เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 174 เรียนรู้
เฉินลั่วนอนพักไปอย่างสงบสุข
เซียวเหยาจื่อกับนักพรตเต๋าอีกสองสามคนของวัดเจินอู่กลับกำลังนั่งมองหน้ากันไปมาอยู่ในห้องหนังสือของหัวหน้าคณะวัดเจินอู่ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
หนึ่งในนักพรตที่มีไฝอยู่ตรงมุมปากทนต่อบรรยากาศกดดันเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว บ่นขึ้นมาเบาๆ ว่า “หากรู้เช่นนี้แต่แรก ก็คงไม่ออกไปแก่งแย่งชื่อเสียงแล้ว บัดนี้ช่างดียิ่ง องค์ชายใหญ่กับคุณชายรองเจิ้นกั๋วกงมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ พวกเราจะไล่คนออกไปก็ไม่ใช่ ไม่ไล่ก็ไม่ใช่ จะไปรายงานก็ไม่ใช่ จะไม่รายงานก็ไม่ใช่อีก กลายเป็นปลาบนเขียง ยอมให้ผู้อื่นมาเอาเปรียบเสียแล้ว รสชาตินี้ช่างไม่น่าอภิรมย์จริงๆ”
หัวหน้าคณะที่หลับตานิ่งเงียบมาตลอดได้ยินแล้วพลันลืมตาขึ้นมา กวาดตามองนักพรตในห้องอย่างเย็นชารอบหนึ่ง ถามขึ้นว่า “พวกเจ้าเองก็คิดเช่นนี้หรือ”
เซียวเหยาจื่อเป็นศิษย์อาของเขา แยกตัวสันโดษ ที่ผ่านมาไม่ยุ่งเรื่องภายในวัด คนเหล่านี้ไม่กล้าจัดการเซียวเหยาจื่อ อย่างมากก็กล้าทำแค่บ่นไม่กี่ประโยคอย่างไม่ระบุชื่อแซ่เช่นนี้เท่านั้น แต่แน่นอนว่าย่อมมีคนจำนวนมากที่คิดเช่นนี้อยู่ในใจ
นักพรตที่มีไฝอยู่ตรงมุมปากพยักหน้าแต่ไม่กล้าตอบ ส่วนนักพรตคนอื่นๆ บ้างก้มหน้า บ้างหลุบตาลง บ้างหลบเลี่ยงสายตาของเขา
หัวหน้าคณะของวัดเจินอู่ยิ้มเย็น กล่าวว่า “ไม่แปลกที่หลายปีมานี้วัดเจินอู่ของพวกเรายิ่งอยู่จะยิ่งแย่ลง เพราะมีคนวิสัยทัศน์คับแคบดั่งหนูที่มองเห็นได้แค่ระยะใกล้อยู่มากเกินไป ที่มันยังไม่ถูกทำลายจนสิ้นซากล้วนเป็นเพราะคุณงามความดีของบรรพบุรุษ พอมีมรดกตกทอดอยู่หลายส่วน จึงค้ำจุนคนไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้าเอาไว้ได้”
ใบหน้าของทุกคนพลันขึ้นสีแดงก่ำ แต่ล้วนเป็นท่าทีที่กล้าโมโหแต่ไม่กล้ากล่าวออกมาทั้งสิ้น
หัวหน้าคณะเห็นแล้วหัวเราะหยันหลายเสียง กล่าวว่า “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ อยากพูดอะไรก็พูดมาดีกว่า ข้าเข้าใจดี พวกเจ้าล้วนคิดว่าก่อนหน้านี้ที่ข้าตัดสินใจออกหน้าไปฟ้องร้องเรื่องสูตรเครื่องหอมกับวัดต้าเจวี๋ย ทำให้วัดเจินอู่กลายเป็นสามวัดเต๋าที่ใหญ่ที่สุดของจิงเฉิงนั้นนับว่ามีความสามารถอยู่หลายส่วนจริงๆ แต่บัดนี้เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องแย่งชิงบัลลังก์ พวกเจ้าก็คิดว่าข้ายโสโอหังเกินไป เป็นคนสร้างความวุ่นวาย ทำให้วัดเจินอู่เข้าไปข้องเกี่ยวกับความเป็นความตาย หากรู้เช่นนี้แต่แรก สู้ไม่ไปแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเหมือนเมื่อก่อนดีกว่า แบบนั้นไม่มีเรื่องความเป็นตายให้ต้องกังวล เพียงแต่ว่าพวกเจ้าแค่ไม่อยากทำให้ข้าขุ่นเคือง จึงไม่มีใครยอมเอ่ยปากเป็นคนแรกก็เท่านั้น…
