เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 48 พบโดยไม่คาดคิด
หวังซีเม้มปากแน่น คิดว่าหรือควรตะโกนว่า ‘ช่วยด้วย’ ดี?
เพียงแต่ว่าเมื่อความคิดนี้วาบขึ้นมา ก็ถูกนางกดลงไปอย่างรวดเร็ว
ถ้าหากนางร้องให้ช่วย มิเท่ากับเป็นการบอกผู้อื่นว่านางเห็นใบหน้าของสองคนนั้นแล้วหรอกหรือ
บิดาและพี่ชายของนางบอกนางมาตั้งแต่เด็กแล้วว่า หากถูกคนร้ายลักพาตัว ห้ามให้โจรลักพาตัวเหล่านั้นรู้เป็นอันขาดว่านางจดจำใบหน้าคนแปลกหน้าได้จากการมองแค่ครั้งเดียว หาไม่จะถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมได้โดยง่าย
เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี
สมองของหวังซีขบคิดไม่หยุด ฝีเท้าก็ไม่หยุดเช่นกัน ไม่นานก็วิ่งมาถึงทางเดินขนาดเล็กที่เงาร่างของเฉินลั่วลับหายไป
ด้านซ้ายเป็นป่าไผ่ ด้านขวาเป็นสวนป่า ปลายทางเดินเป็นบึงบัว และมีศาลาแปดเหลี่ยมหลังหนึ่ง
แต่ไม่ว่าจะเป็นทางเดินหรือศาลา ล้วนไม่เห็นเงาร่างคนแม้แต่คนเดียว
เฉินลั่วและองค์ชายรองหายไปไหนแล้ว
นางยังไม่ได้คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็ได้ยินเสียงสวบสาบที่นางได้ยินเมื่อครู่ดังขึ้นมาจากป่าไผ่อีกครั้ง
คงมิใช่ว่าสองคนนั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของนางก็เลยไล่ตามมาอีกครั้งหรอกกระมัง
หวังซีใจเต้นตึกตักวุ่นวายไปหมด คิดว่าในเวลาเช่นนี้ ควรจะมุ่งหน้าไปยังที่ที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก
วันนี้สตรีแปดถึงเก้าในสิบส่วนล้วนอยู่ที่หอนกกระจ้อยขับขาน รวมถึงซูเฟยเหนียงเหนียงและเป่าชิ่งจ่างกงจู่ด้วย มุ่งหน้าไปทางนั้นไม่มีผิดพลาดอย่างแน่นอน
แต่นางร่างกายอ่อนแอ ย่อมวิ่งหนีสองคนนั้นไม่พ้น แทนที่จะถูกจับกลางทาง มิสู้คิดหาวิธีอื่นดีกว่า
หวังซีพุ่งเข้าไปในสวนป่าด้านขวา
นางปีนต้นไม้เป็น
ในสวนป่ามีเรือนยอดดุจร่มของต้นไม้ใหญ่อยู่
สองคนนั้นเห็นนางแต่งกายแบบคุณหนูชนชั้นสูง อีกทั้งยังแต่งอย่างหรูหราสมเกียรติ ต้องคิดไม่ถึงว่านางจะปีนขึ้นต้นไม้อย่างแน่นอน
รอนางปีนขึ้นไปบนต้นไม้แล้ว ไม่แน่อาจจะได้เห็นว่าสรุปแล้วเฉินลั่วกับองค์ชายรองหายไปไหนกันแน่ก็เป็นได้
หวังซีคิด ยังดีใจเล็กน้อยที่ตัวเองมิได้ตะโกนเรียก ‘เฉินลั่ว’ ออกไป ถ้าหากเรียกเฉินลั่วเอาไว้ไม่ได้แต่กลับเปิดเผยเรื่องที่นางรู้จักเฉินลั่วออกไปแทน ไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะจัดการนางอย่างไรบ้าง!
