เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 172 ตกผลึก
เฉินลั่วที่ซ่อนตัวอยู่ที่สะพานศิลาขาวกำลังล้างหน้าอยู่
ไม่รู้ว่าเมื่อครู่จอมยุทธ์กลุ่มนั้นใช้อะไรมาวาดบนหน้าของเขา ทำให้เขาดูเหมือนคนป่วยที่ใกล้ตายเต็มทน บัดนี้พวกเขาเตรียมตัวจะเข้าเมืองแล้ว จึงแต่งหน้าแต่งตาเช่นนี้ต่อไปไม่ได้
เพียงแต่ไม่รู้ว่าหวังซีเป็นอย่างไรบ้าง
รู้ว่าเขาถูกลอบสังหาร หวังซีต้องเป็นห่วงมากแน่ๆ
ต้องหาทางส่งจดหมายไปให้นางสักฉบับหนึ่ง
เฉินลั่วจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยก็ออกไปถามว่าหวังสี่อยู่ที่ใด
หวังสี่กำลังหารือเรื่องเข้าเมืองกับจอมยุทธ์สองสามคนอยู่ในลานบ้าน เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวก็รีบขานเสียงหนึ่งว่า “ท่านมีอันใดต้องการสั่งการหรือขอรับ”
เฉินลั่วมองจอมยุทธ์สองสามคนที่ต่างมองเขาด้วยแววตาระยิบระยับนั้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเอ่ยปากกล่าวความเป็นห่วงที่มารออยู่ตรงริมฝีปากนั่นออกมาได้ จึงกล่าวเพียงว่า “พวกเจ้าได้ความคิดดีๆ หรือยัง”
คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำก็คือคนที่เสียงพูดฟังดูคึกคะนองผู้นั้น เขาได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า “ไม่ได้! ไม่รู้ว่าใต้เท้ามีความเห็นเยี่ยมยอดอะไรหรือไม่ ว่ากันตามหลักแล้ว คนอย่างพวกข้าที่วันนี้อยู่ภาคตะวันออกพรุ่งนี้อยู่ภาคตะวันตกจะไม่รู้เส้นทางก็เป็นเรื่องปกติ แต่คนที่เติบโตอยู่ที่จิงเฉิงมาตั้งแต่แบเบาะ ดำรงตำแหน่งอยู่กองพลส่วนพระองค์มาตั้งแต่เด็กอย่างใต้เท้า จะไม่เคยคิดเรื่องเหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเองแม้แต่ทางเดียวได้อย่างไร?”
นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้
ต้องดูว่าเฉินลั่วจะยอมเปิดเผยหรือไม่ และจะยอมให้พวกเขาใช้หรือไม่เท่านั้นแล้ว
จอมยุทธ์ทั้งหลายล้วนคิดเช่นนี้ สายตาที่มองเฉินลั่วพลันดูเจ้าเล่ห์ขึ้นมาเล็กน้อย
หวังสี่เชื่อฟังเพียงคำสั่งของหวังซีเท่านั้น เรื่องที่เฉินลั่วจะยอมให้พวกเขาใช้เส้นทางของเขาหรือไม่นั้นหวังสี่ไม่ค่อยใส่ใจนัก รีบกล่าวว่า “เวลานี้ทุกคนต่างอยู่บนเรือลำเดียวกันแล้ว จะคิดมากขนาดนี้ไปเพื่ออันใด ข้าเชื่อว่าหากใต้เท้าสะดวก ย่อมไม่ตระหนี่อย่างแน่นอน ที่ไม่พูดตอนนี้ ต้องเป็นเพราะไม่สะดวก…”
