกล่าวไม่ได้ว่า “ท่านปู่ของข้าบอกว่า สาเหตุที่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาก็เพราะมนุษย์เติบโตช้า อายุยืนยาว เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง เจ้าดูพวกดอกไม้ใบหญ้าเหล่านั้น รุ่งอรุณเบ่งบาน ตกเย็นก็เหี่ยวเฉาแล้ว มีอายุเพียงหนึ่งวันเท่านั้น เพราะฉะนั้นพวกมันถึงได้ถูกพวกเราควบคุม เจ้าเองก็ควรจะเห็นค่าตัวเองถึงจะถูก ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเราจะได้หมุนวนกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใช้ชีวิตให้เต็มที่ถึงจะใช้การได้ หาไม่มิเท่ากับว่าเสียเปรียบแย่หรือ!”
เฉินลั่วอ้าปากค้าง
หวังซียังหันมาพยักหน้าให้เขาอย่างหนักแน่นอีกด้วย
เฉินลั่วหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าช่างไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่นิดเดียวจริงๆ!”
“แน่นอนอยู่แล้ว” หวังซีกล่าวด้วยความมั่นใจ “ครอบครัวข้าเป็นพ่อค้าใหญ่ ท่านปู่ข้าบอกว่า พ่อค้าใหญ่นั้นขายทุกอย่าง ซื้อทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดไม่ซื้อไม่ขาย”
ขายทุกอย่าง ซื้อทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดไม่ซื้อไม่ขาย?!
เฉินลั่วทวนประโยคนี้เงียบๆ ทันใดนั้นรู้สึกว่ายิ่งทวนก็ยิ่งมีเหตุผล
พ่อค้าคนหนึ่งยังกล่าวถ้อยคำห้าวหาญเช่นนี้ออกมาได้ จึงไม่มีความจำเป็นที่คนหนุ่มผู้หนึ่งอย่างเขาจะไร้ความกล้าหาญและปณิธานเช่นนี้
“ปู่ของเจ้ากล่าวได้มีเหตุผล” เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ หวังซีกลับสัมผัสได้ชัดเจนว่าเฉินลั่วแตกต่างไปจากเมื่อครู่ ดูคล้ายต้นสนขาดน้ำต้นหนึ่งที่อาศัยสายน้ำบางเบาใต้โขดหินหล่อเลี้ยงชีวิต ทว่าทันใดนั้นกลับได้รับน้ำหนึ่งถังใหญ่ ฉับพลันนั้นก็กลับมามีชีวิต เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอีกครั้ง
นางเม้มปากกลั้นยิ้ม
เฉินลั่วกลับได้ความคิดสายหนึ่ง กล่าวว่า “ไหนๆ พวกเขาก็อยากให้มีเรื่องเกิดขึ้นกับข้าแล้ว เช่นนั้นมิสู้ข้าตัดไฟเสียแต่ต้นลม ชิงกำจัดเฉินอิงก่อนก็แล้วกัน!”
ต่อให้พวกเขามีแผนการมากมายเพียงใด แต่เมื่อไร้ซึ่งคนสนับสนุน ก็จะมีประโยชน์อะไร?
เขาแสยะยิ้มเย็น
หวังซีตกใจเป็นอย่างมาก ถามขึ้นว่า “เจ้า เจ้าจะกำจัดเฉินอิงอย่างไร”
คงมิใช่คิดจะยิงเขาตายในหนึ่งลูกธนูหรอกกระมัง
“สังหารคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต” นางโน้มน้าวเฉินลั่ว “ข้ารู้ว่าทางการไม่กล้าทำอะไรเจ้า แต่มนุษย์เป็นคนทำ สวรรค์เป็นคนดู ต่อให้ตอนนี้ไม่อาจลงโทษเจ้า แต่โทษอาจตกไปอยู่กับคนรุ่นหลังของเจ้าก็เป็นได้ อย่างไรก็มิใช่เรื่องดีนัก ไม่ทำร้ายคนได้ก็อย่าทำร้ายใครเลยดีกว่า”
“ฮ่าๆๆ!” เฉินลั่วหัวเราะ รู้สึกว่าในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เขาหัวเราะมากกว่าปีที่แล้วทั้งปีเสียอีก
สีหน้าเขามืดครึ้ม มองนางด้วยแววตาเยียบเย็น ถามว่า “แล้วอย่างไร เจ้าบอกว่าเป็นพันธมิตรของข้ามิใช่หรือ หรือเจ้าคิดจะไปบอกเฉินอิง?”
“เปล่าๆๆ” หวังซีรีบกล่าว “แน่นอนว่าข้าย่อมยืนอยู่ข้างเดียวกับเจ้า”
แต่การทำร้ายผู้อื่นก่อนเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง!
“เจ้าอย่าทำให้มือเปื้อนเลือดดีกว่า!” นางยังคงโน้มน้าวเขา “หรือไม่ หาวิธีทำให้เขาออกมาสร้างปัญหาไม่ได้อีกดีกว่า”
ขณะที่กล่าว ดวงตานางก็เป็นประกาย กล่าวว่า “หรือไม่ก็หาภรรยาให้เขาสักคนหนึ่ง ให้เขาไปใช้ชีวิตกับภรรยาของเขา? เช่นนี้เขาก็ไม่มีเวลาว่างมาสร้างปัญหาให้เจ้าแล้ว”
เฉินลั่วเผยสีหน้าดูแคลนออกมา กล่าวว่า “ยุ่งยากเกินไป!”
หวังซีเค้นสมองเสนอความคิดให้เขา “หรือไม่ก็ทำให้เขาสละตำแหน่งซื่อจื่อให้เจ้าด้วยตัวเอง เช่นนี้ต่อให้เป็นเจิ้นกั๋วกง ก็ไม่มีทางเลือกแล้วกระมัง”
……………………………………………………………………………
ตอนต่อไป