เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 52 ประหลาดใจ
ปิ่นดอกไม้ของหวังซีนั้นชิงโฉวเห็นนางดึงออกมาด้วยตาตัวเอง
เวลานี้บอกว่าหาปิ่นดอกไม้ไม่เจอ มีเพียงสถานการณ์เดียวเท่านั้น
หลังจากพวกนางถูกพบตัวแล้วยังไม่มีโอกาสได้ไปเดินหากันอย่างลับๆ
ปิ่นดอกไม้นั่นวางระยิบระยับอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น หากไม่ไปหาให้ทันท่วงที มีความเป็นไปได้มากว่าจะถูกคนอื่นหยิบไป แยกชิ้นส่วนแล้วทำเป็นเครื่องประดับชิ้นใหม่
แต่สำหรับหวังซีแล้ว มันไม่สำคัญเท่ากับการที่ชิงโฉวและหงโฉวกลับมาได้อย่างปลอดภัย
นางจับแขนของชิงโฉวเอาไว้แน่น รีบกล่าวขอบคุณข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในที่พาพวกนางมาส่ง ยังถามข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในผู้นั้นว่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร หากมีเวลา จะให้พวกนางสองพี่น้องมาโขกศีรษะให้ท่านสักครั้ง
นี่หมายความว่าต้องการขอบคุณอย่างเป็นจริงเป็นจังแล้ว
ข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในผู้นั้นยิ้มไม่หยุด กล่าวเสียงอบอุ่นว่า ข้าแซ่หลิว เจ้าเรียกข้าว่าชิงกูก็พอ ข้าเป็นข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในข้างกายจ่างกงจู่ หากต้องการขอบคุณ เจ้าควรจะไปขอบคุณจ่างกงจู่กับคุณชายรอง
หวังซีขานรับคำอย่างนอบน้อมว่า เจ้าค่ะ ในใจกลับคิดว่า นางเองก็อยากไปขอบคุณจ่างกงจู่ ขอบคุณเฉินลั่วเช่นกัน แต่เพราะสถานะแตกต่างกันมากเกินไป ถึงนางมาหา จ่างกงจู่กับเฉินลั่วก็อาจไม่พบหน้านาง!
แต่ถ้อยคำน่าหดหู่ใจเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา
นางกล่าวขอบคุณข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในผู้นั้นอีกครั้ง
ข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในยิ้ม ไม่กล่าวอะไรอีก กล่าวทักทายคุณหนูรองอู๋ครั้งหนึ่งแล้วขอตัวลา
ฉังเคอกล่าวอย่างชื่นชมปนอิจฉาอยู่ด้านข้าง ข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในทั้งสองท่านของจวนจ่างกงจู่! ก่อนหน้านี้เคยเห็นแต่ชุ่ยกูเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เจอชิงกูด้วย พี่สาวอู๋เจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก ใครๆ ก็รู้จัก!
คุณหนูรองอู๋หัวเราะฮ่าเสียงดัง กล่าวว่า นี่มิใช่ว่าพวกเราล้วนได้อานิสงส์จากน้องสาวหวังหรอกหรือ
ฉังเคอขบคิด กล่าวว่า ก็จริง! หากมิใช่เพราะสาวใช้ข้างกายของน้องสาวสกุลหวังเดินพลัดหลงไป ก็คงไม่มีเรื่องที่ชิงกูเดินมาส่งคนแล้ว
หวังซีเป็นกังวลสุดหัวใจว่าชิงโฉวกับหงโฉวพานพบกับเรื่องอะไรมาบ้าง ได้เปิดเผยสถานะออกไปหรือไม่ ปลอดภัยตามนี้แล้วจริงๆ หรือเปล่า ไหนเลยจะมีอารมณ์มาพูดคุยหัวเราะกับผู้คนได้อีก เพียงแต่ว่านางมิได้แสดงออกมาทางสีหน้า รับคำยิ้มๆ สองสามประโยคแล้วทั้งสามคนก็ไปที่หอนกกระจ้อยขับขานพร้อมกัน แต่ว่าสภาพของหวังซีกับสาวใช้ทั้งสองคนดูไม่ค่อยเรียบร้อยนัก คุณหนูรองอู๋กับฉังเคอจึงไปพบผู้อาวุโสของแต่ละครอบครัวที่โถงยาวก่อน ส่วนหวังซี ชิงโฉวและหงโฉวไปที่เรือนปีกด้านข้างที่เตรียมเอาไว้ให้สตรีแต่ละจวนใช้สำหรับผลัดเปลี่ยนอาภรณ์โดยเฉพาะ
