เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 176 ผิดหวัง
ภายใต้คบเพลิงนั้น สีหน้าของอวี๋จงอี้ไม่น่าดูมากเท่าที่จะมากได้
เฉินลั่วกลับยิ้มบางๆ
ผู้อื่นต่างคิดว่าตระกูลซือเป็นตระกูลที่ยืนหยัดขึ้นมาได้ด้วยการพึ่งพาอวี๋จงอี้ ตระกูลซือก็เหมือนกับผู้ติดตามของอวี๋จงอี้ ทว่าเขาเคยสืบมาอย่างละเอียดแล้ว อวี๋จงอี้เป็นคนที่เอาแต่ใจมาก ตอนแรกที่เขาถูกบีบให้ไปรับราชการอยู่ต่างเมือง หลักๆ แล้วก็เพราะนิสัยที่ไม่อาจอดทนอดกลั้นของเขา อย่างไรก็ตามหลังจากที่ไปรับราชการต่างเมืองหลายปี ทำให้ได้รู้ถึงความยากลำบากของโลกใบนี้ จึงระงับนิสัยบางอย่างเอาไว้ได้ก็เท่านั้น
แต่กมลสันดานของเขายังอยู่ตรงนั้น อีกทั้งได้เป็นถึงขุนนางใหญ่ในสภา ต่อให้อดกลั้นเอาไว้อย่างไร เนื้อในก็ยังคงโหดเหี้ยมหลายส่วนอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสถานะและตำแหน่งของเขาตอนนี้ ไม่ว่าใครได้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่อาจปฏิบัติต่อเขาอย่างอยุติธรรมได้ เขาเหมือนกับเฉินลั่ว การไม่เลือกข้างคือวิธีรักษาตำแหน่งที่ยั่งยืน
ตระกูลซือกลับลากเขาลงน้ำไปด้วย
ไม่แปลกที่ครั้งนี้เขาต้องมารับองค์ชายใหญ่ด้วยตัวเอง
แปดถึงเก้าในสิบส่วนเป็นเพราะอยากประกาศท่าทีของตัวเองต่อเรื่องนี้ให้ชัดเจน
หากเป็นเฉินลั่วคนก่อน ก็คงลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งปล่อยผ่านไปแล้ว แต่น่าเสียดาย เขามาพบกับเฉินลั่วคนปัจจุบันเข้า
เฉินลั่วจะปล่อยโอกาสดีเช่นนี้ไปได้อย่างไร
อวี๋จงอี้อยากลอยตัวอยู่เหนือปัญหา เกรงว่าคงไม่ง่าย!
เฉินลั่วไม่กล่าวอะไรสักประโยค ทำความเคารพอวี๋จงอี้ครั้งหนึ่งท่ามกลางเสียงดังพึ่บพั่บของเปลวเพลิง ขานเรียก “ใต้เท้าอวี๋” เสียงหนึ่งอย่างนอบน้อม กล่าวว่า “ท่านมารับองค์ชายใหญ่กลับวังหรือ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่สะดวกต่อการขยับเขยื้อน คงต้องรบกวนท่านไปดูเขาด้วยตัวเองแล้ว”
ตอนที่อวี๋จงอี้รู้ว่าตระกูลซือเข้าไปแทรกแซงเรื่องส่วนตัวของราชวงศ์นั้น เขาระงับความเดือดดาลในใจเอาไว้ไม่อยู่ ด่าทอตระกูลซืออย่างรุนแรงไปหลายประโยค
ผู้ช่วยของเขาเห็นเช่นนั้นก็อดบ่นไม่ได้ว่า ท่านให้ความสำคัญกับมิตรภาพมากเกินไป คนไม่รู้สูงต่ำอย่างตระกูลซือนี้ ท่านควรขีดเส้นกับพวกเขาให้ชัดเจนไปตั้งนานแล้ว หาไม่วันนี้พวกเขาคงไม่ทำให้ท่านต้องเดือดร้อนไปด้วยเช่นนี้ ข้าว่า ต้องทำให้คนตระกูลซือรู้จักดีชั่วถึงจะถูก มิใช่ท่านไปจากตระกูลซือไม่ได้ มิใช่ท่านที่อยากมีแม่ทัพใหญ่เช่นตระกูลซือ แต่เป็นตระกูลซือที่ไปจากท่านไม่ได้ หากไม่มีท่านพวกเขาก็คงก้าวไปไหนไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว
