เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 4 สงสัยใคร่รู้
หวังหมัวมัวเป็นบ่าวของสกุลหวังมาหลายชั่วอายุคน บรรพบุรุษเคยรับใช้เจ้านายสกุลหวังมาหลายต่อหลายรุ่น ตอนที่มารดาของหวังซีแต่งเข้ามานั้นข้างกายมีบ่าวหญิงที่เพิ่งซื้อมาเพียงสองคนเท่านั้น หวังหมัวมัวคือคนที่ท่านย่าของหวังซีคัดเลือกออกมาจากสาวใช้ที่มีอายุเหมาะสมหลายสิบคนเพื่อให้มาปรนนิบัติรับใช้มารดาของหวังซี ต่อมาได้รับความไว้วางใจจากมารดาของหวังซี ให้มาเป็นแม่นมของหวังซี ยังให้หวังซีรับหวังสี่เป็นพี่ชายร่วมน้ำนมอีกด้วย
ตอนนี้นางไม่กล่าวถึง แต่ถึงเวลาหวังสี่ย่อมติดตามหวังซีไปบ้านสามีด้วย ย่ำแย่ที่สุดก็เป็นพ่อบ้านใหญ่ช่วยดูแลสินเจ้าสาวให้หวังซี แต่ถ้าหากหวังสี่พอจะมีความสามารถ ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะได้เป็นพ่อบ้านใหญ่ให้บุตรชายของหวังซีด้วย
หวังซีและครอบครัวของพวกนาง มีความสัมพันธ์ฉันนายบ่าวกันแบบมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน
การเดินทางมาเยือนจิงเฉิงครานี้ มารดาของหวังซีจึงไว้วางใจให้หวังหมัวมัวเป็นผู้ดูแลความปลอดภัยให้บุตรสาว
จึงเป็นธรรมดาที่พอหวังหมัวมัวเข้าจวนหย่งเฉิงโหวมาแล้วจึงขยันขันแข็งเป็นอย่างมาก เพียงไม่กี่วัน คนในจวนหย่งเฉิงโหวไม่ว่าระดับบนหรือระดับล่างผู้ที่สมควรติดสินบนล้วนติดสินบนจนครบถ้วน เมื่อไรก็ตามที่จวนหย่งเฉิงโหวมีลมพัดต้นหญ้าขยับ ต่อให้นางไม่อาจรู้ความเคลื่อนไหวในทันที แต่ก็ปิดบังได้ไม่นาน
หวังซีเอ่ยถามถึงฮูหยินผู้เฒ่า หวังหมัวมัวรีบยิ้มตอบเสียงอบอุ่นว่า “เช้าวันนี้นางรับประทานโจ๊กขาวไปครึ่งถ้วย ซาลาเปาครึ่งลูก และยำถั่วงอกอีกหนึ่งจานเล็กแล้วก็พักผ่อน จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่ตื่นเลยเจ้าค่ะ”
ว่ากันว่าวัดหงหลัวที่ชานเมืองขอเรื่องแต่งงานศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เมื่อวานฮูหยินผู้เฒ่าจึงพาหวังซีไปวัดหงหลัว บางทีอาจเป็นเพราะเดินทางไปกลับในวันเดียวกัน เป็นการเดินทางที่เร่งรีบมากเกินไป หลังจากกลับมาแล้วฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกเหนื่อยล้าหมดเรี่ยวแรง เช้าตรู่วันนี้จึงให้สาวใช้มาแจ้งแต่ละเรือน ให้พวกนางไม่ต้องไปคารวะเช้า
หวังซีได้ยินแล้วพยักหน้า กล่าวว่า “เจ้าให้สาวใช้เด็กไปดูสักหน่อย หากฮูหยินผู้เฒ่ายังพอมีความอยากอาหารอยู่บ้าง ก็ใช้ขิงอ่อนสดใหม่ปรุงเป็นน้ำแกงปลาตะลุมพุก ส่งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าหนึ่งตัว แต่ถ้าฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากอาหาร เช่นนั้นก็ให้นำขาหมูรมควันเมืองเซวียนเวยที่หลงจู๊ใหญ่ส่งมาให้เมื่อสองวันก่อนรวมกับหน่อไม้สดใหม่ของฤดูใบไม้ผลิไปนึ่งด้วยกัน ถึงเวลายกไปรับประทานเป็นมื้อเย็นพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่า”