เพียงแต่ว่าเขายังพูดไม่ทันจบประโยค จอมยุทธ์คนที่ได้รับมอบหมายให้ไปดูต้นทางผู้นั้นก็วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวอย่างร้อนใจว่า “แย่แล้ว! บ้านที่สะพานศิลาขาวหลังนั้นถูกค้นพบแล้ว คนที่ใต้เท้าเฉินทิ้งไว้ที่บ้านหลังนั้นก็ถูกสังหารแล้วเช่นกัน”
ทุกคนต่างตะลึงงัน
ที่นี่คือชานเมืองของจิงเฉิง ต่อให้เฉินลั่วกระทำความผิดใหญ่หลวงที่ต้องรับโทษเก้าชั่วโคตร ก็ไม่ถึงกับต้องจับตายผู้ลงมือกระทำความผิด ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เฉินลั่วทิ้งเอาไว้ที่บ้านอีกหลังก็เป็นแค่สตรีสองคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ตามหลักแล้ว ไม่ควรใช้วิธีการแก้ปัญหาเช่นนี้ถึงจะถูก
ทุกคนต่างหันไปมองเฉินลั่ว
สีหน้าของเฉินลั่วไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง
มิใช่เพราะเขารู้สึกเสียหน้า แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาหมดอาลัยตายอยากทำให้ไม่ได้ขบคิดอย่างละเอียด แต่บัดนี้เรื่องราวเหล่านั้นต่างผุดขึ้นมาในหัวของเขาเรื่องแล้วเรื่องเล่า
ในเมื่อฮ่องเต้ต้องการสังหารเขา ทั้งยังให้หม่าซานออกหน้า ต่อให้หวังซีจ้างจอมยุทธ์ฝีมือดีที่สุดในยุทธภพมาให้ พวกเขาก็ไม่น่าจะวิ่งหนีออกมาได้อย่างราบรื่นเช่นนี้
ตอนนี้พวกเขาหนีออกมาได้แล้ว นั่นก็หมายความว่าหม่าซานคงไม่คิดไล่ล่าพวกเขาต่อแล้ว เช่นนั้นคนที่สังหารคนในบ้านเขาเหล่านั้นเป็นผู้ใดกันเล่า?
เป็นเพราะพวกเขาต้องการฆ่าคนปิดปากหรือเพราะตามหาเขาไม่เจอก็เลยต้องการระบายโทสะกันนะ?
เฉินลั่วนึกถึงองค์ชายใหญ่ที่เป็นล่อทหารส่วนใหญ่ไป
ถ้าองค์ชายใหญ่สวรรคต ยังไม่ต้องพูดถึงว่าใครคือผู้ใด้ประโยชน์สูงสุด แค่พูดถึงสถานการณ์ของเขาตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าทุกคนจะประณามเขาอย่างไรแล้ว
ในใจของเฉินลั่วราวกับบังเกิดคลื่นทะเลบ้าคลั่งขึ้นมา
เขาถามจอมยุทธ์คนที่มารายงานว่า “รู้หรือไม่ว่านักฆ่าคือใคร”
จอมยุทธ์ผู้นั้นตอบว่า “น่าจะเป็นพวกเดียวกับกลุ่มที่ตามไล่ล่าพวกเรา ข้าจำหนึ่งในคนที่ถูกพวกเราแทงบาดเจ็บที่วัดหลิงกวงได้”
สมองของเฉินลั่วราวกับมีสายฟ้าฟาด
เขาหมุนกายกลับเข้าไปในห้องชั้นในหยิบกระบี่เล่มหนึ่งวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว กล่าวกับจอมยุทธ์เหล่านั้นว่า “ข้าจะจ่ายค่าจ้างให้อีกก้อนหนึ่งเท่าๆ กับที่นายจ้างของพวกเจ้าให้ ขอให้พวกเจ้าออกไปช่วยคนกับข้า พวกเจ้ามีใครยินดีไปบ้าง”
หลายคนต่างมองหน้ากันอย่างเหลอหลา
หนึ่งในนั้นถามหยั่งเชิงว่า “หากไม่ยอมไปเล่า?”
