เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 50 ดำเนินต่อไป
เฉินลั่วได้ยินแล้ว รู้สึกไม่ดีไปทั้งร่าง
แน่นอนเขารู้ว่าปั๋วหมิงเย่ว์กับองค์สายสี่วางแผนอะไรอยู่
ความจริงแล้ว มารดาของเขามีเรื่องชู้สาวจริงหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับคนอย่างพวกเขาเหล่านี้ ด้วยสถานะของมารดาเขา ต่อให้ทำเรื่องไม่เหมาะสมไปบ้าง ขอเพียงเขาไม่สนใจ ฮ่องเต้ไม่สืบสวน ต่อให้พวกขุนนางใหญ่ต้องการฟ้องร้อง อย่างมากก็เป็นแค่โทษปรับเงินเล็กน้อยเท่านั้น ผู้ใดจะกล้าพูดเรื่องผิดถูกต่อหน้ามารดาเขาหรือต่อหน้าเขากัน?
แต่หวังซีไม่เหมือนกัน
พวกเขาวางแผนใช้หวังซีมาปกปิดเรื่องของมารดาเขา คำพูดที่ว่า ‘หวังซีลุ่มหลงเขา’ ต้องถูกเอาไปป่าวประกาศให้วงกว้างเป็นแน่ ไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของหวังซีนัก
พวกเขาไม่อาจลากเด็กสาวไร้เดียงสาวผู้หนึ่งอย่างหวังซีเข้ามาเกี่ยวด้วยไปเพียงเพื่อจะดึงตัวเองออกมา
ยิ่งไปกว่านั้น หวังซียังดูไม่รู้เรื่องอะไร เข้ากับองค์ชายสี่และปั๋วหมิงเย่ว์เป็นปี่เป็นขลุ่ย
ตกลงนางรู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
บางทีนางอาจรู้ แต่ภายใต้ผู้มีอำนาจ กลับจำต้องก้มศีรษะลง
เฉินลั่วหน้าเคร่งขึ้น
เขากล่าว พวกเจ้าไม่ต้องพูดจาเหลวไหลแต่งเรื่องจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง แค่เพราะข้ากับคุณหนูหวังเคยพบหน้ากันและช่วยประคองนางไว้ตอนนางกำลังจะลื่นล้มเพียงครั้งหนึ่ง พวกเจ้าก็คิดว่าข้าปฏิบัติกับนางแตกต่างจากผู้อื่นแล้ว หากคิดอย่างที่พวกเจ้าคิด หลายวันก่อนข้าเห็นหญิงชรากวาดลานบ้านลื่นล้ม ให้บ่าวชายไปเรียกหมอมาดูอาการให้นาง หญิงชราผู้นั้นซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ส่งกล้วยไม้กะเรกะร่อนนิลที่ปลูกไว้ในบ้านมาให้ข้าต้นหนึ่ง มิเท่ากับว่าหญิงชราผู้นั้นก็คิดอะไรกับข้าแล้วหรอกหรือ…
…มนุษย์ภาคภูมิใจในตัวเองได้ แต่ไม่อาจยโสโอหังได้
เขายังกลัวว่าหวังซีจะไม่กล้ามีปัญหากับองค์ชายสี่ จึงถามหวังซีประโยคหนึ่งว่า คุณหนูหวัง ที่ข้ากล่าวมาถือว่ามีเหตุผลอยู่บ้างกระมัง
หวังซีตะลึงงัน
สาเหตุที่นางประทับใจเฉินลั่วมากเป็นพิเศษเพราะเฉินลั่วหน้าตาดี ภายหลังฉังเคอบอกว่าเฉินลั่วนิสัยไม่น่าคบหา แต่นางกลับไม่คิดเช่นนั้น ก็เพราะเหตุการณ์ที่เฉินลั่วประคองนางที่ร้านขายยาในครั้งนั้น
ถึงนางจะไม่มีความสามารถอะไรอย่างอื่น แต่เรื่องประเมินสายตาที่ผู้อื่นใช้มองสำรวจนางนั้นกลับแหลมคมยิ่งนัก
นางมองออกว่านอกจากเฉินลั่วจะไม่มีเจตนาร้ายต่อนางแล้ว ยังปฏิบัติต่อนางอย่างอบอุ่นมากด้วย
นางเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น ใช้สัญชาตญาณตัวเองนำทางมาโดยตลอด
อย่างเมื่อครู่นี้ เฉินลั่วประคองนางไว้อีกครั้ง ด้วยอารามตกใจแม้แต่คำขอบคุณก็ไม่ได้เอ่ยออกไป บัดนี้คิดๆ ดูแล้ว ตอนนั้นนางต้องเหยียบเท้าของเฉินลั่วเป็นแน่
