เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 42 จุดสนใจ
หวังซีคงไม่อาจรับประทานอาหารมื้อนี้อย่างสบายใจจนเสร็จได้
หลังจากที่ซูเฟยเหนียงเหนียงมีรับสั่งให้ซือจูไปพูดคุยด้วยแล้ว คุณหนูรองอู๋ของจวนชิงผิงโหว คุณหนูหกของจวนชิ่งอวิ๋นโหว คุณหนูห้าของจวนเซียงหยางโหว ลู่หลิงของจวนเจียงชวนป๋อ และสตรีชั้นสูงคนอื่นๆ ที่นางเคยได้ยินชื่อก่อนเดินทางมาจิงเฉิงทว่าไม่ทันได้ทำความรู้จักก็ทยอยกันถูกเรียกตัวไปด้วย
ทุกคนต่างพากันแสดงความคิดเห็น
นี่หมายความว่าอะไร คล้ายกับว่าคุณหนูหกของจวนชิ่งอวิ๋นโหวยังมิได้หมั้นหมายกระมัง
คุณหนูรองตระกูลอู๋ก็ยังมิได้หมั้นหมาย?
ถ้าเป็นเช่นนั้น เหตุใดถึงยังเรียกคุณหนูใหญ่ของจวนเจียงชวนป๋อเข้าไปด้วย?
นี่มิใช่เพราะยังมีองค์ชายเจ็ดกับองค์ชายแปดด้วยหรอกหรือ
บรรดาสตรีกระซิบกระซาบกัน เผยข้อมูลออกมามากมาย
หวังซีเพียงยืดคอขึ้นมองไม่กี่ครั้งตอนที่คุณหนูหกจวนชิ่งอวิ๋นโหวถูกเรียกตัวไปเท่านั้น
หลังจากเข้าเมืองหลวงมานางได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรกก็เพราะเรื่องห้องเสื้อเมฆาคำนึง
คนทำการค้าเหมือนกัน หวังซีรู้สึกว่าการที่ห้องเสื้อเมฆาคำนึงนำถุงหอมที่เฉาอวิ๋นจากวัดต้าเจวี๋ยผสมมาใช้เป็นของขวัญเทศกาลแข่งเรือมังกรมอบให้ลูกค้าของร้านนั้น โดยมากเป็นเพราะห้องเสื้อเมฆาคำนึงอยากอาศัยชื่อเสียงของวัดต้าเจวี๋ยยกระดับชื่อเสียงของตัวเอง และการที่วัดต้าเจวี๋ยยอมช่วยเปิดทางสะดวกให้พวกเขาในครั้งนี้ ก็คงเพราะรู้สึกว่าห้องเสื้อเมฆาคำนึงช่วยให้ชื่อเสียงของเฉาอวิ๋นเด่นดังขึ้นด้วยเช่นกัน เป็นเรื่องดีที่ต่างคนต่างได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ส่วนคุณหนูหกของจวนชิ่งอวิ๋นโหวนั้น ถึงแม้ไม่รู้ว่าที่นางแนะนำเสื้อผ้าเครื่องประดับของห้องเสื้อเมฆาคำนึงให้ผู้อื่นนั้นเป็นเพราะชื่นชมด้วยใจจริงหรือเพราะมีวัตถุประสงค์อื่นกันแน่ก็ตาม แต่แน่นอนว่านางกับห้องเสื้อเมฆาคำนึงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก
โลกที่ต่อให้ภูเขาหยุดนิ่งแต่สายน้ำยังรินไหลนี้ ผู้ใดจะรู้ว่าตอนไปหาเฉาอวิ๋นคนผสมเครื่องหอมจะได้พานพบกับเรื่องอะไรบ้าง
หวังซียิ่งให้ความสนใจคุณหนูหกท่านนี้มากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
น่าเสียดายที่ถึงแม้จวนชิ่งอวิ๋นโหวจะเป็นเพียงพระญาติฝั่งภรรยา ทว่าเป็นที่แน่ชัดว่าตำแหน่งสูงส่งกว่าจวนหย่งเฉิงโหว
สตรีจากครอบครัวของพวกเขาได้รับการจัดให้นั่งอยู่ติดกับสตรีจากจวนชิงผิงโหว อยู่ที่โถงของทางเข้าที่สอง ตอนที่ข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในจากวังหลวงมาประกาศเรียกนางนั้น หวังซีจึงเห็นเพียงเงาสะท้อนของนางเท่านั้น