กระทั่งสาวใช้สำหรับทำงานหยาบของจวนจ่างกงจู่ตักน้ำร้อนเข้ามาแล้ว ชิงโฉวกับหงโฉวก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นเริ่มปรนนิบัติหวังซีเปลี่ยนอาภรณ์ ทั้งสามคนถึงได้มีโอกาสกระซิบกระซาบคุยกัน
หงโฉวกล่าว ตอนไปข้าไม่เห็นพี่สาว ก็เลยเดินเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงกำแพงจวน ผู้ใดจะรู้ว่าจู่ๆ ก็มีองครักษ์มาเป็นจำนวนมาก ข้าทำอะไรไม่ได้ จำต้องปีนกำแพงกลับไปที่จวนหย่งเฉิงโหว ต่อมาได้กลิ่นหอมของพี่สาว เป็นสัญญาณให้ข้าอยู่ที่เดิมไปก่อนอย่าขยับเขยื้อน ข้าจึงไม่กล้าเคลื่อนย้าย ภายหลังกลิ่นหอมของพี่สาวถามข้าว่าอยู่ที่ไหน ข้าจึงปีนกลับมาที่จวนจ่างกงจู่อีกครั้ง ไปพบพี่สาวที่ศาลา
ชิงโฉวกล่าว พอเข้าไปในป่าไผ่ข้าก็ค้นพบองครักษเหล่านั้นแล้ว กลัวน้องสาวจะถูกองครักษ์เหล่านั้นจับไป และกลัวนางจะพยายามต่อสู้โดยไม่ระวัง ลากคุณหนูใหญ่ลงน้ำไปด้วย จึงจุดธูปที่ผู้อาวุโสของตระกูลให้ไว้ ให้นางอย่าเดินเพ่นพ่านเป็นอันขาด ข้าเองก็ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งข้างๆ ป่าไผ่ ต่อมาเห็นจ่างกงจู่กับใต้เท้าจินคนที่จับท่านหมอเฝิงไปคุมขังไว้สามวันผู้นั้นเดินมา ข้าจึงยิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน หลังจากนั้นองครักษ์เหล่านั้นก็ตามหาคนไปทั่วทุกที่ ข้าแอบฟังพวกเขาคุยกัน รู้ว่าบางคนในพวกเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของใต้เท้าจิน และบางคนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจ่างกงจู่ แม้นกล่าวว่าใต้เท้าจินเป็นผู้รับผิดชอบ และได้รับคำสั่งมาจากจ่างกงจู่ ทว่าเป็นท่านที่ขอร้องจ่างกงจู่มาอีกที ข้าจึงรู้ว่าปลอดภัยแล้ว ภายหลังกลัวว่าจ่างกงจู่และใต้เท้าจินจะรู้ว่าข้าซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ไม่ไกลจากพวกเขา จึงนัดหงโฉวไปเจอที่ศาลาข้างๆ ปล่อยให้องครักษ์เหล่านั้นเจอตัวพวกข้า กล่าวตามที่ท่านบอกเอาไว้ก่อนหน้าว่ามาตามหาปิ่นดอกไม้แล้วหลงทาง พวกเขามิได้สร้างความลำบากอะไรให้พวกข้า พาพวกข้าตรงไปส่งให้ชิงกู แล้วชิงกูก็พาพวกข้ามาส่งที่นี่ด้วยตัวเอง
หวังซีพบความผิดปกติจากสิ่งที่ได้ฟังเล็กน้อย
นางถามชิงโฉว ตอนที่เจ้าอยู่บนต้นไม้ไม่ไกลจากจ่างกงจู่และใต้เท้าจินนั้น เจ้าเห็นหรือไม่ว่าในสวนป่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
ชิงโฉวกล่าว อยู่ไกลมากเกินไป อีกทั้งมีเรือนยอดของต้นไม้บังเอาไว้ ข้าจึงไม่เห็นว่าในสวนป่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง รู้เพียงว่าที่นั่นมีคนกำลังคุยกันอยู่หลายคนเท่านั้น
หวังซีหยิบหวีมาถือไว้ในมือ สัมผัสได้ถึงความแข็งของดอกไม้ที่แกะสลักอยู่ด้านหลัง กล่าวว่า เช่นนั้นเจ้าก็เห็นแล้วว่าจ่างกงจู่กับใต้เท้าจินเข้าไปในสวนป่า?
เห็นแล้วเจ้าค่ะ!
