เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 7 เปลี่ยนแปลง
เป็นคนข้างกายของหวังซีแล้ว ก็ย่อมต้องมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านไปกับหวังซี
ไป๋ซู่ได้ยินแล้วลุกขึ้นมานั่งในทันที เอ่ยถามอย่างร้อนใจว่า “แล้วหวังหมัวมัวว่าอย่างไร”
ถึงแม้ก่อนเดินทางมาพวกนางได้ยินหวังซีรับปากนายหญิงใหญ่ว่าจะรั้งอยู่ที่จิงเฉิงมากับหู แต่หงโฉวก็ไม่น่าจะพูดโกหก
หลังจากที่ได้พูดคุยกับหวังหมัวมัวเป็นการส่วนตัวแล้วจิตใจของไป๋กั่วก็สงบลงมา นางยิ้มเดินไปนั่งจิบชาร้อนอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างอย่างสบายอารมณ์ก่อนหนึ่งจิบ ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “หมัวมัวบอกว่า จากที่นางสังเกตพฤติกรรมของคุณหนูใหญ่ในระยะนี้ ไม่น่ามีความคิดจะรั้งอยู่จิงเฉิง กระนั้นก็ตาม จะเป็นอย่างไรแน่นั้น ต้องไปสอบถามคุณหนูใหญ่ดูถึงจะดี ถ้าหากคุณหนูใหญ่คิดจะรั้งอยู่จิงเฉิง ต่อไปยังจำเป็นต้องติดต่อกับจวนโหวอยู่ พวกเราจะกระทำอะไรก็ต้องไว้หน้ามากขึ้นอีกสักสองสามส่วน แต่ถ้าคุณหนูใหญ่จะอยู่แค่ชั่วคราว ความสัมพันธ์บางอย่างไม่จำเป็นต้องสนิทชิดเชื้อขนาดนั้น และบางเรื่องก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ต่างไว้หน้าซึ่งกันและกันก็พอ”
ไป๋ซู่พยักหน้า กล่าวเร่งไป๋กั่วว่า “รีบนอนเถอะ! พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้า”
ไป๋กั่วได้ยินแล้วยิ้มขื่น
ที่สู่จง หวังซีนอนจนกว่าจะตื่นขึ้นมาเองตามธรรมชาติมาโดยตลอด
เมื่อถึงฤดูหนาว นายหญิงผู้เฒ่าสกุลหวังสงสารหลานสาว เพื่อมิให้หวังซีต้องรีบเร่งกับการไปกลับตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว จะรั้งให้หวังซีค้างคืนกับตัวเองที่เรือนด้วย
หลังจากมาถึงจวนโหว ต้องตื่นยามอิ๋น[1]ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าทุกเช้า หวังซีจึงตื่นไม่ค่อยไหว
การปลุกหวังซีตื่นตอนเช้า จึงกลายเป็นงานยากเรื่องหนึ่ง
โชคดีที่เช้าตรู่วันถัดมา หงโฉวสร้างคุณงามความดีครั้งใหญ่
หวังซีนอนอยู่บนเตียงไม่อยากลุกขึ้น หงโฉวพาดตัวอยู่ข้างเตียงดวงหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง “คุณหนูใหญ่ ข้าเฝ้ามาสิบชั่วยามกว่าแล้ว ก็ยังไม่เห็นเงาของคนรำกระบี่ผู้นั้นเลยเจ้าค่ะ”
“คนรำกระบี่อะไรหรือ” หวังซีอ้าปากหาว จับผ้าห่มเอาไว้แน่น สมองตื้อสะลึมสะลือ เกียจคร้านไปทั้งร่าง ยังปรับอารมณ์ไม่ได้ “เจ้าไปทำอะไรมาอีกแล้วหรือ”
หงโฉวอ้าปากค้าง
คุณหนูใหญ่ลืมเรื่องเมื่อวานไปหมดแล้ว
ตอนนี้ไป๋กั่วหวังเพียงให้หวังซีตื่นให้เต็มตามากขึ้นสักสองสามส่วน อย่านอนอยู่บนเตียงต่อก็พอ นางจึงช่วยพูดให้หงโฉวอีกแรงว่า “ท่านลืมไปแล้วหรือ เช้าวานนี้นายหญิงผู้เฒ่างดเว้นการคารวะเช้า ท่านว่างไม่มีอะไรทำ ก็เลยไปที่ห้องอุ่นบนภูเขาจำลองเพื่อดูคนของจวนจ่างกงจู่รำกระบี่อยู่ในลานบ้านข้างๆ”
อ๋ออ!