แต่เรื่องที่ทำให้นางคิดไม่ถึงได้เกิดขึ้นแล้ว
ด้านนอกสุดของสวนป่าผืนนั้นปลูกไม้ผสมที่มีลำต้นเท่าถ้วยชาทั้งหมด ทว่าด้านในกลับมีต้นตั๊กแตนเก่าแก่ขนาดเท่าคนโอบสิบกว่าต้น ทุกต้นล้วนหนาแน่นอุดมสมบูรณ์ เรือนยอดต้นหนึ่งเชื่อมติดกับอีกต้นหนึ่ง บดบังผืนฟ้าและดวงตะวัน แสงแดดยามเที่ยงทำได้เพียงแทรกซึมเข้ามาผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งก้านใบประหนึ่งสายฝนพรำสีทอง ทำให้หญ้าสีเขียวใต้ต้นไม้ดูงดงามดุจพรมสีเขียวชอุ่ม
ทิวทัศน์เช่นนี้มิใช่ว่าหวังซีไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่ผู้ใดบอกนางได้ว่า เหตุใดตอนที่นางพุ่งตัวเข้ามาในสวนป่า เป่าชิ่งจ่างกงจู่ที่ควรจะชมการแสดงงิ้วเป็นเพื่อนซูเฟยเหนียงเหนียงอยู่ที่หอนกกระจ้อยขับขานกลับมาปรากฏตัวอยู่ในสวนป่าที่ไม่มีอะไรดึงดูดสายตาผืนนี้
ที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวมากยิ่งขึ้นก็คือ เป่าชิ่งจ่างกงจู่มิได้อยู่เพียงลำพัง ไม่…นางเพียงลำพัง
นางไม่ได้พาหญิงรับใช้ และมิได้พาผู้ติดตามมาด้วย นางอยู่ในสวนป่าเพียงคนเดียว ข้างๆ นางมีบุรุษอยู่ด้วยอีกผู้หนึ่ง
บุรุษผู้นี้อายุประมาณสามสิบห้าสามสิบหกปี รูปร่างสูงน่าเกรงขาม สวมชุดจื๋อตัวคอป้ายตัวยาวสีครามทอลายดอกไม้สีทอง สูงกว่าเป่าชิ่งจ่างกงจู่ครึ่งศีรษะ
หากนางดูไม่ผิด จังหวะที่นางเข้ามานั้น เป่าชิ่งจ่างกงจู่ซบอยู่ในอ้อมกอดของชายผู้นั้น เนื่องจากนางทำให้คนทั้งสองตกใจ พวกเขาผละออกจากกันด้วยความรวดเร็ว หันมองมาอย่างพร้อมเพรียง
ที่น่าขวัญผวามากไปกว่านั้นก็คือหวังซีรู้จักบุรุษผู้นี้
เขาคือใต้เท้าจินที่กักขังท่านหมอเฝิงไว้สามวันผู้นั้น!
และใต้เท้าจินคือน้องชายของอดีตสามีของเป่าชิ่งจ่างกงจู่!
หวังซีร้องอุทานอยู่ในใจ ไม่อาจควบคุมสีหน้าของตัวเอง นางไม่รู้ว่าตัวเองได้เผยสีหน้าที่ทำให้เป่าชิ่งจ่างกงจู่กับใต้เท้าจินสงสัยออกไปหรือเปล่า นางรู้เพียงว่าตัวเองตาลายเห็นดาวเป็นประกาย แผ่นฟ้าหมุนผืนดินเคลื่อนย้าย คล้ายกับว่าจะเป็นลมล้มลงไปในลมหายใจถัดใจแล้วก็ไม่ปาน
เป็นลมดีแล้ว!
