เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 173 ช่วยคน
เฉินลั่วมองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง
ทางที่พวกเขาใช้เป็นถนนส่งข่าวสาร ด้านข้างมีต้นไม้ขึ้นสูงไปตามแนวถนนแถวหนึ่ง
“พวกเราซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน” เฉินลั่วมองเรือนยอดของต้นไม้ที่เป็นพุ่มเหมือนร่มนั้นแล้วกล่าวว่า “หักกิ่งไม้มาบังร่างเอาไว้ พวกเขาคงแค่ผ่านทางมาเท่านั้น ไม่น่าจะค้นหาโดยรอบอย่างละเอียด”
ทุกคนต่างเห็นด้วยกับความคิดของเขา จอมยุทธ์คนที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นยังมองเฉินลั่วอีกสองสามครั้ง คิดว่าคุณชายรองของจวนเจิ้นกั๋วกงท่านนี้ก็นับว่าใจกล้าและละเอียดรอบคอบเหมือนกัน แต่เหตุใดถึงมีชีวิตน่าหดหู่ขนาดนี้
อย่างไรก็ตามนี่ไม่เกี่ยวอันใดกับเขา พวกเขาล้วนเป็นคนมือเท้าว่องไว ไม่นานก็ซ่อนตัวเสร็จเรียบร้อย
เฉินลั่วยังกังวลอยู่บ้างว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น กลัวว่าตอนที่จอมยุทธ์เหล่านั้นหักกิ่งไม้จะทิ้งร่องรอยให้คนสังเกตเห็นได้ นอกจากให้พวกเขากระจายกันไปหักกิ่งไม้แล้ว ยังไปสำรวจโดยรอบอย่างคร่าวๆ อีกรอบ คำนวณว่าหากถูกคนพบเห็นเข้าจริงๆ จะวิ่งหนีไปทางไหนได้บ้าง
ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าของม้าดังอื้ออึงอยู่ตามท้องถนน
เฉินลั่วช้อนตาขึ้นมองลอดช่องกิ่งไม้ที่ปิดอยู่บนร่างออกไป จดจำได้ทันทีว่าคนที่นำอยู่ด้านหน้าคือผู้บังคับบัญชากองพลขนนกซ้าย
เขาใจเต้นตึกๆ ครู่หนึ่ง
กองพลขนนกก็เป็นกองพลส่วนพระองค์เหมือนกัน หากไม่มีตราพยัคฆ์ของฮ่องเต้ แม้แต่กรมกลาโหมและกองบัญชาการทหารทั้งห้าก็ไม่อาจสั่งเคลื่อนพลได้
นี่ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยแล้วหรือว่าต้องการทิ้งองค์ชายใหญ่ไว้ที่นี่?
แต่นี่ก็ช่วยพิสูจน์เรื่องหนึ่งได้ว่าองค์ชายใหญ่ยังไม่ถูกจับตัวไป
นอกจากนี้เขายังเห็นคนคุ้นหน้าอีกผู้หนึ่งจากองครักษ์ส่วนพระองค์กลุ่มนี้อีกด้วย
นั่นก็คือเวินจง ว่าที่สามีของฉังเคอ
รอจนกระทั่งกองทัพม้าเหล็กทะยานผ่านไปแล้ว เขาครุ่นคิดครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายลดเสียงลงกล่าวกับจอมยุทธ์เหล่านั้นว่า “ไปกันเถอะ พวกเราตามพวกเขาไป”
ทุกคนเผยความประหลาดใจออกมาอย่างปิดไม่อยู่
เฉินลั่วกล่าว “ตอนนี้พวกเราไม่รู้ว่าองค์ชายใหญ่อยู่ที่ไหน เนื่องจากคนของกองพลขนนกมากันแล้ว จึงไม่มีทางที่จะยืนดูอยู่เฉยๆ เพียงอย่างเดียวแน่ แทนที่พวกเราจะไปสุ่มหาไปทั่ว ไม่สู้ตามหลังพวกเขาไปดีกว่า”
จอมยุทธ์คนที่มีเสียงคึกคะนองผู้นั้นได้ยินแล้วเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ตั๊กแตนตามจับจักจั่น ส่วนนกกระจิบตามอยู่ด้านหลัง นี่ต่างหากคือวิธีการที่เหมาะสม”
เขากล่าว ท่าทีที่มีต่อเฉินลั่วก็ดูให้เกียรติขึ้นมาก