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ต้องขออภัยแล้ว คงต้องทิ้งพวกเจ้าไว้ที่นี่สักสองสามวัน”
เขาไม่ใช่คนยิ้มบ่อยนัก ยิ้มออกมาดูสดใสมากเป็นพิเศษ ประหนึ่งแสงตะวันสุกใสในฤดูร้อน ยังเจือความกล้าหาญของเอกบุรุษเอาไว้ด้วยหลายส่วน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จอมยุทธ์รับจ้างที่ใช้ชีวิตแลกเงินมาหลายปีจนคล้ายมีสัญชาตญาณสัตว์อยู่ในตัวเหล่านั้นกลับสัมผัสได้ถึงความอันตราย
ไปหรือไม่ไปดี?
พวกเขาต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้าไปมา
คนที่มีน้ำเสียงคึกคะนองผู้นั้นกัดฟัน แสดงเจตจำนงเป็นคนแรก “ข้าไป” ยังโน้มน้าวคนอื่นอย่างอ้อมๆ ว่า “อย่างไรก็มาและเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยแล้ว อยากสลัดตัวหนีก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว มิสู้ติดตามใต้เท้าเฉินไปดีกว่า บางทีอาจมีทางรอดชีวิตก็เป็นได้”
จริงด้วย! อีกผู้หนึ่งที่ถูกตามไล่ล่าคือองค์ชายใหญ่
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตะโดนแผ่นเหล็กเข้าให้แล้ว เดิมคิดว่าเป็นการแย่งชิงตำแหน่งซื่อจื่อ บัดนี้เกรงว่าขยับขึ้นไปเป็นการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทเสียแล้ว ต่อให้พวกเขาอยากสลัดตัวหนี ก็ต้องดูว่ายังมีชีวิตอยู่ต่อได้หรือไม่
“ได้!” หนึ่งในนั้นก็แสดงเจตจำนงตามอย่างรวดเร็ว “นับข้าเข้าไปด้วยอีกคน” เขายังหันไปส่งสายตาให้สหายอีกสองสามคนด้วย กล่าวเย้าว่า “มีเงินมาให้ไม่รับนั่นคือคนโง่”
คนที่มีชีวิตรอดมาถึงวันนี้ได้ไม่มีสักคนที่ไม่ฉลาดมากความสามารถ คนอื่นๆ จึงทยอยกันแสดงท่าทีว่ายินดีติดตามเฉินลั่วไปเผชิญชะตากรรมนี้ด้วย
หวังสี่วางใจลงมาได้
เฉินลั่วกลับเหยียดยิ้ม ในรอยยิ้มแฝงการเสียดสีและประชดประชันเอาไว้หลายส่วน กล่าวว่า “เช่นนั้นจะให้ดีที่สุดทุกคนควรติดตามมาอย่างใกล้ชิด หากข้าเดาไม่ผิด ที่ชานเมืองนี้คงเต็มไปด้วยทหารส่วนพระองค์ของฮ่องเต้แล้ว ก็อย่างที่พวกเจ้ากล่าวมา ข้าเติบโตอยู่ในจิงเฉิงมาตั้งแต่แบเบาะ ทำงานอยู่ในกองพลส่วนพระองค์มาตั้งแต่เด็ก มากน้อยก็รู้จักคนอยู่บ้าง ที่พวกเรามาหลบอยู่ที่สะพานศิลาขาวได้ นั่นเป็นเพราะมีคนอยากปล่อยข้าไปครั้งหนึ่ง ลำพังพวกเจ้าเกรงว่าอาจไม่โชคดีเหมือนข้า”
มีคนยิ้มละอายใจ กดความคิดที่ว่าจะแอบหนีไประหว่างทางความคิดนั้นลงไป