นับตั้งแต่นางเข้าจวนมา ฮูหยินผู้เฒ่ารับประทานมื้อเย็นพร้อมกับหวังซีทุกวัน จากนั้นก็รั้งนางให้อยู่พูดคุยด้วยครู่หนึ่งทุกครั้ง
หวังหมัวมัวยิ้มตาหยีขานรับ เจ้าค่ะ กล่าวชมเชยหวังซีว่า “หากมิได้ออกจากบ้านครานี้ ข้าคงไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่มีความสามารถขนาดนี้ หากนายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ คุณชายใหญ่และคุณชายรองได้เห็นคุณหนูใหญ่เป็นเช่นนี้ จะต้องดีใจมากเป็นแน่”
นางรู้สึกปลาบปลื้มยินดีมากจริงๆ
ตอนอยู่บ้าน หวังซีไม่สนใจอะไร มิตรสหายที่ไปมาหาสู่กับที่บ้านนางล้วนไม่ตอบรับ นี่อาจจะเป็นเพราะนายท่านใหญ่และคุณชายใหญ่รู้สึกว่าจะช้าเร็วคุณหนูใหญ่ก็ต้องออกเรือน ต่อไปเมื่อไปเป็นบุตรสะใภ้ของผู้อื่นแล้วก็ต้องรับผิดชอบดูแลเรื่องภายในบ้าน ก็เลยตามใจจนเคยตัว เมื่อก่อนนางยังเป็นห่วงมาตลอดว่าเมื่อเข้าจวนมาแล้วจะทำอย่างไรดี ผู้ใดจะรู้ว่าคุณหนูใหญ่ก็คือคุณหนูใหญ่ ยามทำสีหน้าเคร่งขรึม คล้ายคลึงนายท่านใหญ่อยู่หลายส่วน ควบคุมผู้คนได้
จากนั้นนางยื่นรายการอาหารที่แม่ครัวทั้งสองคนจำแนกออกมาอย่างเป็นระเบียบช่วงสองสามวันนี้ให้หวังซีดู
แม่ครัวทั้งสองคนนั้นผู้หนึ่งเชี่ยวชาญการทำอาหารหมักดอง อีกผู้หนึ่งเชี่ยวชาญการทำอาหารปรุงสุก
หวังหมัวมัวจึงเอ่ยถามว่า “ซื้อคนที่เชี่ยวชาญการทำขนมหวานของซูโจวมาอีกสักคนดีหรือไม่เจ้าคะ”
หวังซีชอบกินขนมหวานเป็นอย่างมาก แต่ขนมหวานของจวนหย่งเฉิงโหวนั้นหากมิใช่ขนมถั่วลันเตาเหลือง[1] ขนมลาม้วนตัว[2] ก็เป็นขนมดอกเบญจมาศ[3] ทั้งแห้งทั้งแข็ง อร่อยไม่เท่าร้านเก่าแก่ของจิงเฉิงอย่างร้านเจกุ้ยซุ่น ยิ่งเทียบไม่ได้กับร้านเจจี๋เสียงและร้านเจียวจยาที่ทำขนมหวานซูโจวเหล่านั้นเลย
“ได้!” หวังซีไม่เคยปล่อยให้ตัวเองต้องลำบาก “เช่นนั้นก็ซื้อแม่ครัวทำขนมหวานของซูโจวกลับมาอีกสักคนหนึ่งก็แล้วกัน”
ถึงเวลาส่งไปให้แต่ละเรือนในจวนหย่งเฉิงโหวสักสองสามจานเล็ก ให้พวกนางได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าขนมหวาน
อย่างไรก็ตาม จะว่าไปแล้วคนจวนหย่งเฉิงโหวก็น่าเห็นใจนัก ฝีมือการทำอาหารของเรือนครัวย่ำแย่ขนาดนั้น ไม่รู้ว่าที่ผ่านมามีชีวิตอยู่กันอย่างไร
ได้ยินว่าตอนที่ท่านโหวผู้เฒ่ายังเป็นนายของบ้านอยู่นั้น ‘เรียบง่าย’ ยิ่งกว่านี้เสียอีก อาหารการกินนั้นขอเพียงร้อน ส่วนขนมหวานขอเพียงมีรสหวานก็เป็นอันใช้ได้แล้ว ทว่ากลับชื่นชอบให้ตัดเย็บเสื้อผ้าอาภรณ์นัก ในหนึ่งปีสี่ฤดูกาลนั้น ทุกคนในครอบครัวจะตัดชุดใหม่ทุกๆ ปี
โชคดีที่มารดาของนางแต่งเข้าบ้านของพวกเขา