คนอื่นๆ ก็ทำตามคนเป็นหัวหน้าด้วย หลังจากนี้ไม่ว่าเฉินลั่วพูดอะไร แม้นยังทำตามที่กล่าวไม่ได้ แต่ก็นับว่าทุกคนเชื่อฟังคำสั่งการเป็นอย่างดี
พวกเขาตามหลังกองพลขนนกไปอย่างเงียบเชียบ จอมยุทธ์รับจ้างเหล่านั้นเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก ทั้งป้องกัน ซ่อนตัวและวิธีการอีกต่างๆ นานา ทำให้เฉินลั่วได้เรียนรู้จากพวกเขาไม่น้อย
กระทั่งคนของกองพลขนนกกับหม่าซานเจอกันที่หน้าป่าทึบแห่งหนึ่งห่างจากวัดหลิงกวงไปประมาณยี่สิบลี้ เฉินลั่วถึงรู้ว่ากองพลขนนกรับคำสั่งของจวนชิ่งอวิ๋นโหวมาช่วยองค์ชายใหญ่ล่วงหน้า
ผู้บังคับบัญชากองพลขนนกซ้ายผู้นั้นถามหม่าซานว่า “เหตุใดกงกงถึงมาอยู่ที่นี่ ข้ารับใช้ส่วนในไม่ได้รับอนุญาตให้แทรกแซงการบริหารบ้านเมือง นี่เป็นกฎที่จักรพรรดิไท่จงบัญญัติเอาไว้ องค์ชายใหญ่ถูกลอบทำร้าย กงกงลองคิดดูว่าจะอธิบายกับเหล่าขุนนางใหญ่ในสภาอย่างไร”
“เขาคงไม่คิดจะโยนความผิดให้กงกงท่านนี้หรอกกระมัง” หัวหน้าจอมยุทธ์ถามเฉินลั่วเสียงเบาดุจยุง
ในเวลาครึ่งวันนี้พวกเขาได้ดูงิ้วสนุกๆ ไปกว่าหลายเรื่อง
ก่อนหน้านี้พวกเขารู้สึกว่าข้าราชการในราชสำนักล้วนเป็นคนโง่ที่คิดว่าตัวเองวิเศษวิโส บัดนี้ถึงรู้ว่า ความจริงแล้วการเดิมพันของคนชั้นสูงอันตรายกว่าในยุทธภพไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เมื่อก่อนพวกเขาก็แค่ไม่เคยเจอมาก่อนเท่านั้น
บางทีนี่อาจสอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า ‘คนไม่รู้ก็ไม่หวาดกลัว’ ประโยคนั้น เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกเขาก็ปฏิบัติตามกฎหมายขึ้นมาก แต่แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง
เฉินลั่วในเวลานี้กลับอารมณ์ปั่นป่วนเหมือนพายุฤดูร้อน
ไม่แปลกที่ฮ่องเต้หวาดกลัวจวนชิ่งอวิ๋นโหวขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่ากองพลส่วนพระองค์ของฮ่องเต้เข้าหาชิ่งอวิ๋นโหว เชื่อฟังคำสั่งของชิ่งอวิ๋นโหวและทำงานให้ชิ่งอวิ๋นโหว
“พวกเราไปกันเถอะ!” เวลานี้เฉินลั่วไม่เชื่อใจใครทั้งสิ้น เขากล่าวอย่างสงบว่า “ในเมื่อพวกเขามาที่นี่ แสดงว่าองค์ชายใหญ่ต้องอยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้อย่างแน่นอน”
“กวนน้ำให้ขุ่นแล้วขโมยปลาเป็นสิ่งที่ข้าชอบที่สุด” หัวหน้าจอมยุทธ์ตอบรับด้วยความยินดี
เงาร่างของพวกเขาหายลับเข้าไปในป่า
หม่าซานเงยหน้าขึ้นมองเงาต้นไม้ที่โยกไหว เม้มปากเล็กน้อย ทำสงครามน้ำลายกับผู้บังคับบัญชากองพลขนนกซ้ายต่อ
ต้องขอบคุณเหล่าจอมยุทธ์ ไม่นานพวกเฉินลั่วก็ตามหาองค์ชายใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ข้างเนินเขาแห่งหนึ่งในป่าทึบจนเจอ
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้างกายเขาเหลือเพียงกงกงที่รับใช้เขามาตั้งแต่เด็กหนึ่งคนกับองครักษ์ผู้ภักดีอีกห้าถึงหกคนเท่านั้น