อย่างน้อยก็กล่าวอ้างได้ว่าเป็นลมแดด
ก่อนเป็นลมแดดมีอาการตาลาย จึงไม่เห็นใต้เท้าจินกับเป่าชิ่งจ่างกงจู่ ไม่แน่ว่าอาจผ่านพ้นสถานการณ์อันตรายนี้ไปได้
หวังซีพยายามบอกตัวเองอย่างสุดชีวิตให้ เป็นลม เป็นลม…แต่น่าเสียดายที่ปกตินางกินเก่งและดูแลตัวเองดีมากเกินไป ดูท่าทางแล้วไม่น่าเป็นอะไรได้ง่ายๆ ความจริงแล้วไม่ต้องพูดถึงฤดูร้อนที่แผดเผา แม้แต่ฤดูหนาวที่หนาวเย็น นางสวมเสื้อบุฝ้ายเพียงตัวเดียวก็อุ่นแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นเตาไฟเล็กของตระกูลหวังของพวกนาง เมื่อถึงฤดูหนาว ท่านย่าและท่านย่าภรรยาน้องชายปู่ของนางล้วนจับนางไปอุ่นผ้าห่มให้
และนางก็เสแสร้งเป็นลมไม่ได้ด้วย
คนอย่างเป่าชิ่งจ่างกงจู่ ข้างกายมีหญิงรับใช้ที่รู้วิชาแพทย์หรือไม่ก็หมัวมัวที่เก่งกาจมากอยู่ด้วย หากนางแสร้งทำได้ไม่แนบเนียน ถูกคนจับได้ขึ้นมา มิเท่ากับเป็นการบอกเป่าชิ่งจ่างกงจู่โต้งๆ ว่านางเห็นอะไรหรอกหรือ
ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี
เวลานี้ไม่ว่านางจะแสร้งทำอะไรล้วนดูไม่มีทางหนีไปได้เลย ยังจะทันการอยู่หรือเปล่า
หวังซีรู้สึกโดยจิตใต้สำนึกว่าตัวเองไม่ทันการแล้ว แต่มนุษย์รับรู้ถึงอันตรายได้เร็วกว่าเหตุผล แม้นไม่ถึงกับหมุนกายวิ่งหนีไป ทว่าก็ถอยหลังติดๆ กันหลายก้าว
ด้วยอารามตกใจ นางเหยียบเข้ากับอะไรบางอย่าง
ไม่ใหญ่ และมีความยืดหยุ่นด้วย
คล้ายเท้าของคน
หวังซีพยายามฝืนเอาไว้ไม่ร้องตะโกนออกมา ทว่าไม่อาจฝืนขาทั้งสองข้างไม่ไม่อ่อนยวบได้ ร่างกายโงนเงน
นางยื่นมือไปคว้ากิ่งไม้ด้านข้างโดยสัญชาตญาณ ทว่าหัวสมองว่างเปล่า ตกใจจนคล้ายกับว่าแม้แต่ความนึกคิดก็วิ่งหนีหายไปหมดแล้ว
ระวัง! กลับมีเสียงอบอุ่นและเป็นห่วงของบุรุษดังอยู่ข้างหูนางเสียงหนึ่ง
หวังซีเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า
เห็นดวงหน้าห้าวหาญกดดันผู้คนของเฉินลั่วใบหน้านั้น
เขาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
แล้วนางอยู่ที่ไหน
เกิดอะไรขึ้น
เหตุใดในเวลาที่จ่างกงจู่กับใต้เท้าจินอยู่ด้วยกันตามลำพังนางถึงได้พบกับเฉินลั่ว?