ถึงเป็นเช่นนั้น ก็มองออกว่าคุณหนูหกท่านนี้มีดวงตารูปเมล็ดซิ่งแก้มอมชมพู ดวงหน้าอบอุ่นอ่อนโยน กิริยาเป็นธรรมชาติสบายๆ เป็นคนสวยที่งามพริ้งมากผู้หนึ่ง
หวังซีประหลาดใจเล็กน้อย
เนื่องจากเป็นคนชอบเสื้อผ้าหรูหราเครื่องประดับงามงด นางคิดว่าคุณหนูหกท่านนี้จะมีท่วงท่าที่สะโอดสะองสูงส่งเสียอีก
คิดไม่ถึงว่าจะสดใสและอ่อนหวานถึงเพียงนี้
นางกระซิบถามฉังเคอ ปกตินางก็แต่งกายเช่นนี้หรือ
ฉังเคอพยักหน้า กล่าวว่า วันนี้สวมเครื่องประดับมากกว่ายามปกติสองสามชิ้น
หวังซีหันไปมองยังตำแหน่งที่ตั้งห้องโถงของทางเข้าที่สองอีกครั้ง
ดอกซานฉาสีแดงขนาดเท่าความสูงคนที่ตั้งอยู่ข้างฉากกั้นหนึ่งต้นและมีกิ่งยื่นออกไปกิ่งหนึ่งนั้นกำลังบานสะพรั่ง
ไม่รู้ว่าประเดี๋ยวจะมีการประกาศเรียกคนเข้าไปคุยด้วยอีกหรือไม่
บรรยากาศดูไม่ค่อยสงบเล็กน้อย
บนโต๊ะมีอาหารอะไรบ้างนั้นไม่มีคนสนใจแล้ว
หวังซีกลับรับประทานจนอิ่มหนำสำราญ ยังส่งสัญญาณบอกให้ฉังเคอรีบกินด้วย ไม่อย่างนั้นหากเต้าฮวยไก่ที่เพิ่งยกขึ้นมาวางถ้วยนั้นเย็นแล้วจะไม่อร่อย
ฉังเคอกลั้นยิ้ม เล่นทายปริศนากับนาง
ฉังหนิงที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วถลึงตามองหวังซีกับฉังเคออย่างดุดันครั้งหนึ่ง
ฉังเคอไม่อยากสร้างปัญหา ก้มหน้าลงสนใจแต่เรื่องกินต่อ
ทว่าหวังซีไม่กลัวนาง กำลังคิดว่าควรจะจ้องกลับดีหรือไม่อยู่นั้น ก็มีความเคลื่อนไหวจากห้องโถงกลางของทางเข้าที่สองดังขึ้นมาอีกครั้ง
มีข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในจากวังหลวงออกมาประกาศเรียกสตรีชั้นสูงที่ออกเรือนแล้วเข้าไปสองสามคน
ต่อมาก็ประกาศเรียกสตรีจากจวนเซียงหยางโหวที่นั่งอยู่ข้างๆ พวกนางไป
ได้เป็นจุดสนใจในสถานการณ์เช่นนี้ถือเป็นเกียรติอย่างหนึ่ง
ทุกคนเริ่มแสดงความคิดเห็นต่อสถานะของสตรีชั้นสูงเหล่านี้อีกครั้ง
ในงานเลี้ยงที่โถงหน้านี้ นอกจากโต๊ะของจวนหย่งเฉิงโหวที่ยังครบถ้วนเพราะขาดแค่ซือจูไปเพียงคนเดียวแล้ว โต๊ะอื่นๆ กลับดูยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบเล็กน้อยเพราะมีคนถูกเรียกตัวไป
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง
ฉังหนิงยิ่งแล้วใหญ่ตบโต๊ะดัง ปัง เสียงหนึ่งโดยไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือพลั้งมือ เป็นเหตุให้ช้อนตักน้ำแกงกระทบกับขอบถ้วย เกิดเสียงดังกังวานขึ้นเสียงหนึ่ง
อาหนิง! สีหน้าของโหวฮูหยินดูย่ำแย่กว่าของฮูหยินผู้เฒ่าเสียอีก นางตำหนิบุตรสาวเสียงเบาว่า ถ้าต่อไปเจ้าไม่อยากมาร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ ข้าจะจัดการให้
ฉังหนิงไม่กล่าวสิ่งใด กัดริมฝีปากแรง น้ำแวววาวในกระบอกตาพานจะไหลลงมา
ยิ่งอยู่หวังซีก็ยิ่งไม่เข้าใจฉังหนิง