ที่บ้านของพวกเขานั้นแค่แม่ครัวทำขนมหวานของซูโจวก็มีเจ็ดถึงแปดคนแล้ว ยังมีแม่ครัวทำขนมหวานของก่วงตงอีกห้าถึงหกคนด้วย
พูดถึงเรื่องนี้ ก็ให้นึกถึงซาลาเปาไส้เม็ดบัวและขนมวุ้นแห้วที่บ้านของพวกนางขึ้นมา นางจึงกล่าวอีกประโยคหนึ่งว่า “ซื้อคนที่ทำขนมหวานของก่วงตงเป็นมาด้วยอีกสักหนึ่งคน”
หวังหมัวมัวขานตอบอย่างยิ้มแย้ม พาแม่ครัวทั้งสองคนออกไป
หวังซีศึกษาแผนผังบ้านของจวนจ่างกงจู่กับไป๋ซู่ต่อ
ไม่นานไป๋กั่วก็กลับมา บอกว่าหวังสี่ออกไปพบหลงจู๊ใหญ่ประจำจิงเฉิงของพวกเขาแล้ว ยังให้ไป๋กั่วนำขนมวุ้นซานจามาให้นางด้วยสองกล่อง บอกว่าเมื่อวานออกไปดื่มสุรากับพ่อบ้านผู้หนึ่งของจวนหย่งเฉิงโหว ตอนเดินผ่านตลาดตะวันออกย่านต้าจ้าหลานนั้น เห็นคนหนึ่งกลุ่มยืนห้อมล้อมร้านขนมหวานแห่งหนึ่งเพื่อซื้อขนมวุ้นซานจา เขาชิมไปชิ้นหนึ่งเห็นว่ารสชาติดีจริงๆ จึงซื้อกลับมาด้วยสองกล่อง หากหวังซีกินแล้วชอบจะซื้อมาให้นางอีก
หวังซีชิมไปคำหนึ่ง เปรี้ยวอมหวานและให้รสสัมผัสนุ่มละมุนลิ้น ทั้งไม่หวานเกินไปและไม่เปรี้ยวเกินไป รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว
นางมอบหนึ่งกล่องให้พวกไป๋กั่ว “นี่เป็นขนมวุ้นซานจาที่อร่อยที่สุดนับตั้งแต่ข้าเข้าเมืองหลวงมา”
ไป๋กั่วและคนอื่นๆ ต่างพากันหัวเราะออกมา
หงโฉวยิ่งแล้วใหญ่กล่าวอย่างสดใสร่าเริงว่า “ผู้ใดจะคิดว่าฝีมือการทำอาหารของบ่าวหญิงสูงวัยประจำเรือนครัวของจวนโหวจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้”
มิได้จับตาดูแค่หนึ่งเค่อก็เริ่มพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว
ไป๋กั่วมองหงโฉว ทอดถอนใจอย่างอับจนหนทาง
เป็นไป๋ซู่ที่ยังมีแก่ใจโต้แย้งกับนางต่อ “ถ้อยคำนี้เจ้าพูดกับพวกข้าก็พอ อยู่ข้างนอกไม่อาจพูดตามใจชอบเช่นนี้ได้”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ!” หงโฉวค่อนข้างมีสัญชาตญาณดีต่อภัยที่กำลังมาถึงตัว นางยกเท้าขึ้นวิ่งออกไปข้างนอก “ข้าไปดูสักหน่อยว่าจัดเตรียมอาหารเที่ยงไปถึงไหนแล้ว”
ไป๋ซู่และไป๋กั่วต่างแย้มรอยยิ้มเพลียอย่างอับจนหนทางออกมาพร้อมกัน
หงโฉวกลับชนเข้ากับชิงโฉวที่เดินเข้าประตูมาพอดี ชิงโฉวรีบคว้าตัวหงโฉวเอาไว้ เอ่ยถามว่า “รีบร้อนอะไรขนาดนี้ นี่เจ้ากำลังจะไปทำอะไรหรือ”
“ข้าจะไปดูอาหารเที่ยงสักหน่อย!” หงโฉวตอบอย่างคลุมเครือเสียงหนึ่ง แล้ววิ่งฉิวหนีไปไกล
ชิงโฉวส่ายศีรษะ เข้ามาทำความเคารพหวังซี กล่าวขึ้นว่า “ด้านฮูหยินผู้เฒ่าตั้งใจจะรับประทานมื้อเที่ยงลำพัง ไม่รู้ว่ามื้อเย็นยังจะให้ท่านไปรับประทานอาหารเป็นเพื่อนเหมือนเดิมหรือไม่”
“เช่นนั้นกลางวันนี้ก็กินอะไรง่ายๆ สักหน่อยก็แล้วกัน” หวังซียังเฝ้าขบคิดว่าคนรำกระบี่ผู้นั้นคือใครอยู่ กล่าวว่า “ทำบะหมี่เย็นไก่ฉีกสักอย่างก็พอ”