อ้อ! นี่ช่างเป็นอะไรที่ได้มาโดยไม่ต้องออกแรงจริงๆ หวังซีนั่งหลังตรง กดเสียงต่ำลง รีบถามว่า พวกเขาทำอะไรบ้าง
มิใช่ว่านางหยาบคาย แต่นางรู้สึกว่าในฐานะคนที่ถูกจับได้ด้วยเรื่องชู้สาวอย่างเป่าชิ่งจ่างกงจู่ ถึงจะมีความกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ทว่ากลับไม่มีความละอายหรือความขลาดกลัวที่คนทั่วไปพึงมีเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเผชิญหน้ากับคนเป็นบุตรชายอย่างเฉินลั่ว มิใช่ว่านางไม่เคยเห็นคนที่เป็นสามีภรรยากันเพียงเปลือกนอก และมิใช่ว่านางไม่เคยเห็นสามีภรรยาที่ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเองมาก่อน ยามถูกจับได้ด้วยเรื่องชู้สาว ไม่ว่าจะเป็นภรรยาก็ดี สามีก็ดี ต่างมิได้รู้สึกละอายต่อกันด้วยเรื่องนี้ แต่ต่อหน้าบุตรชายหญิงกลับมีน้อยคนนักที่จะมั่นใจในความถูกต้องของตัวเอง
ยังมีเฉินลั่วอีกคน ปฏิกิริยาของเขาก็ไม่ถูกต้องนัก ถ้าเขารู้มานานแล้ว และไม่ได้มีข้อเรียกร้องอะไรกับเรื่องส่วนตัวของมารดา เขาน่าจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ หรือแม้กระทั่งช่วยมารดาปกปิดถึงจะถูก แต่นอกจากเขาจะไปแล้ว หลังจากไปถึงยังกล่าวทักทายใต้เท้าจินด้วยอาการสงบอีกด้วย ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ แต่อย่างน้อยตอนนั้นนางไม่เห็นเขามีความเคียดแค้นอะไรต่อใต้เท้าจินเลย
ตอนอยู่ในสวนป่า นางคิดแค่ว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองหนีออกมาอย่างปลอดภัยเท่านั้น จึงมิได้ไปสนใจไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างละเอียด พอนางได้นั่งลงมา ได้ฟังเสียงจอแจของด้านนอก นางรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยและสงบใจลงมาได้แล้ว ถึงได้ค้นพบทีหลังว่ามีเรื่องแปลกประหลาดแฝงอยู่ในเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก
ชิงโฉวจงรักภักดีมาโดยตลอด พอหวังซีถาม นางก็ทบทวนย้อนกลับไปอย่างละเอียด จ่างกงจู่กับใต้เท้าจินน่าจะนัดพบกันที่นั่น ใต้เท้าจินถึงก่อน พาองครักษ์ไปด้วย จ่างกงจู่ไปถึงทีหลัง หลังจากที่ทั้งสองคนเจอหน้ากันที่สวนป่าแล้วก็เริ่มพูดคุยกัน คุยกันไปเรื่อยๆ ทั้งสองคนก็เริ่มเดินเข้าไปในสวนป่า หลังจากนั้นข้าก็มองไม่เห็นแล้วเจ้าค่ะ
คนรักมาเจอกัน มิใช่ว่าควรจะแนบชิดกันอย่างเสน่หาหรอกหรือ
หวังซีถาม พวกเขาแค่คุยกัน ไม่ได้กระทำอย่างอื่นเลยหรือ
ไม่มีเจ้าค่ะ! ชิงโฉวกล่าวอย่างมั่นใจ คล้ายกับกำลังหารืออะไรกันอยู่
เช่นนั้นที่จ่างกงจู่กับใต้เท้าจินพบกันต้องการหารืออะไรกันนะ
ไม่มีทางจะได้รู้ในทันที หวังซีจะลอบจดจำไว้ในใจ
นางถาม หลังจากนั้นเจ้ายังเห็นใครเข้าไปในสวนป่าอีกหรือไม่
เนื่องจากว่าถ้าหากมุมที่ชิงโฉวเห็นหันไปทางทิศตะวันออก ไม่แน่ว่าอาจเห็นนางด้วย
ปรากฏชิงโฉวกล่าวว่า ข้าเห็นบุรุษสองคนผู้หนึ่งสูงผู้หนึ่งเตี้ยเดินเข้าไปในสวนป่า ผู้หนึ่งคล้ายสวมชุดจื๋อตัวคอป้ายตัวยาวสีน้ำเงินไพลินทอลายสีทองทั้งชุด อีกผู้หนึ่งสวมชุดสีเหลืองอ้อย…
คงจะเป็นองค์ชายสี่กับปั๋วหมิงเย่ว์
หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในสวนป่าแล้ว ไม่นาน ก็มีคนมาอีกผู้หนึ่ง ชิงโฉวกล่าว สวมชุดสีม่วงแดงทอลายสีทอง…
เจ้าว่าอะไรนะ หวังซีตะลึงงัน สวมชุดสีม่วงแดงทอลายสีทอง?