อวี๋จงอี้หน้าซีดเผือด ไม่กล่าวสิ่งใด
ผู้ช่วยคนนั้นเห็นเช่นนั้นก็กล่าวต่อไปอย่างอดไม่อยู่ว่า หากมิใช่ท่าน เขาจะนั่งอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ได้อย่างมั่นคงหรือ แต่ท่านดูเขา เปลี่ยนที่ครั้งแล้วครั้งเล่า ผลสุดท้ายเล่า? ช่วยพวกเขาติดสินบนไปจนถึงฮ่องเต้แล้วด้วยซ้ำ เขากลับไม่มีปัญญาอยู่ที่ใดที่หนึ่งได้นาน ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ล้วนแล้วแต่เป็นหญ้าเหนือกำแพงที่ประจบผู้สูงกว่าเหยียบย่ำผู้ต่ำกว่าเหล่านั้นทั้งสิ้น ข้าว่าจวนชิงผิงโหวยังพึ่งพาได้มากกว่าพวกเขาเสียอีก
อวี๋จงอี้รู้สึกว่าที่ผู้ช่วยของเขากล่าวมามีเหตุผล จึงบังเกิดความคิดหนึ่งในใจ แต่ให้พูดออกมาตอนนี้ก็ไม่มีความหมายอะไร เขาเปลี่ยนไปสวมชุดขุนนางแล้วเดินทางเข้าวัง อยากเก็บกวาดกระดานหมากตาสุดท้ายให้เรียบร้อยก่อนที่ตระกูลซือจะสร้างเรื่องวุ่นวายมากไปกว่านี้
เพราะเหตุนี้เขาถึงได้อาสามารับองค์ชายใหญ่ด้วยตัวเอง
เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือเฉินลั่วอยู่กับองค์ชายใหญ่ด้วย นอกจากนี้ยังเป็นคนช่วยชีวิตองค์ชายใหญ่และพาองค์ชายใหญ่มารักษาบาดแผลที่วัดเจินอู่
เขาอดถามเฉินลั่วไม่ได้ว่า “เหตุใดเจ้ากับองค์ชายใหญ่ถึงอยู่ด้วยกันได้”
ตามหลักแล้ว เฉินลั่วควรสนิทสนมกับองค์ชายรองมากกว่าถึงจะถูก
หากองค์ชายใหญ่สวรรคต รูปการณ์ย่อมเป็นผลดีต่อองค์ชายรองมากกว่า
เฉินลั่วกำลังคิดจะหาโอกาสล้วงข้อมูลจากอวี๋จงอี้พอดี เพียงแต่ว่าคนอย่างอวี๋จงอี้นี้ล้วนแล้วแต่เป็นจิ้งจอกเฒ่าเขี้ยวคมกันทั้งสิ้น ต่อให้เขาอยากถามแค่ไหน ก็ต้องดึงพลังใจออกมาสิบสองส่วน เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง หาไม่นอกจากสอบถามอะไรออกมาไม่ได้แล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าตนอาจถูกล่อลวงแทน
เขาตอบ “ช่วงนี้ข้าติดตามองค์ชายใหญ่ไปสังเกตการณ์ที่กรมอาญา จึงมีโอกาสออกไปเดินเล่นกับองค์ชายใหญ่บ้างเป็นครั้งคราว ครั้งนี้ก็นัดองค์ชายใหญ่ไปชิมอาหารเจที่วัดหลิงกวง”
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงถูกคนลอบสังหารนั้น เขามีท่าทีเหมือนไม่สะดวกที่จะเล่ารายละเอียด ทำให้อวี๋จงอี้ลอบด่าฮ่องเต้อยู่ในใจไปหลายประโยค
อยากแต่งตั้งบุตรชายที่ถือกำเนิดจากสตรีอันเป็นที่รักของตัวเองขึ้นเป็นไท่จื่อ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่เพราะเหตุนี้ถึงกับต้องสังหารบุตรชายที่ถือกำเนิดจากภรรยาร่วมผูกผม นี่ต่างอะไรจากสามีในหมู่บ้านชนบทที่ต้องการเอาใจอนุละเลยภรรยาเหล่านั้น?