…แต่ข้าเองก็บอกพวกเจ้าชัดเจนแล้ว…
…องค์ชายใหญ่นั้นข้าไม่รู้จัก แต่คุณชายรองจวนเจิ้นกั๋วกงท่านนั้น เห็นได้ชัดว่าหาใช่คนธรรมดาที่มีดาษดื่นอย่างคนทั่วไป…
…เกิดเรื่องขึ้นกว่าสามชั่วยามแล้ว วัดหลิงกวงอยู่ห่างจากที่นี่ห้าสิบกว่าลี้ ห่างจากจิงเฉิงไม่ถึงสามสิบลี้ เหตุใดเขาถึงเลือกไกลมากกว่าใกล้? และเหตุใดถึงไม่รีบมาที่วัดเจินอู่ในทันที?…
…พวกเจ้าจะไม่ลองใช้สมองขบคิดสักหน่อยเลยหรือว่าใต้เท้าเฉินท่านนี้กำลังคิดอะไรอยู่ คิดสักหน่อยแล้วค่อยบ่นก็ยังไม่สาย!”
พวกเขาไร้ความสามารถในการหยั่งถึงเรื่องปกครองบ้านเมืองจริงๆ
ทุกคนต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า สุดท้ายสายตาวนไปตกอยู่บนร่างของนักบวชผู้เป็นหัวหน้าคณะ
หัวหน้าคณะของวัดเจินอู่คร้านจะพูดอะไรกับพวกเขาแล้ว แต่ทิ้งสายไปที่ร่างของเซียวเหยาจื่ออย่างมีแผนการเล็กน้อย กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ศิษย์อา ท่านว่าเรื่องนี้ควรทำอย่างไรดี ศัตรูตัวฉกาจอยู่ตรงหน้า ท่านพบเห็นโลกกว้างมาเยอะ ระหว่างความเป็นความตายนี้คงต้องขอให้ท่านช่วยตัดสินใจสักครั้งหนึ่งแล้ว!”
เซียวเหยาจื่อเห็นเช่นนั้นแล้วรู้สึกว่าการที่วัดเจินอู่อยู่ในมือของศิษย์หลานท่านนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้ เขาจึงให้เกียรติหัวหน้าคณะท่านนี้ขึ้นหลายส่วนอย่างอดไม่อยู่ กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ก็ต้องดูว่าสิ่งที่พวกเจ้าต้องการคืออะไร…
…หากคิดแค่ว่าต้องการผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปเท่านั้น เช่นนั้นพวกเราก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรก็พอ แม้นกล่าวว่าปิตุฆาตคือความผิดร้ายแรงมีโทษถึงตาย แต่การสังหารบุตรก็ละเมิดหลักของคนในสังคมถูกเล่าขานต่อกันเป็นหมื่นปีเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าใต้เท้าเฉินกำลังใช้กลยุทธ์ ‘ยื้อ’ เวลา ขอเพียงพวกเราช่วยพวกเขาปิดข่าวเอาไว้สักสองถึงสามชั่วยาม รอจนเหล่าขุนนางใหญ่ในสภาที่จิงเฉิงเหล่านั้นรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว ต่อให้ฮ่องเต้คิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว…
…แม้นพวกเรามีหวาดกลัวบ้างทว่าก็ไม่เป็นอันตราย แต่ภายในระยะเวลาอันสั้น อย่างน้อยตอนที่ฮ่องเต้ยังอยู่ในบัลลังก์ย่อมไม่มีปัญหาอะไร…