ตอนที่เฉินลั่วไปเจอ องค์ชายใหญ่ที่มีใบหน้าซีดเผือดเนื่องจากเสียเลือดมากพลันดูหดหู่ลงมา ยิ้มขื่นพลางกล่าว “หลินหลาง ถูกเจ้าจับได้ก็ยังดีกว่าถูกเสด็จพ่อฆ่า เจ้าอยากได้ชีวิตของข้าก็เอาไปเถิด ส่วนคนของข้า เจ้าช่วยไว้ชีวิตพวกเขาสักครั้งถือเป็นการให้เกียรติข้าครั้งสุดท้ายระหว่างพวกเราพี่น้อง”
ก่อนหน้านี้เฉินลั่วไม่ได้สนิทสนมกับญาติผู้พี่ท่านนี้ รู้สึกว่าเขาเป็นพวกปากว่าตาขยิบ ทั้งๆ ที่ปรารถนาบัลลังก์จักรพรรดิตัวนั้นมาก แต่กลับแสดงออกมาว่าทำใจสงบได้ ดูเป็นคนใจกว้างเหลือจะกล่าว
และเวลานี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
แม้แต่ชีวิตของตัวเองยังปกป้องไว้ไม่ได้ ยังจะเห็นใจสงสารคนข้างกายอีก ล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดไร้สาระทั้งสิ้น
แต่คนข้างกายเขากลับซาบซึ้งจนน้ำตาปริ่มกระบอกตา ทุกคนต่างปรารถนาไปตายแทนเขา
ดูแล้วญาติผู้พี่ของตนท่านนี้ก็มิใช่คนโง่งม คิดปมสำคัญที่ซุกซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ได้อย่างกระจ่างแล้ว
วายร้ายที่อยู่ในใจเฉินลั่วกลอกตามองบนครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “พี่ชายใหญ่ เวลานี้ยังมิใช่เวลาตาย หากเจ้าตาย ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างได้อย่างไร เจ้าลองคิดดูดีกว่าว่าจะร่วมทางไปกับข้าอย่างไร จวนชิ่งอวิ๋นโหวสอดมือเข้ามายุ่งเรียบร้อยแล้ว กำลังเผชิญหน้ากับหม่าซานคนข้างกายของฮ่องเต้อยู่ ไม่อาจปล่อยให้โอกาสหลุดลอย เพราะเวลาไม่หวนกลับมาอีก หากเจ้าคิดจะรั้งอยู่ที่นี่เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าก็จะช่วยพิสูจน์ความสงสัยของฮ่องเต้ สังหารเจ้าเสียในหนึ่งดาบ ให้ชิ่งอวิ๋นโหวกับองค์ชายรองไปปวดหัวกันเอาเอง”
เขากล่าวประชดประชัน แต่กลับทำให้จิตใจขององค์ชายใหญ่สั่นไหว ดวงตาแวววาว กล่าวว่า “เจ้าหมายถึงอะไร”
เฉินลั่วมองเขาแต่ไม่พูดอะไร
เป็นพันธมิตรของเขา จะโง่เกินไปมิได้
เป็นอย่างที่คาด องค์ชายใหญ่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นด้วยสีหน้าเคร่ง เลือกกงกงข้างกายเขาผู้นั้นกับองครักษ์มาอีกหนึ่งคน จากนั้นกล่าวกับคนที่เหลือว่า “พวกเจ้าจงรั้งอยู่ที่นี่ ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย พวกเจ้าก็จะปลอดภัย ข้าจะไปกับคุณชายรอง หากพวกเจ้าถูกจับตัวไป หากทนได้ก็อดทนไปก่อน แต่ถ้าทนไม่ได้ พูดออกมาก็ไม่เสียหายอะไร ในเมื่อฮ่องเต้ลากเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เกรงว่าต่อให้เจ้าอยากสลัดให้พ้นตัวก็คงสลัดไม่พ้นอยู่ดี จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรแล้ว”
ประโยคสุดท้ายนั้น เขาพูดกับเฉินลั่ว
เฉินลั่วพยักหน้า หันไปส่งสายตาให้เหล่าจอมยุทธ์ครั้งหนึ่ง เดินนำออกไปก่อน ให้เวลาองค์ชายใหญ่ได้สั่งการกับคนใต้บังคับบัญชาของเขา
ไม่นานองค์ชายใหญ่ก็เดินเข้ามาโดยมีกงกงช่วยประคอง กล่าวด้วยสีหน้ามืดครึ้มว่า “พวกเราจะไปทางไหน”
เฉินนลั่วมองทิศทางครู่หนึ่ง ตอบว่า “พวกเราไปวัดเจินอู่”