ฮ่องเต้แก่แล้วจริงๆ ถูกหนิงผินผู้นั้นใช้อุบายล่อลวงจนไม่มีเหตุผลเหลืออยู่แล้ว
อวี๋จงอี้นำหมวกดังกล่าวไปวางไว้บนศีรษะของหนิงผิน รู้สึกว่าฮ่องเต้ถูกสตรีร้ายกาจผู้นี้ล่อลวง
แต่ในยามคับขันเฉินลั่วกลับคุ้มกันองค์ชายใหญ่อย่างไร้อคติได้ ในสายตาของเขาแล้ว นับว่ามีศักยภาพในการเป็นขุนนางภักดี เป็นขุนนางมือสะอาด กระทั่งเป็นขุนนางที่กล้าพูดต่อหน้าจักรพรรดิอย่างตรงไปตรงมา
คนหนุ่มที่ไม่ก้มหัวให้ผู้มีอำนาจ มีหลักการและความคิดเป็นของตัวเอง คนเช่นนี้ได้รับการยกย่องจากคนที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกนี้มาโชกโชนอย่างอวี๋จงอี้เป็นที่สุดแล้ว
เขาพยักหน้าน้อยๆ ไม่กล่าวอะไรกับเฉินลั่วอีก ตรงไปยังห้องยาที่องค์ชายใหญ่พักรักษาตัวอยู่
องค์ชายใหญ่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเผชิญหน้ากับความขัดแย้งด้านนอกอย่างไร เขาจึงหลับตาแสร้งนอนหลับ
อวี๋จงอี้เห็นว่าอาการบาดเจ็บของเขาสาหัสมากจริงๆ ไม่สะดวกเคลื่อนย้ายเขา จึงทิ้งคนของกองพลขนนกซ้ายและกองพลทองคำซ้ายเอาไว้เฝ้าระวังภัยอยู่ที่วัดเจินอู่ ส่วนตัวเองบอกกล่าวผู้บังคับบัญชากองพลทั้งสองไปสองสามประโยคแล้วถึงได้ถามเฉินลั่วว่า “เจ้าจะอยู่ดูแลองค์ชายใหญ่ที่นี่หรือจะตามข้ากลับจิงเฉิง?”
เฉินลั่วตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “ข้าอยู่ดูแลองค์ชายใหญ่ที่นี่ดีกว่า! ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร เขาก็เป็นญาติผู้พี่ของข้า รออาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นจนเหมาะแก่การเคลื่อนย้ายแล้วข้าค่อยกลับไปโขกศีรษะให้เสด็จลุง จะว่าไปแล้ว ล้วนเป็นข้าที่ไม่อาจดูแลองค์ชายใหญ่ให้ดี...”