เขาไม่เพียงจิตใจกว้างขวาง ยังอบอุ่นใจดีมากอีกด้วย
มนุษย์มีหน้ากากเป็นพันเป็นหมื่นหน้า ไม่เกี่ยวว่าเขาเป็นคนเช่นไร สิ่งสำคัญคือเขามีท่าทีอย่างไรกับนางต่างหาก
อย่างนางได้สัมผัสกับเฉินลั่วชั่วเวลาสั้นๆ เพียงสองครั้ง นางก็รู้สึกได้แล้วว่าเฉินลั่วเป็นคนไม่เลวผู้หนึ่ง
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นางกับเขาก็เป็นแค่คนแปลกหน้าที่พบกันโดยบังเอิญเพียงสองครั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับชื่อเสียงของจ่างกงจู่ มิตรภาพระหว่างนางกับเขาคล้ายกับการยกก้อนเต้าหู้ด้วยเชือกป่าน เมื่อยกขึ้นนอกจากจะร่วงหล่นแตกเป็นชิ้นอยู่บนพื้นแล้ว ยังอาจคลุกโคลนทรายไม่มีใครช่วยแม้แต่คนเดียว
แต่เฉินลั่วกลับเหมือนกับสองครั้งก่อนหน้าที่ประคองนางเอาไว้ ปฏิบัติกับนางอย่างเปี่ยมล้นไปด้วยความปรารถนาดี
นอกจากจะปฏิเสธวิธีการขององค์ชายสี่แล้ว ยังช่วยนางออกจากเหตุการณ์อันน่าอับอายอย่างไม่ปิดบัง ยังบอกนางด้วยว่า นางไม่จำเป็นต้องเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย เขาทำให้นางอยู่ห่างจากปัญหาได้
คำพูดเก่าแก่ช่างกล่าวได้ดี เวลาทำให้เห็นหัวใจคนได้
นางเพิ่งรู้จักเฉินลั่วได้ไม่นาน เฉินลั่วก็มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้นางแล้ว
ไร้ความสัตย์ซื่อเดินได้ไม่ไกล คนไร้ความซื่อตรงมิตรภาพไม่ยืนยาว
นางมิใช่คนจิตใจไร้คุณธรรมและไร้ความซื่อตรงประเภทนั้น
เป็นคนก็ควรจะผู้อื่นให้เกียรติข้า ข้าก็ให้เกียรติผู้อื่น
หวังซีซาบซึ้งใจ
เพียงแต่ว่าเรื่องของจ่างกงจู่กับใต้เท้าจินนี้ มิใช่แค่เรื่องชู้สาวเท่านั้น ยังเกี่ยวพันถึงศีลธรรมความดีงาม นางเป็นเพียงบุตรสาวจากตระกูลพ่อค้าเล็กๆ คนหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีในที่นี้แล้ว ก็เหมือนฟ้ากับเหว นางแบกรับเอาไว้ไม่ไหวจริงๆ
ได้แต่ต้องขออภัยเฉินลั่วแล้ว
นางขอวิ่งหนีไปก่อนก็แล้วกัน หลังจากนี้รอมีโอกาสแล้วค่อยตอบแทนเขา
ดวงตาทั้งสองข้างของหวังซีพลันคลอไปด้วยน้ำตา หันไปมองเฉินลั่วด้วยความซาบซึ้งใจ เพิ่งกล่าวไปได้เพียงประโยคเดียวว่า คุณชายเฉินหมายความว่า ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปแล้ว
มิใช่ว่านางพูดไม่เก่ง
หากนางอยากหว่านล้อมคน นางพูดให้คนถอดกางเกงไปจำนำให้นางได้ด้วยซ้ำ
แต่เป็นเพราะสีหน้าของเฉินลั่ว…ดูผิดปกติเกินไป
เฉินลั่วตอนรำกระบี่ ดูเก่งกล้าห้าวหาญ เฉินลั่วที่ร้านขายยา ดูอบอุ่นใจดี เฉินลั่วที่สวนป่า ดูสง่างามหล่อเหลา ไม่ว่าจะเป็นลักษณะแบบไหน ล้วนดูสง่า น่าประทับใจทั้งสิ้น แต่เฉินลั่วในเวลานี้ แค่ทำหน้านิ่ง กลับทำให้คนวามรู้สึกน่ากลัวจนขนหัวลุกแก่ผู้คนแล้ว
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ไร้ซึ่งชีวิตชีวา ไม่มีแสงแวววาวเลยแม้แต่นิดเดียว น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
นี่หากเป็นตอนกลางคืน ต้องคิดว่าตัวเองเจอผีเป็นแน่แล้ว!