…แต่ถ้าฮ่องเต้เสด็จสวรรคตแล้ว ผู้ขึ้นสืบทอดบัลลังก์คือองค์ชายพระองค์อื่น นั่นคงพูดยากแล้ว…
…หากทุกคนอยากเป็นวีรบุรุษในช่วงเวลาอันยุ่งเหยิง อยากทำให้วัดเจินอู่กลายเป็นวัดเต๋าที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของรัชสมัยปัจจุบัน กระทั่งเป็นอาจารย์แถวหน้าของแผ่นดิน เช่นนั้นก็ต้องคุ้มครององค์ชายใหญ่ให้ดี เอาชนะใจใต้เท้าเฉินให้ได้ ใช้ประโยชน์ตอนที่องค์ชายใหญ่กับใต้เท้าเฉินเจรจากับเหล่าขุนนางใหญ่ในสภา ค่อยๆ พิจารณาเรื่องในอนาคตคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้”
ส่วนเรื่องจะเลือกอย่างไรนั้น ในใจของเซียวเหยาจื่อเองก็ค่อนข้างว่างเปล่าเช่นกัน
สิ่งสำคัญคือถ้อยคำนี้พูดง่ายทว่าทำยาก
ต้องมีคนที่มองสถานการณ์ได้อย่างปรุโปร่งสักคนเป็นตัวแทนของวัดเจินอู่ไปจัดการเรื่องนี้ถึงจะใช้การได้
หัวหน้าคณะของวัดเจินอู่เองก็กระจ่างแจ้งแก่ใจดี
ต่อให้เป็นผู้ละทางโลก แต่ก็ยากจะต้านทานการล่อลวงที่จะได้มีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์นี้ไปได้
เขาคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายโยนคำถามอันยากเย็นนี้ไปให้บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องและเหล่าศิษย์ลุงศิษย์อาทั้งหลายที่อยู่ในห้องแทน
“ทุกคนลองตรึกตรองดู แล้วยกมือเลือก เสียงข้างมากถือเป็นฝ่ายชนะก็แล้วกัน!” หัวหน้าคณะกล่าว
เซียวเหยาจื่อคือผู้อุทิศตนให้วัดเจินอู่ ไม่ยุ่งเรื่องภายนอก แล้วก็ไม่ยุ่งเรื่องภายในด้วย แต่ตอนที่ผลการตัดสินใจเลือกออกมานั้น เสียงส่วนใหญ่ยังคงเห็นด้วยกับการเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ยังมีคนแสดงความคิดเห็นว่า “พวกเรายังรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยเกินไป ลองไปหารือกับองค์ชายใหญ่ดูดีหรือไม่ ดูว่ามีอะไรที่พวกเราพอจะช่วยเหลือองค์ชายใหญ่ได้บ้าง”
หัวหน้าคณะวัดเจินอู่ได้ยินแล้วรีบกล่าวตำหนิประโยคหนึ่งว่า “เหลวไหล” กล่าวต่อว่า “องค์ชายใหญ่เป็นผู้ใด? เป็นหนึ่งในคนที่ร่วมช่วงชิงบัลลังก์! เขาย่อมต้องพูดให้ตัวเองดูดีอยู่แล้ว ตอนนี้พวกเราไม่รู้อะไรเลย เหตุใดต้องผูกตัวเองไว้กับเขาอย่างแน่นหนาด้วย? แน่นอนว่าพวกเราต้องก้าวและถอยไปพร้อมกับใต้เท้าเฉิน มีเพียงเขาเท่านั้นที่เหมือนพวกเรา ที่ไม่ว่าผู้ใดจะได้เป็นฮ่องเต้ก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงฮ่องเต้พระองค์ใหม่มีความรู้สึกดีต่อพวกเรา วัดเต๋าอันดับหนึ่งในใต้หล้าก็เป็นของพวกเราแล้ว”
ทุกคนพลันเข้าใจขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเราควรก้าวและถอยไปพร้อมกับใต้เท้าเฉิน?”