อวี๋จงอี้รู้สึกว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน องค์ชายใหญ่ยังไม่ตาย ฮ่องเต้คิดจะทำอย่างไรต่อ? จวนชิ่งอวิ๋นโหวเคลื่อนกองพลขนนกซ้ายได้อย่างไร? เฉินลั่วถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วย ตระกูลซือเข้าไปผสมโรงด้วย ควรจะจัดการอย่างไรดี...คิดแล้วเขารู้สึกปวดศีรษะไปหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องยังต้องสร้างความสมดุลเรื่องสายสัมพันธ์ต่างๆ อีก เฉินลั่วรั้งอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน ทุกคนต่างถอยกันคนละหนึ่งก้าว หาวิธีชดเชยที่ต่างฝ่ายต่างยอมรับได้สักวิธีหนึ่ง แล้วรีบปกปิดเรื่องอื้อฉาวนี้ให้เร็วที่สุดคือสิ่งเร่งด่วนในตอนนี้
“เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย” อวี๋จงอี้จำต้องกำชับเขา “หลังกลับไปแล้ว ข้าจะส่งกองพลม้าทะยานมาให้ด้วย ล้วนเป็นคนของเจ้าทั้งสิ้น เจ้าเองก็ได้ใช้งานได้สะดวก”
เฉินลั่วพลันมองอวี๋จงอี้ด้วยความยกย่องมากขึ้นหลายส่วน
คนที่เป็นถึงขุนนางใหญ่ได้ แต่ละคนล้วนไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
นี่เท่ากับมอบกุญแจต่ออายุให้เขาเพิ่มอีกชั้นหนึ่ง
เขาทำความเคารพอวี๋จงอี้ด้วยความจริงใจ รู้สึกว่าตระกูลซือช่างโชคดีจริงๆ ถึงกับมีที่หลบภัยเป็นอวี้จงอี้ แม้นกล่าวว่าอวี๋จงอี้ผู้นี้เป็นบัณฑิตเรียนหนังสือ ทว่ากระทำสิ่งใดกลับองอาจกล้าหาญกว่าขุนนางฝ่ายบู๊เหล่านั้นเสียอีก
เฉินลั่วส่งอวี๋จงอี้ออกไปแล้ว คิดคำนวณอยู่ในใจว่า ควรดึงอวี๋จงอี้มาเป็นพวกเดียวกับเขาหรือไม่ ดีร้ายก็เป็นภูเขาให้พึ่งพิงได้
อวี๋จงอี้กลับกำลังคิดว่าประเดี๋ยวพบฮ่องเต้ต้องพูดอะไรบ้าง แต่เมื่อเขาเข้าไปในวัง กลับถูกขันทีประจำตำหนักเฉียนชิงขวางเอาไว้ด้านนอก ยังกระซิบรายงานเขาด้วยว่า “หม่ากงกงกลับมาแล้ว ฝ่าบาทกำลังคุยกับเขาอยู่ ท่านกรุณารอสักครู่”
ผู้บังคับบัญชาใหญ่ที่ฮ่องเต้ส่งไปครานี้คือหม่าซาน บัดนี้องค์ชายใหญ่รอดชีวิตมาได้ ข่าวฮ่องเต้สังหารโอรสจึงถูกเปิดเผยออกไป คนที่พอมีหน้ามีตาในจิงเฉิงต่างรู้การกระทำของฮ่องเต้หมดแล้ว เกรงว่าชีวิตของหม่าซานคงไม่ราบรื่นนัก
เขาหันไปพยักหน้าให้ขันทีผู้นั้น ตามขันทีคนดังกล่าวไปยังห้องน้ำชาของตำหนักเฉียนชิง
หม่าซานกลับเจ้าเล่ห์กว่าที่อวี๋จงอี้คิดเอาไว้มากโข เขาคุกเข่าหน้าผากแนบพื้นอยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ กล่าวด้วยน้ำตาคลอหน่วยว่า “บ่าวตื้นเขินดั่งหัวใจถูกพอกด้วยมันหมู กลัวถูกเหล่าขุนนางใหญ่รู้เรื่อง แต่ผู้ใดจะรู้ว่าหวาดกลัวสิ่งใดสิ่งนั้นกลับเดินทางมาหา จู่ๆ คนของตระกูลซือก็กระโดดออกมา ตอนนั้นบ่าวไม่ได้คิดอะไรมาก ยังคิดว่าตระกูลซือคงอยากสร้างผลงาน คิดว่าข้าพระองค์เป็นคนสนิทของฝ่าบาท ต่อให้พวกเขาอยากสร้างผลงานก็ต้องให้ฝ่าบาทอนุญาตก่อน นอกจากไม่ห้ามปรามแล้ว ยังคิดเอาไว้ว่าถึงเวลาหากพวกเขาร้องขอผลงานต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ บ่าวจะต้องทำให้พวกเขาล้มลง พวกเขาถึงจะรู้ว่าน้ำในจิงเฉิงนี้ลึกมากเพียงใด…