ชิงโฉวพยักหน้า กล่าวว่า เนื่องจากอยู่ค่อนข้างไกล ถ้ามิใช่สีม่วงแดง ก็เป็นสีแดงชาด รูปร่างสูง ไหล่กว้าง แข็งแรงกำยำยิ่ง
วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่ เฉินอิงในฐานะลูกเลี้ยง สวมชุดจื๋อตัวคอป้ายตัวยาวสีแดงของลูกอิงเถา[1]ทอลายก้อนเมฆสีทอง
เขายืนอยู่นอกสวนป่ากว่าครู่ใหญ่ แล้วก็เดินจากไปอย่างเงียบเชียบ ชิงโฉวกล่าว เดินไปทางสวนดอกไม้ด้านหลัง
แสดงว่า เฉินเจวี๋ยยังเตรียมการให้เฉินอิงมาจับผิดเรื่องชู้สาวด้วย?
เฉินอิงไม่ได้พุ่งตัวเข้าไป เป็นเพราะสุดท้ายยอมแพ้ หรือเพราะรู้สึกว่าคนที่เข้าไปมีมากพอแล้ว ไม่ควรค่าที่เขาจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องน่ารังเกียจนี้ด้วยตัวเอง?
อย่างไรก็ตาม การที่เขายืนอยู่นอกสวนป่ากว่าครู่ใหญ่นั้น เห็นได้ชัดว่าการเดินจากไปของเขาก็มิใช่เรื่องที่ตัดสินใจได้ง่ายนัก
พอจะกล่าวได้หรือไม่ว่าเขาเป็นคนค่อนข้างขี้ขลาด หรือไม่ก็ค่อนข้างอ่อนแอ?
หวังซีรู้สึกว่าผลลัพธ์ของเรื่องในวันนี้ใหญ่หลวงเกินไป ต่อให้สอบถามต่อไปอีกก็ไม่ได้อะไรออกมาอีกแล้ว นางกล่าว เรื่องในวันนี้พวกเจ้าก็ทำเสมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พวกเราแต่งตัวเสร็จแล้ว ไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากันเถอะ!
ชิงโฉวกับหงโฉวกล่าวอย่างพร้อมเพรียงว่า ต่อให้เปื่อยเน่าอยู่ในท้องพวกข้าก็ไม่มีวันพูดเจ้าค่ะ
หวังซีเห็นท่าทางกล้าลงน้ำลุยไฟของทั้งสองคนแล้ว อดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า มิได้ร้ายแรงขนาดนั้น พวกเจ้ากลับมาได้อย่างปลอดภัย ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
ชิงโฉวเม้มปากอมยิ้ม รู้สึกยินดีกับการรอดชีวิตจากหายนะเล็กน้อย หงโฉวกลับเป็นปกติ ยังรู้สึกเสียดายปิ่นดอกไม้ชิ้นนั้นอยู่ มันสวยมากนี่นา! ช่างฝีมือหวังทำชิ้นนี้เพียงชิ้นเดียว พลอยสีม่วงอ่อนด้านบนชิ้นนั้นยังเป็นสินเจ้าสาวของนายหญิงผู้เฒ่าด้วย สุกใสเพียงนั้น ว่ากันว่าเป็นของหายากมากในโลกนี้ แค่สิ่งนี้ ก็ใช้เป็นสมบัติตกทอดของตระกูลได้แล้ว ไม่รู้ว่าใครจะโชคดีเก็บไปได้ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
หวังซีหัวเราะฮ่าตบมือนางเบาๆ ด้วยท่าทางยินดีที่ได้ของมีค่าที่สูญหายไปคืนกลับมา กล่าวว่า สมบัติในโลกหล้า ผู้มีคุณธรรมถึงได้ครอบครอง อย่างอัญมณีนี้ ตอนเกิดไม่ได้เอามาด้วย ตอนตายก็เอาไปไม่ได้ ก็แค่มีวาสนาดีตกมาอยู่ในมือข้า ให้ข้าได้ดูแลช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น หากมีคนเก็บเอาไป ก็แสดงว่ามีวาสนากับมัน เจ้าก็อย่าไปเสียดายเลย พวกเจ้าสองคนกลับมาได้อย่างปลอดภัยต่างหากที่ทำให้คนยินดีมากกว่า