หัวหน้าคณะของวัดเจินอู่กล่าว “นั่นก็ต้องดูว่าใต้เท้าเฉินคิดอย่างไร” กล่าวถึงตรงนี้ เขามองไปที่เซียวเหยาจื่อ กล่าวว่า “เรื่องนี้คงต้องรบกวนศิษย์อาแล้ว พวกข้ากับใต้เท้าเฉินก็เหมือนคนแปลกหน้าที่พูดจาเหมือนสนิทสนมกันเท่านั้น เกรงว่าต่อให้พวกข้าอยากช่วยเหลือด้วยความจริงใจ แต่ใต้เท้าเฉินก็อาจจะระแวงสงสัยและระแวดระวังตัวได้…”
ถ้าหากเฉินลั่วระแวงสงสัยและระแวดระวังตัวจริง ก็คงไม่พาองค์ชายใหญ่มารักษาตัวที่นี่และยังกินดื่มอย่างสบายใจเช่นนี้ เซียวเหยาจื่อมองศิษย์หลานที่พลั้งปากออกมาอย่างไม่ทันได้คิดอยู่ตรงนั้นแล้ว กลับรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
มีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้นที่จะพาวัดเจินอู่รุ่งโรจน์ขึ้นไปได้
เซียวเหยาจื่อยินดีให้ความช่วยเหลือ แล้วก็ยินดีไปหยั่งเชิงเฉินลั่วให้ด้วย
แน่นอนว่าก่อนไปพบเฉินลั่ว เขาให้คนแอบนำจดหมายไปส่งให้หวังเต๋อ หลงจู๊ใหญ่ของตระกูลหวังก่อนหนึ่งฉบับ
ตระกูลหวังยกโฉนดที่ดินเขาซื่อกู้ให้วัดหนานหวา แม้นวัดหนานหวาจะมอบตำรับเครื่องหอมให้หนึ่งเล่มเป็นของขวัญตอบแทนไปแล้ว แต่เขาคือคนทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมให้ เขาเองก็นับว่าติดหนี้บุญคุณตระกูลหวังด้วยครั้งหนึ่ง บัดนี้ใช้เรื่องของเฉินลั่วตอบแทนน้ำใจของตระกูลหวัง นับว่ากำลังดี
หวังเต๋อได้รับจดหมายของเซียวเหยาจื่อแล้วตกใจเป็นอย่างมาก
ถึงแม้เขารู้ว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับเฉินลั่ว ตระกูลหวังอาจถูกลากไปข้องเกี่ยวด้วยไม่มากก็น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าเฉินลั่วจะถึงกับเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องชิงบัลลังก์ ยังดูเหมือนจะยืนฝั่งเดียวกับองค์ชายใหญ่อีกด้วย
หลงจู๊ใหญ่หวังใช้นกพิราบส่งสารไปให้คุณชายใหญ่หวังเฉินของตระกูลหวัง ในเวลาเดียวกันนั้นยังส่งคนไปแจ้งข่าวหวังซีครั้งหนึ่งด้วย
หวังซีได้รับข่าวแล้วพรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง
คนยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว
คิดว่ามนุษย์นั้นกว่าจะมาจุติยังโลกมนุษย์จนเติบใหญ่มามีร่างกายสูงเด่นเป็นสง่าและองอาจกล้าหาญเหมือนเอกบุรุษนี้ ไม่รู้ว่าได้รับความเมตตาจากสวรรค์มาแล้วมากมายเท่าไร และไม่รู้ว่าใช้แรงใจแรงกายของคนไปแล้วมากมายเพียงใด หากตายไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ นางคิดๆ แล้วก็ให้รู้สึกเจ็บปวดเหมือนหัวใจและตับถูกควักออกมา จิตใจไม่อาจสงบได้
บัดนี้คนยังปลอดภัยดีก็ใช้ได้แล้ว
ย่อมคิดหาทางออกได้เสมอ
เพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนี้หวังสี่ยังปลอดภัยดีหรือไม่ ยังอยู่ข้างกายเฉินลั่วหรือว่าไปหาที่ซ่อนตัวแล้ว?