แล้วเมื่อครู่เขาอยู่ที่ไหน
หวังซีมึนงง ปล่อยให้เฉินลั่วประคองตัวเอง จากนั้นหันมายิ้มให้นางอย่างอบอุ่นเป็นมิตร ยืนอยู่ข้างๆ อย่างสง่างาม
นางถึงได้ค้นพบว่าองค์ชายรองก็อยู่ด้วยเช่นกัน
เขามองนางด้วยดวงหน้าที่เต็มไปด้วยสงสัยใคร่รู้อยู่ด้านข้าง
เฉินลั่วกับองค์ชายรองเองก็มิได้พาผู้ติดตามหรือบ่าวชายเด็กมาด้วย
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
หวังซีหันไปมองเป่าชิ่งจ่างกงจู่อย่างช่วยไม่ได้
ท่ามกลางความตกตะลึงที่เป่าชิ่งจ่างกงจู่ยังไม่ทันได้เก็บกลับไปนั้นนางมองเห็นความตื่นตระหนกอยู่ในนั้น
จู่ๆ เฉินลั่วมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่อย่างไม่ให้ซุ่มเสียง ไม่ว่าใครเห็นแล้วก็ต้องรู้สึกตกใจ แต่เหตุใดจ่างกงจู่ต้องตื่นตระหนกด้วย
เพราะใต้เท้าจิน?
สายตาของหวังซีวางอยู่บนร่างของใต้เท้าจิน
ใต้เท้าจินคล้ายเก็บอารมณ์ได้ไม่เก่งเท่าจ่างกงจู่ สีหน้าของเขาดูไม่น่ามองเล็กน้อย
หวังซีพลันนึกถึงเฉินอิงขึ้นมา
คนของเฉินเจวี๋ยเรียกเขาไป เดินมาทางนี้เช่นกัน
แล้วเวลานี้เฉินอิงอยู่ที่ไหนกันแน่
และเฉินเจวี๋ยให้คนไปเรียกเฉินอิงด้วยเรื่องอะไรกันแน่
หวังซีอยากดูเหลือเกินว่าตอนนี้เฉินลั่วมีสีหน้าอย่างไร แต่นางไม่กล้า
นางยังอายุน้อย กำลังจะเข้าพิธีปักปิ่น ยังไม่ทันได้ไปกินเนื้อแพะที่หนิงเซี่ย ไม่ทันได้ไปกินปูทะเลที่ฝูเจี้ยนและยังไม่ทันได้ไปกินเห็ดที่อวิ๋นหนาน…นางไม่อยากตายแม้แต่นิดเดียว!
หวังซีอยากจะนั่งยองกับพื้นกุมศีรษะไว้แล้วคิดดีๆ ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรเหลือเกิน
แต่นางทำไม่ได้
นางพยายามยืนให้ตรง พยายามทำให้ตัวเองดูเป็นธรรมชาติเข้ากับสถานการณ์ พยายามบอกตัวเองว่าสงบนิ่งเข้าไว้
ใต้ผืนฟ้าไม่มีเรื่องอะไรที่แก้ไขไม่ได้ มีแต่คนเท่านั้นที่แก้ไขไม่ได้
ท่านปู่ท่านย่าและบิดารวมถึงพี่ชายของนางต่างกล่าวชื่นชมไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งว่านางเป็นคนฉลาด นางต้องคิดวิธีเอาตัวรอดได้แน่นอน
หัวสมองของหวังซีขบคิดอย่างรวดเร็ว
พวกเขาต้องสงสัยแน่ว่านางมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
นางต้องกัดฟันยืนกรานว่าตัวเองออกมาตามหาเครื่องประดับ
เช่นนี้หากชิงโฉวและหงโฉวถูกจับได้ ภายใต้สถานการณ์ที่พวกนางไม่มีโอกาสได้เตรียมคำพูดดีๆ ล่วงหน้านี้ เรื่องจะได้ไม่แตกหักรุนแรงมากเกินไป