เฉินลั่วเองก็ไม่สนใจ เดิมทีทุกคนก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่บังเอิญมาเจอกันเท่านั้น พวกเขาทำงานแลกเงิน ในสถานการณ์เช่นนี้ยังรักษาคำมั่นสัญญาเอาไว้ได้ ก็ถือว่ามีเกียรติและคุณธรรมมากแล้ว ยังคิดจะให้ผู้อื่นอุทิศชีวิตให้เจ้าอย่างสุดจิตสุดใจอีกอย่างนั้นหรือ
เขาก้าวยาวๆ ออกจากลานบ้าน มุ่งหน้าไปทางวัดหลิงกวงไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า “ในเมื่อตอนนี้ทุกคนต้องร่วมเผชิญความยากลำบากด้วยกันแล้ว บางเรื่องข้าควรบอกพวกเจ้าอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้มีคนต้องการให้องค์ชายใหญ่ตาย ขอเพียงพวกเราช่วยองค์ชายใหญ่เอาไว้ได้ ชีวิตพวกเราก็ปลอดภัย หาไม่ ต่อให้พวกเราหนีเอาตัวรอดออกไปได้ แต่แปดถึงเก้าในสิบส่วนก็ยังมีเพียงคำว่าตายเพียงคำเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นทุกคนอย่าได้คิดว่าจะบังเอิญโชคดี”
เฉินลั่วกลัวว่าจะกล่าวโน้มน้าวใจคนที่ท่องไปตามยุทธภพจนชินไปแล้วเหล่านี้ไม่สำเร็จ จึงยกตัวอย่างหนึ่งว่า “เปรียบได้กับแม่ทัพผู้หนึ่ง ปราชัยแล้วทว่าไม่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวเมือง ไม่อยู่ร่วมเป็นร่วมตายกับประชาชน หลังศึกสงครามตอนที่ราชสำนักให้รางวัลและลงโทษขุนนางนั้น ขุนนางผู้นี้ไม่เพียงมีโทษถึงตายเท่านั้น ชื่อเสียงฉาวโฉ่ยังอยู่ไปอีกหมื่นปีอีกด้วย”
ตอนเขากล่าวถ้อยคำดังกล่าว ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ ก็นึกถึงเจิ้นกั๋วกงเฉินอวี๋บิดาของเขาขึ้นมา
นับจากรัชสมัยนี้เป็นต้นมา คงมีเพียงเฉินอวี๋ผู้เดียวเท่านั้นกระมังที่สลัดความรับผิดชอบเช่นนั้นออกไปได้?
เขายิ้มอย่างเยือกเย็น หัวใจคล้ายถูกแช่แข็งมาเป็นเวลานาน
ก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้คิดให้กระจ่าง คิดง่ายๆ แค่ว่าฮ่องเต้ต้องการสังหารเขาแล้วป้ายความผิดให้องค์ชายใหญ่ แต่หลังจากที่เขาหนีออกมาได้แล้วถึงพบว่า การหนีออกมาได้เช่นนี้ดูง่ายดายเกินไป แล้วก็ดูเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไป เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะมีคนปล่อยเขาออกมามากกว่า
เหตุใดถึงปล่อยเขาออกมาเพียงคนเดียวเล่า?
เพราะให้เขามีชีวิตอยู่ต่อดีกว่าตายนั่นเอง!