ไม่ถูก ดวงตาผีก็ไม่น่าจะมืดมนขนาดนี้หรอกกระมัง
คล้ายสัตว์ป่าดุร้ายหมอบอยู่กลางป่าทึบ?
ดวงตาของสัตว์ป่าดุร้ายก็น่าจะมีแสงสว่างอยู่บ้างเหมือนกันกระมัง
นาง…นางคงดูผิดไป?
หวังซีอดกระพริบตาไม่ได้
ดวงตามืดมนเย็นชาและสีหน้าดุร้ายนั่น…นางไม่ได้ดูผิดไป
เฉินลั่วคล้ายเปลี่ยนเป็นคนละคน
ราวกับว่าจากใต้แสงตะวันเดินไปถึงกลางความมืดมิด
ยิ่งไปกว่านั้นเหมือนถอดหน้ากากแห่งความอบอุ่นออกไป กลับมาเป็นตัวเอง
เป็นไปได้หรือ ไม่จริงกระมัง
หวังซีอธิบายออกมาไม่ได้ว่ารู้สึกเช่นไร
นางขนลุกไปหมดทั้งร่าง ลูบแขนของตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่ มองสำรวจสีหน้าท่าทางของคนรอบข้างอย่างรวดเร็ว
เป่าชิ่งจ่างกงจู่กับใต้เท้าจินคล้ายรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง สีหน้าดูผ่อนคลายลงมา องค์ชายรองยังคงไม่พูดอะไร ก้าวออกไปสองสามก้าว ยืนเคียงคู่กับเฉินลั่ว ตบไหล่เฉินลั่วเบาๆ อย่างปลอบใจ ส่วนองค์ชายสี่กับปั๋วหมิงเย่ว์ทำราวกับมองไม่เห็น ประหนึ่งว่าไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก เป็นเรื่องที่คุ้นชินกันอยู่แล้วก็ไม่ปาน ปั๋วหมิงเย่ว์ถึงกับเจื้อยแจ้วอยู่ตรงนั้นไม่หยุดว่า อา! พวกเจ้าเคยพบกันที่ร้านขายยาเพื่อมวลชนมาก่อน? พวกเจ้าไปทำอะไรที่ร้านขายยา ใครไม่สบายหรือ ข้าว่าแล้วเชียวว่าคุณหนูต่างสกุลของจวนหย่งเฉิงโหวไม่มีทางวิ่งมาที่นี่อย่างกะทันหันเป็นแน่ ที่แท้ก็หลงเสน่ห์หลินหลางนี่เอง! หลินหลาง ข้ารู้ว่าเจ้าอยากทำตัวเป็นคนดี พวกเราเองก็มิใช่คนใจหินประเภทนั้น! พวกเราทุกคนรับรู้ดีแก่ใจก็พอแล้ว พวกข้ารับปากว่าจะไม่เอาไปพูดข้างนอกอย่างแน่นอน…
หวังซีเห็นเส้นเลือดตรงหน้าผากขององค์ชายสี่ผู้เย็นชานูนออกมาหมดแล้ว
เขาเอามือปิดปากปั๋วหมิงเย่ว์เอาไว้ ลากปั๋วหมิงเย่ว์ไปอยู่ข้างๆ ตัวเอง แม้นการกระทำขององค์ชายสี่ดูหยาบคาย แต่เขาสูงกว่าปั๋วหมิงเย่ว์ครึ่งศีรษะ จึงไม่ทำให้คนรู้สึกว่าเสียมารยาท ตรงกันข้ามเหมือนเด็กผู้ชายสองคนกำลังยื้อแย่งกันอยู่ ทำให้คนรู้สึกน่าขบขันแทน
หลินหลาง เขารีบกล่าว เจ้าเองก็รู้ว่าหมิงเย่ว์เป็นคนเช่นไร ชอบสร้างปัญหามากเป็นพิเศษ ไม่มีเรื่องก็หาเรื่องออกมาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความคิดคึกคะนองไร้การไตร่ตรองของเขาแล้ว ทุกคนก็นับว่าเติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เจ้าคิดเสียว่าเขาดื้อรั้น ไม่รู้จักหนักเบาอีกสักครั้งก็แล้วกัน
ถูกต้องๆๆ
หวังซีอยากจะปรบมือให้อยู่ข้างๆ เหลือเกิน