ในสถานการณ์เช่นนี้ มิใช่เรื่องที่เจ้าเก่งกาจหรือไม่เก่งกาจแล้วจะโดดเด่นจากทุกคนได้ การที่คนเหล่านั้นได้รับความสนใจ ล้วนมีความเกี่ยวพันกับชาติตระกูลและบิดาหรือพี่ชายน้องชายเป็นอย่างมากทั้งสิ้น
ความสามารถส่วนบุคคลมิใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด
และก็มิใช่ความผิดของนาง แล้วเหตุใดต้องโมโหด้วย สุดท้ายก็เป็นแค่การโมโหจนทำร้ายตัวเองเท่านั้น
หวังซีหันไปยักไหล่กับฉังเคอ
หวังซี! ฉังหนิงกัดฟันกรอดเรียกนาง ท่าทางต้องการหาเรื่อง
หวังซีรู้สึกว่านางโง่งมจนเกินเยียวยาแล้ว คิดว่าต่อไปอยู่ให้ห่างจากนางไว้จะดีกว่า หาไม่ช้าเร็วต้องถูกนางลากไปเดือดร้อนด้วยเป็นแน่
โชคดีที่ฉังหนิงยังไม่โง่ถึงขั้นกล้าย่างก้าวโดยไม่สนใจอะไร ใบหน้านางเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ทว่าไม่ได้กระทำพฤติกรรมไม่ดีต่อ
แต่บรรยากาศงานเลี้ยงนี้ย่ำแย่เกินไปแล้ว
หวังซีรู้สึกว่าตัวเองกลืนอาหารไม่ค่อยลงแล้ว จึงวางตะเกียบลง
ดีที่อาหารถูกยกมาขึ้นโต๊ะเกือบหมดแล้ว หลังจากที่พวกสาวใช้ยกน้ำชามาแล้ว ไม่นานก็มีคนพาพวกนางไปชมงิ้วที่หอนกกระจ้อยขับขาน
หวังซีสัมผัสได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกโล่งใจ สีหน้าดูผ่อนคลายลงมา
จวนหย่งเฉิงโหวเลอะเทอะเกินไปแล้วกระมัง!
ทั้งยังเป็นเพื่อนบ้านกับจ่างกงจู่อีก!
หวังซีวิพากษ์อยู่ในใจ ยังคงเดินเคียงคู่ไปกับฉังเคอเช่นเดิม
หอนกกระจ้อยขับขานเป็นเวทีแสดงงิ้วสองชั้น
ที่นั่งที่จวนเป่าชิ่งจ่างกงจู่จัดไว้ให้สตรีจากจวนหย่งเฉิงโหวไม่แย่นัก เป็นที่นั่งแถวที่สองเยื้องไปทางทิศตะวันตก ด้านข้างยังคงเป็นสตรีจากจวนเซียงหยางโหว
ทุกคนนั่งลงตามลำดับอาวุโส คนที่ซูเฟยเหนียงเหนียงเรียกตัวไปเหล่านั้นทยอยกันกลับมา
ทว่าทั้งหมดทั้งมวลแล้วพวกนางกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของซือจู
ฮูหยินผู้เฒ่าร้อนใจเล็กน้อย
มีข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในมาแจ้งฮูหยินผู้เฒ่า บอกว่าองค์หญิงฟู่หยางรั้งซือจูเอาไว้ ให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องเป็นห่วง ประเดี๋ยวตอนงานเลี้ยงเลิกจะมีข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในจากวังหลวงมาส่งนางด้วยตัวเอง
ฮูหยินผู้เฒ่าพลันมีสีหน้าเบิกบานขึ้นมา คล้ายกับลืมความเย็นชาที่ได้รับก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว พูดคุยกับสตรีจากจวนเซียงหยางโหวอย่างเบิกบานมีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง
หวังซีกลับเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ชิงโฉวจากไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหารแล้ว
ตามหลัก นางไม่น่าจะไปนานขนาดนี้ถึงจะถูก
หรือว่านางเจอปัญหาอะไรเข้า?