…แต่ไม่คิดว่าพวกเขากลับมีความคิดเช่นนี้ เป็นคุณหนูของพวกเขา เพื่อตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อแล้วถึงกับต้องการสังหารหลินหลาง!…
…หลินหลางเป็นเสมือนบุตรอีกผู้หนึ่งของพระองค์ นิสัยนั่นคล้ายพระองค์อย่างกับแกะ…
…ตระกูลซือไม่ขยับเขายังคิดไม่ถึง แต่ตระกูลซือจงใจสร้างเรื่องขนาดนี้ คนเฉลียวฉลาดอย่างเขา จะคิดไม่ถึงได้อย่างไร…
…ด้วยเหตุนี้ เขาไม่เพียงไปช่วยองค์ชายใหญ่เท่านั้น ยังแอบหนีไปหลบที่วัดเจินอู่และขอให้นักพรตช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้องค์ชายใหญ่อีกด้วย…
…ฝ่าบาท บ่าวคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะกลายเป็นคนโง่อวดฉลาดไปได้พ่ะย่ะค่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรสภาพของหม่าซาน ความเดือดดาลที่ปะทุขึ้นมาตอนได้ยินข่าวเมื่อครู่ค่อยๆ สงบลงมาตามเวลาที่เคลื่อนผ่านไป
หัวใจเขาสงบดุจน้ำ ออกคำสั่งให้ขันทีข้างกายไปประคองหม่าซานขึ้นมาด้วยสุรเสียงราบเรียบ กล่าวขึ้นอย่างกะทันหันด้วยท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “หม่าซาน เจ้าว่าบัดนี้พวกเราควรทำอย่างไร”
หม่าซานรู้สึกว่าเมื่อก่อนเขารู้พระทัยองค์เหนือหัว แต่นับตั้งแต่ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยว่าจะสังหารองค์ชายใหญ่เพื่อเปิดทางให้องค์ชายเจ็ดเป็นต้นมา เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่รู้แล้วว่าฮ่องเต้กำลังคิดอะไรอยู่บ้าง
เขาก้มหน้าหลุบตาลงเหมือนสมัยที่เพิ่งมาถวายการรับใช้ฮ่องเต้ใหม่ๆ พลางกล่าว “บ่าวไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะค่ะ ขอฝ่าบาทโปรดชี้แนะ”
ฮ่องเต้กล่าว “คงจัดการองค์ชายใหญ่ไม่ได้แล้ว หาไม่ต่อให้ในอนาคตไท่จื่อได้ขึ้นครองราชย์ ฝ่ายร้องเรียนเหล่านั้นก็คงไม่ปล่อยเขาไป ยังมีหลินหลางอีก ข้าหาได้คิดอยากได้ชีวิตของเขา ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้เจ้าเหลือทางรอดเอาไว้ให้เขา แต่เด็กสองคนนี้ก็ต้องรู้จักหนักเบา ในใจต้องกระจ่างแจ้งว่าอะไรพูดได้ อะไรพูดไม่ได้ถึงจะถูก”
ซึ่งก็หมายความว่า ฮ่องเต้ต้องการให้ปิดเรื่องนี้เอาไว้
หม่าซานรีบกล่าว “ฝ่าบาท ข้าพระองค์เป็นตัวแทนพระองค์เดินทางไปวัดเจินอู่สักครั้งดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างพอใจ
หม่าซานรีบโขกศีรษะให้ฮ่องเต้แล้วออกจากตำหนักเฉียนชิงไป
ฮ่องเต้จับจ้องอยู่ที่พื้นตรงที่หม่าซานเพิ่งโขกศีรษะไปเมื่อครู่ หัวเราะเยียบเย็นออกมา
***
หม่าซานรู้ว่ามหันตภัยร้ายแรงกำลังมาจวนตัวแล้ว ต่อให้หลังจากนี้เขาทำงานได้ดีเพียงใด ก็คงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้ว
แต่มนุษย์ยิ่งอยู่ก็ยิ่งกลัวตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้คือช่วงเวลาที่เขาสะดวกสบายที่สุดในชีวิต เขาจะทำใจตายได้อย่างไร
ควรไปขอความคุ้มครองจากจวนชิงผิงโหวหรือจวนเจิ้นกั๋วกงดีนะ?