หงโฉวหัวเราะร่า ไม่กล่าวอะไรอีก แต่กระบอกตารื้นชื้นเล็กน้อย
ฐานที่มั่นบนภูเขาที่พวกนางเกิดมามีชีวิตอย่างยากลำบาก แค่แป้งข้าวโพดห้าจิน[2]ก็ซื้อชีวิตคนได้แล้ว มีเพียงสกุลหวังเท่านั้น ทองคำเป็นพันเป็นหมื่น ล้วนรู้สึกว่ามีค่าไม่เท่ากับชีวิตคน พวกนางมาถึงตระกูลหวัง ราวกับว่าเปลี่ยนเป็นมีเกียรติตามขึ้นมาด้วย
นางกับพี่สาวต่างชื่นชอบและให้คุณค่ากับเกียรติประเภทนี้
ทั้งสามคนแต่งตัวใหม่เสร็จแล้ว เดินไปยังตำแหน่งที่นั่งของสตรีจวนหย่งเฉิงโหวในห้องโถงยาว
ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเซียงหยางโหว พอเห็นหวังซีเข้ามา ก็ให้นางเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า
หวังซีเดินเข้าไปยิ้มๆ ทว่าไม่ลืมที่จะมองสำรวจสถานการณ์โดยรอบครั้งหนึ่งจากหางตา
นอกจากซือจูแล้ว คนอื่นๆ ล้วนอยู่กันครบ ฉังเหยียนนั่งอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าอย่างยิ้มแย้ม ส่วนฉังหนิงทำหน้าเย็นชา นั่งหายใจฮึดฮัดบิดผ้าเช็ดมืออยู่ไกลๆ
ไม่รู้ว่ากำลังโกรธอะไรอยู่
หวังซีคิด พลางทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเซียงหยางโหวอย่างกระฉับกระเฉง
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวจึงกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า คราวก่อนข้าก็บอกแล้วว่าหลานสาวของเจ้าผู้นี้โหงวเฮ้งดี นอกจากมีหน้าผากเต็มอิ่มแล้ว ติ่งหูยังหนาหนัก ร่องริมฝีปากบนเด่นชัด เป็นโหงวเฮ้งของความร่ำรวย เป็นอย่างไร ข้าพูดถูกเลยใช่หรือไม่ เจ้านั้น ทีนี้ก็รอมีความสุขกับคนรุ่นหลังได้แล้ว
เป็นถ้อยคำที่หวังซีคาดเดาอะไรไม่ได้เลย
ฉังเหยียนป้องปากหัวเราะ
รวมถึงคุณหนูพานด้วย ต่างยิ้มตาหยีมองมาที่นาง
หวังซีหัวใจกระตุก
คงมิใช่ว่ามีคนมาหาฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวเพื่อเป็นแม่สื่อให้นางหรอกกระมัง
นางหันไปมองฉังเคอ
ดีร้ายฉังเคอก็มาถึงก่อนนาง
เป็นไปตามคาดฉังเคอส่งสายตาร้อนใจมาให้นางครั้งหนึ่ง
หวังซีกลับสงบใจลงมา
น้ำมาก็ใช้ดินกลบ ข้าศึกมาก็ให้ขุนพลสกัด ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร นี่ยังมิได้กำหนดลงมาเลยมิใช่หรือ นอกจากนี้ต่อให้กำหนดลงมาแล้ว หากนางไม่ชอบ นั่นก็ไม่ประสบผลสำเร็จดุจเดียวกัน!
แต่ดูจากท่าทางของฉังเหยียนแล้ว คงมิใช่คุณชายสี่ของจวนเซียงหยางโหว ไม่อย่างนั้นฉังเหยียนคงยิ้มกว้างอย่างงดงามเช่นนี้ไม่ได้แล้ว
เฮ้อ หน้าตางดงามแล้วก็ยังมีเงินอีกด้วยนี้ช่างไม่ดีเลย ใครๆ ต่างคิดว่านางมีดี พอพูดออกไปตระกูลใดที่บุตรหลานชายยังไม่แต่งงานต่างชอบเอานางไปจับคู่
…………………………………………………………………….
[1] อิงเถา เชอร์รี่
[2] จิน หนึ่งจินเท่ากับห้าร้อยกรัมโดยประมาณ
ตอนต่อไป