เขาต้องมีชีวิตอยู่ถึงจะทำให้เรื่องราวเปลี่ยนเป็นชวนสับสนมากขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น การตายขององค์ชายใหญ่เกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่ คนที่อยู่เบื้องหลังเขาคือองค์ชายรองหรือฮองเฮาเหนียงเหนียง? จ่างกงจู่ผู้เป็นมารดาของเขาทราบเรื่องนี้หรือไม่ เจิ้นกั๋วกงที่เป็นบิดาของเขามีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่
ถึงขั้นที่ฮ่องเต้อาจให้คนมาสอบสวนเขา เพื่อให้ได้ ‘คำรับสารภาพ’ ในรูปแบบต่างๆ
แต่ถ้าเขาตาย เช่นนั้นก็มีผลลัพธ์เหลือเพียงอย่างเดียวแล้ว
นั่นก็คือเขาเองก็อาจจะเป็นผู้ถูกปองร้ายด้วยอีกคน
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสวรรคตขององค์ชายใหญ่ มารดาและบิดาของเขายังเรียกร้องให้ฮ่องเต้แก้แค้นให้เขาได้ด้วย
แน่นอนว่าหากฮ่องเต้ไม่อาจจับตัวมือลอบสังหารได้ ก็ให้การชดเชยแทนได้
ยกตัวอย่างเช่น ชดเชยโดยการแต่งตั้งเฉินอิงเป็นซื่อจื่อ
มุมปากของเฉินลั่วยกขึ้นเล็กน้อย คิ้วตาโค้งนิดหน่อย ยิ้มบางๆ ออกมา
แต่มีคนเป็นเหมือนเขา ยามคับขันไม่ได้คิดให้กระจ่าง ตอนได้รับคำสั่งให้ไว้ชีวิตเขากลับไล่ล่าตามมาอย่างไม่ยินยอม
ความจริงแล้วเขาสมควรจะขอบคุณคนเหล่านี้ถึงจะถูก
หากมิใช่พวกเขา เขาเองก็คงไม่อาจเข้าใจจุดสำคัญของเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งและรวดเร็วขนาดนี้
แม้แต่หัวหน้าของจอมยุทธ์รับจ้างเหล่านี้ก็ยังไม่เข้าใจ ถามเขาอย่างงุนงงว่า “แม้กล่าวว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายใหญ่ พวกเราล้วนสลัดความรับผิดชอบไปไม่พ้น แต่พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหรอกกระมัง พวกเราก็แค่สังหารคนที่ตามสังหารเจ้าเหล่านั้นเสียก็ได้แล้ว”
เฉินลั่วมองเขาด้วยอาการคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาเผยพิรุธจากตรงไหน”
หัวหน้าผู้นั้นส่ายศีรษะ
บุตรหลานจากตระกูลผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ต่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากเกินไป เขาบอกแล้วว่าไม่ควรรับงานนี้ แต่ตระกูลหวังเสนอค่าจ้างสูงมาก พวกเขารับงานนี้แล้วแทบจะถอนตัวออกจากยุทธภพได้เลยด้วยซ้ำ ทุกคนต่างไม่อาจต้านทานต่อสิ่งล่อลวงเช่นนี้ได้
เป็นอย่างที่คาดเอาไว้จริงๆ ไม่มีงานเลี้ยงใดให้กินเปล่า ไม่มีงิ้วใดให้ดูโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ค่าจ้างสูงขนาดนี้ เงินย่อมจิกกัดมือคนรับอยู่แล้ว
เฉินลั่วยิ้ม กล่าวหยันตัวเองว่า “หลายวันก่อนฮ่องเต้สั่งย้ายคนจากกองทัพต้าถงมาทำงานที่จิงเฉิง ข้าคิดแค่ว่าเขาไม่วางใจที่สายสัมพันธ์ของคนในกองพลส่วนพระองค์ซ้อนทับกันยุ่งเหยิง”
คิดว่าฮ่องเต้อยากจับตาดูหรือไม่ก็คุ้มกันองค์ชายใหญ่ แต่ความจริงคือเขากลัวข้อมูลรั่วไหล จึงเปลี่ยนผู้คุ้มกันต่างหาก