ความจริงแล้วนี่เป็นอาหารเช้าในฤดูร้อนของสู่จง แต่นางอยากกิน ผู้ใดจะสนใจว่ามันเป็นอาหารเช้าหรืออาหารเย็นอีกเล่า
ไป๋กั่วและคนอื่นๆ รับคำอย่างยิ้มแย้ม บ้างนำความไปแจ้งเรือนครัวเล็ก ปรับเปลี่ยนรายการอาหารเที่ยงใหม่ บ้างไปช่วยจัดเก็บโต๊ะให้หวังซี บ้างไปห้องรับประทานอาหารเป็นเพื่อนหวังซี ช่วยนางถอดเครื่องประดับและเปลี่ยนชุดสำหรับรับประทานอาหาร…และอีกนานัปการ กระทั่งหวังซีนั่งลงตรงหน้าโต๊ะ ชิงโฉววางถ้วยและตะเกียบเรียบร้อย บะหมี่เย็นคลุกน้ำมันพริกสีแดงมันวาวโปะหน้าด้วยไก่ฉีกเป็นฝอย แตงกวาซอยเป็นเส้น เห็ดหูหนูและอื่นๆ หนึ่งถ้วยกับน้ำแกงไก่สีใสโรยต้นหอมซอยหนึ่งถ้วยเล็กก็ถูกยกมาวางลงตรงหน้าหวังซี
หวังซีกินไปคำหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “จิงเฉิงก็มีแค่แตงกวานี้แล้วที่พอจะใช้ได้”
ชิงโฉวและคนอื่นๆ เม้มปากอมยิ้ม ปรนนิบัตินางรับประทานมื้อกลางวันและนอนกลางวันหนึ่งตื่น ช่วงบ่ายหวังซีต้องการอยู่ในห้องหนังสือต่อ พวกนางจึงส่งมอบคนให้ไป๋ซู่ แล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน
ตกเย็น หวังสี่กลับมารายงานว่าหลงจู๊ใหญ่ได้สอบถามจนทั่วหนึ่งรอบแล้ว ร้านค้าใหญ่ทุกร้านล้วนไม่มีกล้องส่องทางไกลแบบที่หวังซีต้องการ แต่ทุกคนต่างรับปากว่าจะช่วยสอดส่องและหาวิธีซื้อมาให้ ที่บ้านเองก็ได้ส่งจดหมายไปแจ้งให้ร้านแต่ละสาขาช่วยหาซื้อมาให้แล้วเช่นกัน
หวังซีพยักหน้า รู้สึกว่าช่วงบ่ายเก็บเกี่ยวความรู้ได้มากนัก ตอนเดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่ายังกล่าวกับไป๋กั่วว่า “ข้านึกตามที่พี่ชายรองเคยบอกข้าก่อนหน้านี้ ตอนนี้รู้แล้วว่าที่ใดคือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ใดคือทิศตะวันตกเฉียงใต้”
“ยินดีกับคุณหนูด้วยเจ้าค่ะ!” ไป๋กั่วลอบถอนหายใจ
นับตั้งแต่ที่คุณชายรองบอกคุณหนูว่าด้านบนของแผนที่คือทิศเหนือเป็นต้นมา คุณหนูใหญ่ก็แยกเหนือใต้ออกตกได้แล้ว แต่ถ้าตัวคนยืนอยู่ในบ้าน ยามที่ไม่เห็นทิศทางของดวงอาทิตย์ จะชี้ทางให้คุณหนูใหญ่ ยังคงต้องใช้คำว่า ‘ทางด้านนี้’ หรือไม่ก็ ‘ทางด้านนั้น’ อยู่
ทั้งสองคนคุยกันมาตลอดทาง ในเวลาไม่ถึงหนึ่งจอกชาก็มาถึงเรือนหยกวสันต์ที่ฮูหยินผู้เฒ่าพักอาศัยอยู่
ซือซื่อหมัวมัวแม่บ้านประจำเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากำลังยืนรออยู่ที่หน้าประตู
นางรีบก้าวออกมาต้อนรับในทันที เห็นไป๋กั่วถือปิ่นโตใส่อาหารมาด้วยเถาหนึ่ง รอยแย้มยิ้มในดวงตาจึงยิ่งเด่นชัดขึ้น กิริยาท่าทางก็ยิ่งแสดงความนอบน้อมมากขึ้น “วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เจอหน้าคุณหนูต่างสกุลมาทั้งวัน กำลังบ่นคิดถึงท่านก็มาพอดี รีบเข้าไปเถิดเจ้าค่ะ!”