องค์ชายใหญ่ตะลึงงันทว่าไม่ได้กล่าวสิ่งใด ตามหลังเฉินลั่วไป
แน่นอนว่ากลุ่มของเหล่าจอมยุทธ์ย่อมไม่เก่งกาจเท่าองครักษ์ส่วนพระองค์ แต่ทักษะและความสามารถที่แต่ละคนดึงออกมาทำให้คนอัศจรรย์ใจยิ่ง
ระหว่างทาง องค์ชายใหญ่กล่าวกับเฉินลั่วอย่างอดไม่ได้ว่า “คิดไม่ถึงว่าข้างกายเจ้าจะมีคนมากความสามารถเช่นนี้อยู่ด้วย ไม่แปลกที่เจ้าหนีออกไปได้และยังย้อนกลับมาช่วยข้าได้ด้วย”
เฉินลั่วย่อมไม่อาจบอกสถานะและที่มาของจอมยุทธ์เหล่านี้ให้เขาฟังได้ ตอบอย่างเย็นชาว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ มิใช่ข้าหนีออกไปได้ แต่เป็นเพราะฮ่องเต้ต้องการให้ข้าหนีออกไปได้ต่างหาก หาไม่แล้วผู้ใดจะเป็นคนลอบทำร้ายเจ้ากันเล่า? และจะป้ายความผิดให้องค์ชายรองให้อย่างไร จะควบคุมมารดาของข้าได้อย่างไร จะทำให้เจิ้นกั๋วกงปกป้องว่าที่ไท่จื่อในอนาคตได้อย่างไร”
องค์ชายใหญ่หัวเราะเบาๆ ในเสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความรวดร้าว กล่าวว่า “จริงด้วย พวกเราล้วนเป็นหมากในมือฮ่องเต้ อย่างไรก็ตาม หากจะพูดเรื่องน่าเวทนา องค์ชายรองน่าเวทนากว่า อย่างมากพวกเราสองคนก็แค่ถูกฝังไปกับเขาเท่านั้น แต่จวนชิ่งอวิ๋นโหวกลับเผยสมบัติอันน้อยนิดตระกูลออกมาแล้ว หลังจากฮ่องเต้ทราบเรื่องแล้ว ไม่รู้จะดีพระทัยมากเพียงใด”
เฉินลั่วไม่กล่าวอะไร
พวกเขากลัวอันตรายมากกว่ากลัวเจ็บ ฉะนั้นไม่นานก็มาถึงวัดเจินอู่
เฉินลั่วกับองค์ชายใหญ่ล้วนทราบดีว่าต้องมีคนกำลังช่วยเหลือพวกเขาอย่างลับๆ อยู่ แต่คนที่ช่วยเหลือพวกเขาคือใครนั้น พวกเขาไม่อาจตัดสินได้จริงๆ
องค์ชายใหญ่มองกำแพงสีแดงสูงใหญ่ของวัดเจินอู่ ถามขึ้นว่า “พวกเราจะเข้าไปอย่างไร”
เฉินลั่วสีหน้าเรียบเฉย มองเขาเหมือนมองคนโง่ครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “แน่นอนว่าปีนกำแพงเข้าไป เจ้าคิดว่าวัดเจินอู่จะเปิดประตูใหญ่ออกมาต้อนรับเจ้าหรือ”
องค์ชายใหญ่อดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะปีนเข้าไปในวัดเจินอู่ได้ภายใต้ความช่วยเหลือของเหล่าจอมยุทธ์ สุดท้ายก็อดกลั้นไม่อยู่ กล่าวกับเฉินลั่วว่า “ต่อหน้าองค์ชายรองเจ้าก็พูดจาร้ายกาจเช่นนี้หรือ”
เฉินลั่วแสยะยิ้ม กล่าวว่า “ถ้าเจ้ามีโอกาสก็ลองดูได้”
ต่อให้เฉินลั่วช่วยชีวิตเขาไว้ เขาก็ไม่คิดจะคุยกับเฉินลั่ว
เฉินลั่วไปเคาะประตูของเซียวเหยาจื่อ
เห็นได้ชัดว่าเซียวเหยาจื่อทันข่าวสารกว่าที่เฉินลั่วคิดเอาไว้เสียอีก พอเขาเห็นเฉินลั่วก็ตกใจจนคางแทบร่วง พูดอะไรไม่ออกไปกว่าครู่ใหญ่ ตอนที่เฉินลั่วกล่าวออกมาประโยคหนึ่งอย่างสบายๆ ว่า “ท่านนักพรตจะไม่เชิญข้าเข้าไปนั่งสักหน่อยหรือ” ถึงทำให้เซียวเหยาจื่อได้สติกลับมา รีบเชิญเฉินลั่วเข้าไปนั่ง พลางหันไปมองด้านหลังของพวกเขาไปด้วย เอ่ยถามอย่างร้อนใจว่า “มีคนตามพวกเจ้ามาหรือไม่”
เฉินลั่วมองแล้วหัวเราะออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก กล่าวว่า “ไม่รู้!”