จากตัวอาคารมาถึงที่นี่อยู่ห่างกันระยะหนึ่ง นางบอกว่าตัวเองเหนื่อยก็พอเป็นเหตุเป็นผล
เช่นนี้ก็อธิบายได้ว่าเหตุใดเมื่อครู่นางถึงมีสีหน้าไม่ดีนัก
ส่วนเครื่องประดับชิ้นนั้น บอกว่าเป็นสินติดตัวของท่านย่าของนาง มีความหมายยิ่งนัก เพราะฉะนั้นนางถึงได้ร้อนใจขนาดนี้ อย่างไรก็ต้องหาให้พบ
หวังซีทบทวนคำกล่าวอ้างเหล่านี้ในหัวหนึ่งรอบ เมื่อคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วถึงได้สูดลมหายใจเข้ายาวๆ ครั้งหนึ่ง ปรับอารมณ์ให้มั่นคง
เป่าชิ่งจ่างกงจู่เดินมาทางนาง
นางตระหนกเล็กน้อย
แต่สายตาของเป่าชิ่งจ่างกงจู่กลับข้ามนางไปและมองตรงไปที่เฉินลั่วแทน ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า หลินหลาง องค์ชายรอง พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
องค์ชายรองไม่ได้กล่าวคำใด มองใต้เท้าจินครั้งหนึ่ง
ใต้เท้าจินรีบก้าวออกมาทำความเคารพองค์ชายรอง
องค์ชายรองพยักหน้าอย่างเฉยชา
เฉินลั่วกลับกล่าวสั้นๆ อย่างรวบรัดว่า พี่สาวใหญ่ให้ข้ามาพบนาง พี่ชายรองอยู่กับข้าพอดี พวกข้าก็เลยมาพร้อมกัน
ว่าอย่างไรอะไรนะ เป่าชิ่งจ่างกงจู่เบิกดวงตากว้าง ท่าทางประหลาดใจเป็นอย่างมาก
โอ๊ย!
หวังซีอยากฝังตัวเองลงไปในดินเหลือเกิน
เฉินลั่วกลับไม่สนใจเป่าชิ่งจ่างกงจู่อีก แต่หันไปทักทายใต้เท้าจินครั้งหนึ่งแทน
ใต้เท้าจินหันมาทำความเคารพเฉินลั่ว ดวงหน้าเขียวบ้างขาวบ้าง ปากขมุบขมิบ คล้ายจะพูดแต่ก็หยุดไป
ทันใดนั้นเป่าชิ่งจ่างกงจู่คล้ายกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ดวงหน้าพลันแดงก่ำ ทั้งอับอายและโมโห เสมือนต้องการหาทางลงให้ตัวเองสักทางหนึ่ง และราวกับต้องการระบาย ฉับพลันนั้นหมุนกายมา ถามหวังซีด้วยเสียงเคร่งว่า เจ้าเป็นหญิงสาวจากตระกูลใดหรือ วิ่งมาถึงที่นี่ได้อย่างไร บ่าวรับใช้ข้างกายเจ้าเล่า?
เมื่อครู่นางเพิ่งได้พบเป่าชิ่งจ่างกงจู่มา แต่เป่าชิ่งจ่างกงจู่จำนางไม่ได้แล้ว?
จริงหรือเท็จ?
หวังซีสำรวจสีหน้าท่าทางของเป่าชิ่งจ่างกงจู่อย่างละเอียด พบว่าหลังจากพูดจบ จ่างกงจู่กำมือเบาๆ
นี่คือท่าทางไม่สบายใจหรือไม่ก็รู้สึกตื่นตระหนก
เห็นได้ชัดว่าเป่าชิ่งจ่างกงจู่มิได้เคืองโกรธอย่างที่นางแสดงออกมา
สิ่งที่น่ายินดีมากกว่านั้นก็คือ สายตาที่จ่างกงจู่มองนางดูว่างเปล่า แสดงให้เห็นว่าจำนางไม่ได้จริงๆ
หวังซีพลันรู้สึกหายใจสะดวกขึ้นหลายส่วน
จำนางไม่ได้ก็ดีแล้ว!