ก่อนเขาออกไปนางเคยกำชับเขาแล้วว่าต้องรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ก่อน หวังสี่ยังมีหวังหมัวมัวให้ต้องกตัญญู เขาน่าจะเชื่อฟังถ้อยคำของนาง
หวังซีอยากส่งคนไปถามเฉินลั่วเหลือเกินว่าขาดเหลืออะไรหรือเปล่า ต้องการให้นางส่งตั๋วเงินหรือไม่ก็เตรียมโสมอายุร้อยปีไปให้หรือไม่?
น่าเสียดายที่สถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่กระจ่าง การอยู่นิ่งๆ เอาไว้ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด ต่อให้นางเป็นห่วงมากเพียงใด ก็ไม่กล้าขยับตัวทำอะไรตามใจชอบ ได้แต่ไปจุดธูปที่ห้องพระให้มากขึ้น คัดพระธรรมเพิ่มมากขึ้น อ้อนวอนขอให้องค์พระโพธิสัตว์ปกป้องคุ้มครองเขาให้ปลอดภัยและราบรื่น
ด้านหวังซีสวดมนตร์ให้เฉินลั่วอยู่ในห้องพระเล็กภายในเรือนชั้นในของจวนหย่งเฉิงโหว ฟากเฉินลั่วกลับนอนพักผ่อนอย่างสบายใจไปตื่นหนึ่ง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ คิดว่าหากไม่มีจอมยุทธ์ที่หวังซีใช้เงินจ้างวานมาเหล่านั้น เขามีความรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ ราวกับว่าทุกอย่างที่เคยโยนทิ้งไปก่อนหน้านี้ บัดนี้มาปรากฏอยู่ในความทรงจำหมดแล้ว ตัวเขาในตอนนี้ เหมือนได้ชีวิตใหม่ จึงจำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ ให้สมกับเงินทองที่กองสูงเท่าตัวเขาที่หวังซีเสียไปเหล่านั้น
เขาถึงกับมีความคิดตลกๆ หนึ่งผุดขึ้นมา รู้สึกว่าตัวเองเหมือนรูปปั้นเด็กที่ทำขึ้นมาจากทองคำ และคนที่ยอมใช้ทองคำสร้างเขาขึ้นมาก็คือหวังซี
ต้องชอบมากขนาดไหนถึงยอมใช้เงินทองมากมายขนาดนี้
เฉินลั่วไปพบเซียวเหยาจื่อด้วยมุมปากแต้มยิ้ม
***
ตอนเซียวเหยาจื่อเห็นเฉินลั่วมีแวบหนึ่งที่สงสัยว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วใช่หรือไม่
คนตรงหน้าที่ยังคงแต้มร้อยยิ้มมีความสุข ถึงขั้นมีสีหน้าท่าทางพึงพอใจเป็นอย่างมากทั้งที่อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้านผู้นี้ ใช่เฉินลั่วคนที่มาที่นี่เพื่อลากวัดเจินอู่ลงน้ำไปด้วยผู้นั้นจริงๆ หรือ
หรือในเรื่องนี้มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรเกิดขึ้น? หรือพวกเขาคิดมากไปเอง?
เซียวเหยาจื่ออดหยั่งเชิงเขาไม่ได้ว่า “นี่ท่านเป็นอะไรหรือ ต้องการให้ข้าช่วยเจ้านำจดหมายไปส่งให้จวนเจิ้นกั๋วกงหรือไม่ก็จวนจ่างกงจู่สักฉบับหรือไม่”
เฉินลั่วสงสัยว่าน้ำคงเข้าไปในสมองของเซียวเหยาจื่อหมดแล้ว
เขาเป็นคนที่หวังเฉินแนะนำมาให้ ไม่น่าจะโง่งมขนาดนี้ถึงจะถูก!