ดวงหน้าเซียวเหยาจื่อดำทะมึนไปหมดแล้ว
เฉินลั่วกลับชี้ไปที่องค์ชายใหญ่พลางกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “นี่คือญาติผู้พี่ของข้า”
เซียวเหยาจื่อไม่รู้จะแสดงสีหน้าอะไรออกมาดีแล้ว
เฉินลั่วนั่งลงบนเก้าอี้ที่ปกติเซียวเหยาจื่อใช้นั่งสมาธิอย่างคนเป็นนายท่าน กล่าวว่า “พวกข้าวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน ท่านนักพรตช่วยหาอะไรมาให้พวกข้ากินสักหน่อยเถิด! เจ้ารักษาคนป่วยได้มิใช่หรือ ช่วยดูอาการให้ญาติผู้พี่ของข้าสักหน่อย หากเขาตายอยู่ที่นี่ เจ้าเองก็คงต้องเดือดร้อนไปด้วย”
เซียวเหยาจื่อยิ้มขื่น
ต่อให้ไม่ตายอยู่ที่นี่ เขาก็เดือดร้อนมากอยู่ดีเข้าใจหรือไม่
แต่เขาไม่กล้าพูดถ้อยคำดังกล่าวออกมา เขารีบเรียกนักพรตเด็กคนสนิทของตนเข้ามา นอกจากเตรียมอาหาร น้ำและสุราให้ทุกคนแล้ว ยังช่วยจัดการบาดแผลให้องค์ชายใหญ่อย่างเอาใจใส่อีกด้วย
ทุกคนต่างไม่ดื่มเหล้า หลังจากกินอิ่มดื่มชาเสร็จแล้ว เฉินลั่วเองก็ไม่ปิดบังเขา กล่าวกับเซียวเหยาจื่อว่า “ตอนนี้เป็นช่วงวุ่นวายเต็มไปด้วยปัญหาพอดี ท่านนักพรตลองไปหารือกับเหล่านักบวชดูว่าจะทำอย่างไรดี ข้าจะได้นอนหลับสักตื่นหนึ่งด้วย ตื่นมาแล้วค่อยฟังผลจากการหารือของพวกเจ้าอีกทีก็แล้วกัน!”
ดวงหน้าของเซียวเหยาจื่อเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ทว่าเนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ แม้แต่คำหลบเลี่ยงสักคำก็ยังพูดไม่ออก ทำความเคารพเฉินลั่วกับองค์ชายใหญ่อย่างลวกๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำแล้วจากไป
องค์ชายใหญ่ถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าไม่กลัวเขานำความลับไปเปิดเผยหรือ”
เฉินลั่วหยิบฝาถ้วยน้ำชามาเคาะจานรองถ้วยเบาๆ มีเสียงกระจ่างใสดุจเสียงระฆังของนาฬิกาดังขึ้นมาจากห้องข้าง “จิงเฉิงเป็นสนามแข่งชื่อเสียงและอำนาจขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เจ้าจะไม่อนุญาตให้ผู้อื่นได้ตัดสินใจเลือกเลยหรือ! ไม่ว่าตอนไหนก็ล้วนมีความเสี่ยงและโอกาส วัดเจินอู่กล้าประชันสูงต่ำกับวัดต้าเจวี๋ย เซียวเหยาจื่อทันข่าวสารขนาดนี้ ย่อมเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ฉะนั้นเหตุใดทุกคนต้องปิดบังด้วย?”
องค์ชายใหญ่มองเฉินลั่วด้วยความนับถืออีกครั้ง
เฉินลั่วกลับรู้สึกแค่ว่าน่าขัน
เขากับองค์ชายใหญ่หาใช่คนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ยิ่งเวลาลากยาวไปนาน ก็ยิ่งไม่อาจปิดข่าวเอาไว้ได้
ครั้นขุนนางคนชั้นสูงและประชาชนคนธรรมดาของจิงเฉิงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฮ่องเต้ก็ไม่อาจไล่ล่าพวกเขาต่อไปได้แล้ว
อย่างน้อยก็ไม่อาจทำอย่างเปิดเผย
และนั่นจะเป็นโอกาสของพวกเขา
ต่อให้วัดเจินอู่อยากนำความลับไปเปิดเผย แต่สำหรับพวกเขา มันไม่ได้อันตรายขนาดนั้นอีกแล้ว
……………………………………………………………………..
ตอนต่อไป