ที่นี่เป็นจวนของจ่างกงจู่ด้วย
แม้นกล่าวว่าวันนี้มีแขกเหรื่อมากมาย แต่ถ้าถูกสงสัยขึ้นมาจริง ต้องแย่แน่ๆ
หวังซีกระซิบสั่งการให้หงโฉวไปดูสักหน่อย ไม่ต้องเดินไปไกลมากนัก หากมีคนถาม เจ้าก็บอกไปว่าหลงทาง อย่าให้กลายเป็นว่านอกจากหาตัวชิงโฉวไม่พบแล้ว เจ้ายังถูกพาตัวไปด้วยอีกคน และกลัวว่าหงโฉวจะกังวลใจ จึงปลอบโยนนางว่า ชิงโฉวเป็นคนมีไหวพริบ หากไม่ได้การจริงๆ ยังปีนกำแพงออกไปได้ ไม่แน่ว่านางอาจจะกลับจวนหย่งเฉิงโหวไปก่อนแล้วก็เป็นได้ หากเจ้าหานางไม่เจอ ก็ให้คนกลับไปดูที่จวนสักหน่อย
เนื่องจากกำแพงบ้านของทั้งสองบ้านไม่นับว่าสูง
หงโฉวเชื่อมั่นในความสามารถของชิงโฉวเป็นอย่างยิ่ง ได้ยินแล้วหัวเราะไม่หยุด ไม่กังวลใจเลยแม้แต่น้อย ยังกล่าวด้วยว่า ท่านชมงิ้วให้สบายใจเถิด ไม่กล้าพูดถึงเรื่องอื่น แต่วิชาการวิ่งหนีนี้ข้ากับพี่สาวเคยฝึกฝนอย่างเจ็บปวดมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นบ้านชั้นใน คนมีแผนการคิดบัญชีคนไร้การเตรียมตัว อาจจะทำตามที่ท่านสั่งไม่สำเร็จ แต่อย่างไรก็ไม่มีทางถูกคนจับได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ
แต่ฝ่ายตรงข้ามคือเฉินลั่ว หวังซีคิดว่าอย่าเพิ่งมองโลกในแง่ดีขนาดนั้นดีกว่า
หงโฉวออกจากหอนกกระจ้อยขับขานไปอย่างเงียบเชียบ
หวังซีเองก็ไม่มีเวลาสนใจนางแล้วเช่นกัน
เป่าชิ่งจ่างกงจู่เดินมาพร้อมกับซูเฟยเหนียงเหนียง
คนทั้งหมดทำความเคารพอย่างนอบน้อม ข้าราชสำนักสตรีฝ่ายใน นางกำนัลและขันทีจากหวังหลวงห้อมล้อมพวกนางไว้หลายต่อหลายชั้น นอกจากลมหอมหนึ่งสายกับคนหนึ่งกลุ่มใหญ่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงซูเฟยเหนียงเหนียง แม้แต่เป่าชิ่งจ่างกงจู่ หวังซีก็มองไม่เห็นแม้แต่ปลายเสื้อ
เพราะตำแหน่งห่างชั้นกันมากเกินไป!
หวังซีทอดถอนหายใจอยู่ในใจ นั่งลงมาพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ อีกครั้ง กลับค้นพบว่าคุณหนูรองอู๋ที่นั่งอยู่แถวหน้าของพวกนางกำลังหันมากวักมือให้นางอยู่
นับว่าได้พบคนที่พูดคุยกันได้ผู้หนึ่งแล้ว
หวังซีเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายหลาก หันไปโบกผ้าเช็ดหน้าในมือให้นาง
คุณหนูรองอู๋ป้องปากหัวเราะ หันไปคุยกับสตรีออกเรือนแล้วที่นั่งอยู่ข้างๆ สองสามประโยค จากนั้นหันกลับมามองนางครั้งหนึ่ง แล้วออกจากโถงชมงิ้วไป
หวังซีครุ่นคิด กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า ข้าไปเล่นกับคุณหนูรองตระกูลอู๋ได้หรือไม่เจ้าคะ
ฮูหยินผู้เฒ่าประหลาดใจ กล่าวว่า เจ้าไปรู้จักคุณหนูรองตระกูลอู๋ได้อย่างไร
หวังซีบอกว่าลู่หลิงเป็นคนแนะนำให้
ฮูหยินผู้เฒ่าดีใจมาก กล่าวว่า เจ้าเด็กคนนี้ เพราะนิสัยดี คนก็เลยชอบ นางไม่เพียงอนุญาตเท่านั้น ยังกำชับหวังซีว่า คนจวนเจียงชวนป๋อไม่ซับซ้อน เด็กคนนั้นจิตใจดีบริสุทธิ์ เจ้าไปมาหาสู่กับนางให้มากถือเป็นเรื่องดี
ท่าทางหวังให้นางได้ผูกสัมพันธ์กับคนเหล่านี้