เฉินลั่วในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ต่อให้เขาไม่มีอารมณ์แต่ก็คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องอ้อมค้อมกับเซียวเหยาจื่อ เขากล่าวกับเซียวเหยาจื่อตามตรงว่า “ในเมื่อเจ้าไปพบนักบวชของวัดเจินอู่มาแล้ว คาดว่าวัดของพวกท่านน่าจะหารือจนได้คำตอบหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เรื่องของราชวงศ์บางเรื่องก็ไม่อาจเอาออกมากางพูดกันอย่างเปิดเผยได้ ที่ข้าช่วยองค์ชายใหญ่ออกมาก็เพราะจวนชิ่งอวิ๋นโหวสอดมือเข้ามายุ่ง บัดนี้ข้าไม่เชื่อใจใครทั้งสิ้น เพียงอยากรออยู่ที่วัดเจินอู่จนกว่าราชสำนักจะมาตามหา…
…วัดเจินอู่อยู่นอกเมือง เหตุใดต้องรีบร้อนลงสนามด้วย? ตามความเห็นของข้าแล้ว ไม่โง่ไม่หูหนวกบ้าง เป็นผู้อาวุโสไม่ได้ วัดเจินอู่เองก็ควรจะเป็นเหมือนข้า อยู่เงียบๆ เอาไว้ถึงจะถูก”
นี่หมายความว่าต้องการให้วัดเจินอู่ไม่ต้องขยับเขยื้อนทำอะไร
นี่ย่อมเป็นประโยชน์กับวัดเจินอู่มากที่สุด
เซียวเหยาจื่อมองเฉินลั่วอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง ถามขึ้นว่า “ใต้เท้าเฉินมีแผนการอย่างไร”
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่มีแผนการอะไร! มีคนกัดข้าครั้งหนึ่ง ข้ายังต้องแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ ผู้อื่นทำอย่างไรข้าก็แค่ทำอย่างนั้นก็ได้แล้ว หากเอาแต่กระทำตามทุกคน ก็ไม่มีทางเป็นอิสระได้”
จริงหรือ?
เซียวเหยาจื่อมองนัยน์ตาไร้แววยิ้มแย้มของเฉินลั่วแล้วรู้สึกหนาวเหน็บอยู่ในใจ มีความรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะจบลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ ไม่แน่ว่าเฉินลั่วอาจพูดประชดก็เป็นได้
แต่ให้ประมือกับฮ่องเต้ เฉินลั่วคงไม่มีความกล้าและความสามารถเช่นนั้นหรอกกระมัง
เซียวเหยาจื่อรู้สึกว่าตัวเองคิดมากเกินไปอีกแล้ว เขากล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าก็จะทำตามคำสั่งของท่านอย่างเคร่งครัด”
เฉินลั่วกล่าว “และเพราะเช่นนี้ หากองค์ชายใหญ่เป็นอะไรไป พวกเราถึงจะเดือดร้อน!”
เซียวเหยาจื่อเข้าใจแล้ว พึมพำกล่าวว่า “ให้องค์ชายใหญ่ไปรักษาตัวที่เรือนข้าดีหรือไม่ ข้าคิดว่าฝีมือด้านการแพทย์ของตัวเองก็ไม่เลวนัก”
เฉินลั่วยักคิ้วอย่างไม่ใส่นัก
ในเมื่อพาคนมาแล้ว วัดเจินอู่อยากลอยตัวอยู่เหนือปัญหาก็ทำไม่ได้แล้ว
อาการบาดเจ็บขององค์ชายใหญ่นั้น ต่อให้พวกเขาไม่อยากรักษาก็ต้องรักษา
เซียวเหยาจื่อเป็นเช่นนี้ ก็แค่ทำให้เรื่องราวง่ายดายขึ้น ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นเท่านั้น
เฉินลั่วพยักหน้า ให้จอมยุทธ์สองคนตามเซียวเหยาจื่อไปพบองค์ชายใหญ่ ส่วนตัวเขากับองค์ชายใหญ่นั้นเจอกันเมื่อไรต่างคนต่างก็รังเกียจซึ่งกันและกัน เขาจึงไม่ไปหาความขุ่นเคืองให้ตัวเองแล้ว
………………………………………………………………………..
ตอนต่อไป