เดิมทีนี่ก็ไม่มีอะไรผิดพลาด
จะพลาดก็ตรงที่ ในจำนวนคนเหล่านี้มีคนของตระกูลซืออยู่ด้วย
เขากับเฉินอิงขับเคี่ยวเรื่องตำแหน่งซื่อจื่อมานานหลายปี เพราะเหตุใดคนอื่นถึงเอาแต่ยืนดูความครึกครื้นอยู่ข้างๆ เท่านั้นน่ะหรือ นั่นก็เป็นเพราะเรื่องระหว่างพวกเขาสองพี่น้องเป็นอะไรที่แก้ไขได้ง่ายมาก ขอเพียงฮ่องเต้อนุญาตให้ตระกูลเฉินมีท่านโหวสองคน ปัญหาก็หมดไปแล้ว เพียงรอดูว่าพระทัยฮ่องเต้เป็นอย่างไรเท่านั้นแล้ว
มีเพียงผู้ดีใหม่อย่างตระกูลซือเท่านั้นที่รู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ คิดว่าสังหารเขาแล้ว ตำแหน่งของเฉินอิงจะมั่นคง
มนุษย์คิดไม่สู้สวรรค์กำหนดจริงๆ
คนกลุ่มนี้จึงเผยพิรุธออกมา
ทำให้เขามองเห็นเจตนาของฮ่องเต้ได้อย่างชัดเจน
“เห็นได้ชัดว่าสวรรค์ยืนอยู่ข้างพวกเรา” เฉินลั่วยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “ต่อให้คนของกองพลในเมืองหลวงไร้ประโยชน์เพียงใด ก็ไม่มีผู้ใดโง่งมไปกว่าคนที่มาจากต้าถงกลุ่มนั้นแล้ว ขนาดพวกเขายังตามหาสะพานศิลาขาวจนเจอได้ คนของกองพลในเมืองหลวงจะเหมือนเป็นคนตาบอดไปได้อย่างไร”
พอคิดอย่างละเอียดแล้วก็เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าคนที่ล้อมสังหารเขาเหล่านี้ได้รับคำสั่งมาว่าให้ปล่อยเขาไปเงียบๆ มีเพียงคนโง่จากต้าถงกลุ่มนั้นเท่านั้นที่คิดว่าตัวเองฉลาด คิดว่าคนของกองพลในเมืองหลวงเป็นพวกไม่เอาถ่าน จึงแอบไล่ล่าตามมาอย่างลับๆ
กระนั้นก็ตาม ก็อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาเองก็ได้รับคำสั่งแล้วเช่นกันแต่ไม่ยินยอมปล่อยโอกาสดีเช่นนี้หลุดลอยไป
ดูจากเรื่องนี้แล้ว เห็นได้ว่าคนที่ตระกูลซือมีอยู่ในมือหาได้เป็นคนเก่งกาจอะไรนัก
เฉินลั่วพิจารณาอยู่ในใจ ถามจอมยุทธ์สองสามคนนั้นว่า “พวกเจ้าผู้ใดเชี่ยวชาญการแกะรอยมากที่สุด ข้าต้องรีบตามหาองค์ชายใหญ่ให้เจอโดยเร็วที่สุด ข้ากลัวว่าพวกเราจะไปถึงช้าเกินไป”
ถ้าหากองค์ชายใหญ่ตายแล้วเขายังอยู่ ก็จะตรงกับความต้องการของคนเหล่านั้นพอดี
เช่นนั้นมิสู้เขาตายไปเลยจะดีกว่า
ในหัวของเฉินลั่วมีใบหน้าที่ไม่ว่าโกรธหรือเอาแต่ใจก็ล้วนงดงามของหวังซีผุดขึ้นมา
หากเขาตายแล้วไปสู่จง ไม่รู้ว่าหวังซีจะรับเขาเอาไว้หรือไม่
เขาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย มีจอมยุทธ์แนบตัวลงกับพื้นอย่างกะทันหัน ตั้งใจฟังอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างร้อนใจว่า “มีม้าจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้”
คิดไม่ถึงว่าจอมยุทธ์รับจ้างเหล่านี้ต่างคนต่างมีความสามารถพิเศษของตน
เฉินลั่วรวบรวมพลังใจ เอ่ยถามว่า “พวกเราหลบทันหรือไม่”
คนผู้นั้นส่ายศีรษะ
………………………………………………………………..
ตอนต่อไป