คนแรกซื่อสัตย์เถรตรงเกินไป คนหลังก็ไร้ความจริงใจเชื่อถือไม่ได้
หรือว่า ไปขอเจียงชวนป๋อช่วยตัดสินใจ?
เขา ‘เขมือบพยัคฆ์ในคราบสุกร’ มานานหลายปี มิใช่ว่าใครๆ ก็ทำได้
หม่าซานครุ่นคิดไปด้วย มุ่งหน้าออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อนไปด้วย
***
ด้านองค์ชายรอง ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ คล้ายเสือดาวกำลังเดือดดาลตัวหนึ่ง แต่ถูกชิ่งอวิ่นโหวจับตัวเอาไว้ในห้อง
“องค์ชายรอง เวลานี้เจ้าต้องสงบนิ่งเอาไว้ และต้องฟังข้าพูดให้จบ” เขาแนะนำหลานชายของตัวเองด้วยความหวังดี “เวลานี้ไม่เหมาะสมที่เจ้าจะไปเจอเฉินลั่ว และยิ่งไม่เหมาะสมที่จะไปพบองค์ชายใหญ่ หากฮ่องเต้ถามขึ้นมา เจ้าคิดว่าจะตอบอย่างไร ถ้าฝ่าบาทสงสัยว่าเจ้าซ่องสุมพรรคพวก เจ้าคิดว่าจะรับมืออย่างไร”
“ข้าเจ็บปวดมามากพอแล้ว” นัยน์ตาขององค์ชายรองแดงก่ำมากยิ่งขึ้น เขากัดฟันกรอดพลางกล่าวเสียงเบาว่า “ต่อให้ข้าไม่ใช่องค์ชายรอง ข้าก็ยังเป็นน้องชายขององค์ชายใหญ่ ข้าไปเยี่ยมเขาแล้วอย่างไร? เรื่องที่เขาได้รับบาดเจ็บมิใช่ความจริงหรือ? เขาถูกคนลอบสังหารมิใช่เรื่องจริงหรือ ในเมื่อกล้าทำ เหตุใดถึงไม่กล้ารับ? ท่านน้า ข้ารู้ว่าท่านทำเพื่อข้า ที่ผ่านมาเนิ่นนานหลายปีข้าเองก็เชื่อฟังท่านมาโดยตลอด อยู่ในโอวาทไม่กล้าละเมิดกฎแม้แต่ครึ่งก้าว แต่เช่นนี้แล้ว ฮ่องเต้โปรดปรานข้า ยอมรับข้าหรือไม่?”
ไม่
ฮ่องเต้ก็ยังไม่ยอมแต่งตั้งองค์ชายรองเป็นไท่จื่ออยู่ดี
ชิ่งอวิ๋นโหวนิ่งเงียบ
เขาควรกระจ่างแจ้งมาตั้งนานแล้วว่านับตั้งแต่ที่ตระกูลปั๋วของพวกเขาสนับสนุนให้ฮ่องเต้ขึ้นสู่บัลลังก์ได้สำเร็จ พวกเขาก็ไม่มีประโยชน์สำหรับฮ่องเต้อีกแล้ว ฮ่องเต้ไม่มีทางยอมให้ตระกูลปั๋วได้เป็นใหญ่
การถือกำเนิดขององค์ชายรองคือตราบาปของเขา
………………………………………………………………….
ตอนต่อไป