ไม่ว่าจะเป็นรู้ดีอยู่แก่ใจ หรือว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ ก็ตาม ทุกคนก็หยุดแค่ตรงนี้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน ต่างกลับไปหามารดาของตัวเองกันเถอะ
หากมีอะไรไม่พอใจ พวกเจ้าค่อยถกเถียงกันตามลำพังก็ได้ ไม่เกี่ยวอะไรกับนางแล้ว
หวังซีมองเฉินลั่วอย่างน่าสงสาร หวังให้เขาเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง อย่าได้คิดบัญชีกับนาง
เฉินลั่วยิ้ม
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสีหน้าของเขาในเวลานี้มืดครึ้มเกินไปหรือเป็นเพราะตอนยิ้มเขาขยับเพียงมุมปากเท่านั้น รอยยิ้มของเขาจึงดูถมึงทึงเล็กน้อย
หวังซีไม่รู้ว่าผู้อื่นคิดอย่างไร นางรู้สึกแค่ว่าแน่นหน้าอกเสมือนมีอะไรมาอุดไว้ อึดอัดยิ่งนัก
ไม่ว่าใครที่ถูกพี่สาวต่างมารดาของตัวเองเล่นงาน นอกจากจับได้ว่ามารดาของตัวเองมีเรื่องชู้สาวกับน้องชายของอดีตสามีแล้ว ยังถูกคนอย่างปั๋วหมิงเย่ว์มาพบเห็นเข้าอีก เกรงว่าเป็นใครก็คงมีสีหน้าไม่ดีเช่นกันกระมัง
ถึงเขาจะดูน่ากลัวจนน่าขนหัวลุกแล้วอย่างไร
หรือเขาต้องยิ้มแย้มอย่างกระตือรือร้นอย่างนั้นหรือ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต่อให้เขาเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงผึ่งผายชวนให้คนหายใจไม่ออก หล่อเหลาจนคนมองตาไม่กระพริบอยู่ดี
หวังซีมองรอยยิ้มฝืดเฝื่อนนั้น ลมหายใจเบาลงหลายส่วน พลันรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองต้องแบกชื่อเสียงว่า ‘ลุ่มหลง’ นี้เอาไว้แล้วอย่างไร บุรุษรูปงามเช่นนี้ มีคนชื่นชมและเทิดทูนมากมาย มีนางเพิ่มมาอีกสักคนหนึ่งกับไม่มีก็ไม่ต่างอะไรกัน แต่ถ้าหากด้วยเหตุนี้ทำให้เขาไม่ต้องความเดือดร้อนจากเรื่องชู้สาวของมารดา ไม่ต้องมีชื่อเสียงมัวหมองเนื่องจากการกระทำของผู้ใหญ่ได้ ก็ใช่ว่าเป็นมิใช่เรื่องที่ยอมรับไม่ได้มิใช่หรือ
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง ถึงได้ค้นพบว่าคนอื่นๆ ก็คล้ายจะหยุดหายใจไปชั่วขณะเช่นเดียวกับเหมือนนางเมื่อครู่เหมือนช่นกัน ต่างมองเฉินลั่ว รอให้เฉินลั่วเปิดปากพูด
นี่ก็โหดร้ายเกินไปแล้ว
มารดาของตัวเอง ควรจะให้อภัยหรือตำหนิดี?
ถ้าหากเป็นนาง ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน เกรงว่าคงล้วนแล้วแต่ยากเย็นทั้งสิ้น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ให้นางที่แต่เดิมก็พุ่งเข้ามาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวผู้นี้เป็นคนเลือกทางให้เขาสักทางก็แล้วกัน!