ยังเลิกผ้าม่านขึ้นให้หวังซีด้วยตัวเองอีกด้วย
ช่วงเช้าโหวฮูหยินมาสนทนากับฮูหยินผู้เฒ่าครู่หนึ่ง พวกนางจึงทราบแล้วว่าโหวฮูหยินส่งปลาตะลุมพุกไปให้สวนหิมะงามสองตัว แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าย่อมมิได้ตะกละอยากกินปลาตะลุมพุกสองตัวนั้นของหวังซี แต่นับตั้งแต่ที่หวังซีเข้าจวนมา ฮูหยินผู้เฒ่าก็ทะนุถนอมนาง อมไว้ในปากก็กลัวละลาย ประคองไว้บนฝ่ามือก็กลัวกลิ้งตก หลานสาวแท้ๆ ของตัวเองยังต้องไปยืนอยู่ท้ายแถวทั้งหมด ถ้าหากหวังซีรู้จักนึกเผื่อแผ่ถึงฮูหยินผู้เฒ่า เป็นคนสำนึกรู้ในบุญคุณผู้หนึ่ง ก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกรักใคร่มากขึ้นมิใช่หรือ
หวังซีไปพบฮูหยินผู้เฒ่าที่ห้องริมสุดฝั่งตะวันออกของเรือนประธาน
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดวงหน้าก็เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม พอเห็นหวังซีก็ยิ่งยินดีปรีดา แย้มยิ้มจนดวงหน้าคล้ายดอกไม้บาน กล่าวอย่างรักใคร่ว่า “วันนี้ได้พักผ่อนเต็มที่หรือยัง ป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าหาแม่ครัวคนใหม่มาผู้หนึ่ง วันนี้แม่ครัวผู้นั้นทำหมูสองไฟ[4]และไก่ผัดเผ็ดที่นางถนัดมาให้ เจ้าลองชิมดูว่าถูกปากหรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนเป่าติ้ง ไม่กินเผ็ด
หวังซีรู้สึกจิตใจสับสนว้าวุ่น
การทำดีด้วยเป็นเหตุและผลแห่งกรรม นางไม่อยากสนิทสนมกับคนจวนหย่งเฉิงโหวมากเกินไป
แต่เส้นผมสีดอกเลาและนัยน์ตาฝ้าฟางคู่นั้นของฮูหยินผู้เฒ่า ทำให้นางไม่อาจปฏิเสธความปรารถนาดีเช่นนี้ได้ลงคอ
นางหยอกเย้าฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ต้องอร่อยมากเป็นแน่ อยู่ที่บ้านข้าเองก็กินกับข้าวสองชนิดนี้บ่อยๆ เจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้างมากยิ่งขึ้น รีบบอกให้หวังซีนั่งลง เอ่ยถามนางว่า “มารดาของเจ้าชอบกับข้าวสองอย่างนี้หรือไม่ คราวก่อนเจ้าบอกว่า มารดาของเจ้าทำผักหมัก[5]เป็นด้วย นางไปเรียนการทำผักหมักมาได้อย่างไร ตอนเป็นเด็กนางไม่ชอบเข้าครัวเป็นที่สุด เวลาข้าเชิญอาจารย์มาสอนเรื่องในครัวให้นางกับพี่สาวของนาง นางมักจะหาข้ออ้างไม่ไปเรียนอยู่เสมอ คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันยี่สิบกว่าปี นิสัยนี้ของนางจะ…”
บางทีอาจมิใช่การเปลี่ยนนิสัย
แต่เป็นหลายปีนั้นที่ไม่รู้ว่าระหกระเหินไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน จึงเรียนรู้การก้มศีรษะลง
กระบอกตาของฮูหยินผู้เฒ่ารื้นชื้นขึ้นมาอีกอย่างห้ามไม่อยู่