หวังซีขานรับคำยิ้มๆ เสียงหนึ่ง เอ่ยชวนฉังเคอ พี่สาวสี่อยากไปเป็นเพื่อนข้าหรือไม่ ข้าไปคนเดียวรู้สึกขลาดกลัวอยู่บ้าง
ฉังเคอไม่คาดคิดว่าหวังซีจะพานางไปด้วย ในใจลิงโลดยินดี ทว่าไม่กล้าเผยออกมาให้เห็นทางสีหน้า หันไปมองฮูหยินผู้เฒ่า
ฉังเหยียนกับคุณหนูพานมองหวังซีด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
นายหญิงสามที่ทำตัวไร้ตัวตนมาตลอดกลับกล่าวขึ้นอย่างอดทนรอไม่ได้ว่า ไปเถอะ! ไปเถอะ! นานๆ ทีจะได้ออกมาสักครั้งหนึ่ง พวกเจ้าเด็กสาวควรจะเล่นกันให้สนุก ผูกสัมพันธ์กับสหายบ้าง เอาแต่อยู่ข้างกายพวกข้า นับเป็นเรื่องอะไรกัน! กล่าวจบ ยังมองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยแววขลาดกลัวครั้งหนึ่ง
นอกจากฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ได้สังเกตแล้ว ยังพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อนุญาตให้ฉังเคอไปเป็นเพื่อนหวังซี
นัยน์ตาของนายหญิงสามซ่อนความดีใจเอาไว้ ตอนฉังเคอลุกขึ้นยังยัดของสิ่งหนึ่งให้นางด้วย
กระทั่งหวังซีกับนางออกมาจากโถงยาวแล้ว อดถามอย่างสงสัยไม่ได้ว่าเป็นอะไร
ฉังเคอเองก็ไม่รู้ หาสถานที่ที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยอย่างใต้ต้นไม้หยิบออกมาดู เป็นถุงพกเล็กๆ ใบหนึ่ง บรรจุผลไม้แห้งเอาไว้ พวกเด็กสาวคุยกันจะได้เอามากินได้พอดี
แม่ข้านาง… ฉังเคอมองถุงพกในมือกว่าครู่ใหญ่ถึงได้กล่าวขึ้น ไม่มีความคิดอ่านอะไร แต่ในใจยังคงปรารถนาดีต่อข้าเช่นกัน
หวังซีถอนหายใจอยู่ในใจ แสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ คล้องแขนของฉังเคอเอาไว้ ยิ้มแย้มกล่าวว่า พวกเราไปดูกันเถอะว่าคุณหนูรองอู๋ต้องการทำอะไร หลอกพวกเราสองคนออกมา หากไม่สนุก คงไม่อาจปล่อยนางไปง่ายๆ
ฉังเคอเองก็เก็บความเศร้าหมองไปเสีย ทั้งสองคนหัวเราะคิกเดินไปหาคุณหนูรองอู๋
ปรากฏว่าเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นคุณหนูรองอู๋ยืนยิ้มร่าอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งไม่ไกลจากพวกนางนักหันมาขยิบตาให้พวกนาง
หวังซีกับฉังเคอวิ่งเข้าไปหา
คุณหนูรองอู๋กล่าวยิ้มๆ ว่า ข้ารู้อยู่แล้วว่าน้องสาวหวังต้องหาวิธีได้ ไปกันเถอะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปสถานที่ดีๆ ที่หนึ่ง
ทั้งสองคนไม่ได้ถามอะไรมาก เดินตามนางเลี้ยวลดไปมา มาถึงสวนดอกไม้ขนาดเล็กที่ค่อนข้างเปลี่ยวแห่งหนึ่ง เดินทะลุทางเดินหินของสวนดอกไม้เล็กไป เห็นอาคารสองชั้นเล็กๆ หนึ่งหลัง
ที่นี่อยู่ทางทิศตะวันตกของเวทีแสดงงิ้ว นางผลักประตูของอาคารหลังนั้นเปิดออกอย่างคุ้นเคย พาคนทั้งสองเดินขึ้นบันไดอันคับแคบที่ผ่านได้เพียงทีละหนึ่งคน จากตรงนี้ มองเห็นเวทีแสดงงิ้วได้ทั้งหมด เห็นชัดกว่านั่งดูอยู่ด้านล่างมากโข พี่สาวเจวี๋ยเป็นคนพาข้ามาตอนข้าเด็กๆ
พี่สาวเจวี๋ย? คุณหนูใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วกงหรือ หวังซีหยุดฝีเท้าลง
…………………………………………………………
ตอนต่อไป