คุณ…คุณชายรองเฉิน หวังซีกล่าวด้วยท่าทางสั่นกลัว อีกไม่กี่วันข้าจะจัดงานชิมสุรา พวกคุณชายสามฉังล้วนเข้าร่วมด้วย ข้าส่งเทียบเชิญมาให้ท่านสักใบได้หรือไม่
ส่วนเรื่องเป็นสุราจากที่ไหนนั้น ก่อนกล่าวถ้อยคำนี้นางคิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
นี่เป็นเพียงข้ออ้างหนึ่งเท่านั้น ไม่มีเทียบเชิญจริงๆ แน่นอนว่าเฉินลั่วไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม คนที่ได้รับความนิยมมากระดับเขา คาดว่าเมื่อกลับบ้านไปก็ลืมสิ้นแล้ว
ต่อให้เขาไม่ลืม ก็แค่งานชิมสุรา ขอเพียงมีสุราก็ไม่นับเป็นการพูดโกหกแล้ว
จิงเฉิงเป็นเมืองหลวงของประเทศ หากมีเงินย่อมหาซื้อสุราได้หนึ่งกองใหญ่
ดีหรือไม่ดีก็ว่ากันอีกเรื่อง
ยิ่งคิดหวังซีก็ยิ่งรู้สึกจิตใจสงบขึ้น
นางยื่นด้ามจับส่งให้เฉินลั่วแล้ว ถือว่าจริงใจเพียงพอแล้วกระมัง!
ส่วนเฉินลั่วจะใช้หรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว
แน่นอน เฉินลั่วกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นออกมาได้ แปดถึงเก้าในสิบส่วนย่อมไม่ใช้นางเป็นเครื่องมือ
หวังซียังคงมั่นใจในจุดนี้เล็กน้อย
โอ้วว นางทำการซื้อขายนี้สำเร็จแล้ว มิเท่ากับว่ามีประสิทธิผลน่าพึงพอใจเทียบเท่ากับ ‘สินค้าหายากที่ควรค่าแก่การกักตุน’ นั่นแล้วหรอกหรือ
หวังซีลอบยิ้มอยู่ในใจ
ทุกคนมองนางด้วยอาการตกตะลึงอย่างยากจะปิดบัง
นี่เป็นการยืนยันคำกล่าวที่ว่าลุ่มหลงเฉินลั่วแล้ว?
มิใช่ว่าเด็กสาวผู้นี้พิสมัยเฉินลั่วจริงๆ แล้ว?
ไม่อย่างนั้นจะช่วยเหลือเฉินลั่วโดยไม่สนใจอะไรเช่นนี้ได้อย่างไร
ปั๋วหมิงเย่ว์กระโดดออกมาเป็นคนแรก ชี้หวังซีพร้อมเอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า เจ้า แล้วก็ถูกองค์ชายสี่ปิดปากเอาไว้ลากตัวกลับไป กลับเป็นองค์ชายรอง คิ้วกระตุกเล็กน้อย ทำการกล่าวสรุปเสียงเคร่งว่า เอาล่ะ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว ด้านเสด็จพ่อ ยังรอให้ข้ากลับไปรายงานเรื่องงานวันคล้ายวันเกิดของท่านอาหญิงอยู่ พวกเราแยกย้ายกันเถอะ! ส่วนสาวใช้ทั้งสองคนของคุณหนูต่างสกุลจวนหย่งเฉิงโหว ก็รบกวนใต้เท้าจินช่วยไปตามหาให้สักหน่อย เด็กสาวมาเป็นแขกที่จวนจ่างกงจู่เป็นครั้งแรก ได้เจอเรื่องเช่นนี้ พูดออกไปก็ไม่น่าฟังเท่าไรนัก ปั๋วหมิงเย่ว์ เฉินอิงนัดเจ้าไปที่เรือนอุ่นมิใช่หรือ เจ้ากับเจ้าสี่รีบไปรีบกลับ ใกล้ถึงเวลากราบอวยพรท่านอาหญิงแล้ว ข้าจะไปพบนายหญิงติงเป็นเพื่อนหลินหลาง ดูว่านายหญิงติงตามหาพวกข้ามีธุระอะไร
นายหญิงติง?
ปั๋วหมิงเย่ว์กับองค์ชายสี่อดไม่ได้แลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง
เมื่อก่อนองค์ชายรองเรียกเฉินเจวี๋ยว่า ‘พี่สาวใหญ่’ เวลานี้เปลี่ยนมาเรียกนางว่า ‘นายหญิงติง’ จะไม่ให้คนขบคิดแล้วขบคิดอีกได้อย่างไร
………………………………………………………………………..
ตอนต่อไป