หวังซีลอบถอนใจเงียบๆ ให้ไป๋กั่วยกปิ่นโตใส่อาหารขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “เมื่อเช้าท่านป้าสะใภ้ใหญ่ส่งปลาตะลุมพุกไปให้ข้าสองตัว หาได้ยากยิ่งที่ปลายังเป็นอยู่ ข้าให้แม่ครัวของข้านึ่งมา ท่านเองก็ลองชิมดูว่ารสมือแม่ครัวของข้าจะถูกปากท่านหรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากไปคิดถึงเรื่องโศกเศร้าเหล่านั้นอีก กล่าวคำว่า ดี ซ้ำๆ หญิงรับใช้ที่ตามีแววช่วยนำปลาไปวางบนโต๊ะ ซือหมัวมัวคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลายื่นส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าใช้จานกระเบื้องเคลือบลายครามรับมา ชิมไปหนึ่งคำ
ไม่ใส่เกลือ คงความชุ่มฉ่ำและนุ่มละมุนของเนื้อปลาตะลุมพุกเอาไว้ ขาหมูรมควันของเซวียนเวยตัดรสชาติกับความสดใหม่ของมันได้เป็นอย่างดี และกลิ่นหอมสดของหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิก็กลบกลิ่นคาวของมันได้มิดชิด
นี่เป็นปลาตะลุมพุกนึ่งที่รสชาติดีที่สุดเท่าที่ฮูหยินผู้เฒ่าเคยกินมา
“อร่อยมาก! อร่อยมาก!” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าหงึกๆ หัวข้อสนทนาวนกลับไปที่เรื่องมารดาของหวังซีอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว “ทางด้านโน้นพวกเจ้าก็ได้กินปลาตะลุมพุกบ่อยๆ หรือ แม่ครัวที่บ้านก็มีฝีมือเช่นนี้ใช่หรือไม่”
…………………………………………………………………………….
[1] ขนมถั่วลันเตาเหลือง นำเมล็ดถั่วลันเตาเหลืองมาต้ม เมื่อสุกแล้วนำไปปั่นให้ละเอียด จากนั้นเติมน้ำตาลแล้วนำไปเคี่ยวไฟให้สุก แล้วเทลงพิมพ์นำไปพักไว้ให้เย็น เมื่อได้ที่แล้วนำตัดแบ่งเป็นชิ้นตามต้องการ
[2] ขนมลาม้วนตัว นวดแป้งข้าวเหนียวผสมน้ำตาลเสร็จแล้วนำไปนึ่งให้สุก จากนั้นนำแป้งที่นึ่งสุกแล้วรีดเป็นแผ่น ทาไส้ถั่วแดงทับแผ่นแป้งแล้วม้วนเป็นแท่งกลม ได้ที่แล้วหั่นเป็นชิ้นตามต้องการแล้วโรยงาหรือน้ำตาลตามใจชอบ
[3] ขนมดอกเบญจมาศ นวดแป้งสาลีกับเกลือ น้ำตาล น้ำมันหมูให้เข้ากัน รีดเป็นแผ่นกลมสอดไส้ถั่วแดง ตัดให้เป็นกลีบดอกเบญจมาศแล้วนำไปอบให้สุก
[4] หมูสองไฟ หมูผัดที่มีกระบวนการปรุงเนื้อหมูสองครั้ง โดยครั้งแรกนำเนื้อหมูไปเคี่ยวกับเครื่องเทศ เช่น พริก ขิงและอื่นๆ ก่อนหนึ่งรอบ จากนั้นนำหมูที่ผ่านการเคี่ยวเครื่องเทศมาซอยเป็นแผ่นแล้วนำไปผัดกับพริกหยวก ต้นหอมและอื่นๆ ด้วยน้ำปรุงรสสูตรพิเศษ
[5] ผักหมัก นำผักไปหมักเกลือแล้วปรุงรสด้วยเครื่องปรุงรสต่างๆ โดยรับประทานสดๆ หลังการหมักได้เลย
ตอนต่อไป