เห็นได้ชัดว่าความแตกต่างระหว่างสถานะของนางกับของเป่าชิ่งจ่างกงจู่มีมากเกินไป ผู้อื่นไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
นี่ก็เหมือนกับท่านปู่ของนาง มีบ่าวไพร่รับใช้อยู่ข้างกายเป็นจำนวนมาก แต่คนที่ไม่สลักสำคัญอย่างเช่นบ่าวชายกวาดลานบ้านหรือบ่าวยกน้ำรินน้ำชาเหล่านั้น บางคนรับใช้อยู่ข้างกายเขามาหลายปีเขาก็จำชื่อไม่ได้ มิใช่เพราะความจำเขาไม่ดี แต่เป็นเพราะเขามีเรื่องที่สำคัญมากกว่าต้องทำ จึงไม่อยากเสียเรี่ยวแรงไปกับการจำชื่อของคนเหล่านี้
แน่นอน ก็มีคนที่เหมือนพี่ชายใหญ่ของนางเช่นกัน ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาล้วนจดจำได้อย่างชัดเจนทุกอย่าง แม้แต่มารดาของบ่าวชายเฝ้าประตูผู้หนึ่งล้มขาหักต้องไปเอาเฝือกออกเมื่อใดเขายังถามไถ่ครั้งหนึ่งเลย พี่ชายนางคิดว่าหากแม้แต่คนข้างกายยังไม่อาจทำให้พวกเขาจงรักภักดีได้ แล้วจะเอาอะไรไปทำให้พวกหลงจู๊ที่เฉลียวฉลาดมีไหวพริบเหล่านั้นเชื่อฟังคำพูดของเขาได้
คิดไม่ถึงว่าเป่าชิ่งจ่างกงจู่จะเหมือนกับท่านปู่ของนาง เป็นคนที่ไม่ยอมเสียเรี่ยวแรงไปกับการจดจำคนที่ไม่สำคัญ
หวังซีมือทาบอก บังเกิดความยินดีอย่างคนรอดชีวิตจากเหตุการณ์เลวร้ายมา
ในที่สุดนางก็สัมผัสได้ว่าเท้าของตัวเองยังยืนอยู่บนพื้นหญ้าอย่างมั่นคงอยู่
สงบใจไว้! สงบใจไว้!
หวังซีบอกตัวเองในใจไม่หยุด ครั้งนี้นางจะหนีรอดออกไปได้หรือไม่ ก็ต้องดูว่านางจะทำให้เป่าชิ่งจ่างกงจู่เชื่อได้หรือไม่แล้ว
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้งอย่างเงียบเชียบ รีบก้าวออกไปทำความเคารพเป่าชิ่งจ่างกงจู่ก่อนอย่างสุภาพ ยังเรียกนางอย่างนอบน้อมเสียงหนึ่งว่า เป่าชิ่งจ่างกงจู่
เป่าชิ่งจ่างกงจู่ประหลาดใจ
หวังซีกล่าวแนะนำตัวเองเสียงอบอุ่นว่า ข้าเป็นญาติของจวนหย่งเฉิงโหว ด้วยความกรุณาของฮูหยินผู้เฒ่า พาข้ามาร่วมอำนวยพรท่านด้วย ขอท่านมีความสุขดุจทะเลบูรพา อายุยืนยาวยิ่งกว่าภูเขาทักษิณ
นางพยายามทำให้ตัวเองดูเป็นธรรมชาติและสงบนิ่งให้ได้มากที่สุด
เป่าชิ่งจ่างกงจู่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง พลันกล่าวขึ้นว่า นึกออกแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเคยเจอเจ้าที่หน้าห้องพักผ่อนของจวนเจียงชวนป๋อ นางถามอย่างแปลกใจว่า เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร
น้ำเสียงอ่อนโยน ไม่เหมือนคนทำเรื่องน่าละอายมาก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
เพราะนางมีวิธีการรับมือกับสถานการณ์แล้ว หรือเป็นเพราะว่าสงบใจลงมาได้และกลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิมได้แล้วกันแน่นะ??
………………………………………………………………………….
ตอนต่อไป