หวังซีจำได้แล้ว
คนเอวบางทว่าแข็งแรงผู้นั้น…
นางพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา ดึงผ้าห่มออกถามหงโฉวว่า “หมายความว่าอย่างไร วันนี้เขายังไม่ปรากฏตัวออกมาอีกหรือ”
หงโฉวพยักหน้าหงึกๆ สีหน้าห่อเหี่ยว “ข้าเฝ้าจับตาดูอยู่ตลอด ป่านนี้แล้วก็ยังไม่เห็นคน หลายวันก่อนข้าล้วนเจอเขาในเวลานี้”
“เช่นนั้นเขาไปไหนแล้ว” หวังซีเบิกดวงตาโต คนยิ่งกระฉับกระเฉงมากขึ้น “ไม่อยู่ที่จวนจ่างกงจู่แล้ว? หรือว่าจะไม่สบาย? วันนี้ก็เลยไม่ได้มารำกระบี่ที่ลานบ้าน”
หงโฉวก็ไม่รู้เหมือนกัน
นางก็เพียงค้นพบคนรำกระบี่ผู้นั้นโดยบังเอิญ ยังไม่ได้สืบข้อมูลอะไร ก็รีบเอามาประจบเอาใจให้หวังซีมีความสุข
เมื่อก่อนชิงโฉวก็บอกให้นางอย่ามีนิสัยรีบร้อนขนาดนั้น
ครั้งนี้นางก็ทำเรื่องพังอีกแล้ว
ไป๋จื่อที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงตบบ่าหงโฉวเบาๆ เป็นการปลอบโยน
หงโฉวมองไป๋จื่ออย่างซาบซึ้งใจครั้งหนึ่ง
หวังซีรับน้ำอุ่นจากมือไป๋กั่วมาดื่มไปถ้วยหนึ่ง รู้สึกว่าร่างกายตื่นตัวเต็มที่แล้ว
นางสวมรองเท้าแล้วลงจากเตียง ยืนอยู่ตรงนั้นปล่อยให้ไป๋กั่วพาอาซีและสาวใช้เด็กอีกสองสามคนช่วยกันผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้นาง ถามหงโฉวว่า “แล้วเมื่อวานที่พวกเจ้าเฝ้าจับตาดูคนนั้นเจออะไรบ้างหรือไม่”
“ไม่มีเลยเจ้าค่ะ!” หงโฉวก้มศีรษะลง “ลานบ้านหลังนั้นเงียบเชียบอยู่ตลอด แม้แต่เงาคนเข้าออกสักคนยังไม่มีเลยเจ้าค่ะ”
ในหัวของหวังซีฉายภาพลำแสงกระบี่แผ่กระจายเต็มผืนฟ้านั่นขึ้นมาอีกครั้ง
งดงามราวกับอยู่ในความฝันที่ไม่มีอยู่จริง!
นางอยากดูอีก
หวังซีครุ่นคิด ร้องบอกให้ไป๋ซู่นำกล้องส่องทางไกลของตนให้หงโฉว “ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะพวกเจ้าอยู่ไกลเกินไปจึงเห็นไม่ชัด ต่อให้มีคนเข้าออกพวกเจ้าก็ไม่รู้”
ก็มีความเป็นไปได้จริงๆ!
หงโฉวได้กล้องส่องทางไกลที่นางปรารถนามาเนิ่นนานนั่นแล้ว ก็อยากจะไปดูที่ห้องอุ่นบนภูเขาจำลองกลางลานบ้านโดยเร็วอย่างอดรนทนไม่ได้เล็กน้อย
นางพยักหน้าหงึกๆ ดุจลูกเจี๊ยบจิกข้าวสาร กล่าวว่า “คุณหนูใหญ่วางใจเถิด ข้าจะจัดการธุระให้ท่านอย่างเรียบร้อยแน่นอนเจ้าค่ะ!”
หวังซีคร้านจะสนใจนาง ไล่นางออกไป หลังจากล้างหน้าล้างตาและรับประทานมื้อเช้าอย่างรีบเร่งเสร็จแล้วก็ไปหาฮูหยินผู้เฒ่า
ท้องฟ้าในเวลานี้ยังมืดสนิท โคมไฟที่จุดอยู่ตามเรือนแต่ละหลังของจวนโหวในตอนนี้ระยิบระยับประหนึ่งหิ่งห้อย
ไป๋กั่วสูดลมหายใจที่เจืออากาศเย็นเข้าไปด้วยลึกๆ ครั้งหนึ่ง ก้าวออกไปช่วยหวังหมัวมัวสวมผ้าคลุมให้หวังซี กล่าวเสียงเบาว่า “ให้เป็นเช่นนี้อีกไม่ได้แล้ว! เช้าเกินไป ร่างกายของคุณหนูใหญ่จะรับไม่ไหวเอาได้ ไม่ควรให้คุณหนูใหญ่ของพวกเราต้องมาลำบากเพื่อให้ทันเวลาไปประชุมเช้าของท่านโหว”
หวังหมัวมัวมองไป๋กั่วที่นานๆ ทีจะเผยความรู้สึกแท้จริงออกมาครั้งหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติกัน เป็นกฎที่กำหนดขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่ท่านโหวผู้เฒ่ามีชีวิตอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าปฏิบัติเช่นนี้มาตลอดทั้งชีวิต มิใช่จะเปลี่ยนกันได้ง่ายดายขนาดนั้น โชคดีที่อากาศค่อยๆ อุ่นขึ้นแล้ว ตื่นเช้าก็มีข้อดีของการตื่นเช้าเช่นกัน อย่างน้อยขากลับก็ไม่ต้องตากแดด ถ้าหากพวกเราต้องอยู่ถึงฤดูใบไม้ร่วง เวลานั้นอากาศคงยิ่งหนาวเย็นขึ้น ไม่คิดหาทางแก้คงไม่ได้การ”
ไป๋กั่วพยักหน้า คิดว่าฉวยโอกาสนี้ถามหวังซีถึงความคิดของนางน่าจะเป็นจังหวะดี แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าหวังซีคล้ายตกอยู่ในภวังค์ มิได้ฟังว่าพวกนางกำลังคุยอะไรกันอยู่
นางลังเลใจครู่หนึ่ง
และชั่วจังหวะนี้เองที่ทำให้นางเสียโอกาสพูดคุยไป
หวังซีเอ่ยถามนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างกะทันหันว่า “ถ้าหากคนผู้นั้นตื่นขึ้นมารำกระบี่แต่เช้าตรู่ขนาดนี้ทุกวัน ข้าต้องไปคารวะเช้าฮูหยินผู้เฒ่า มิเท่ากับว่าล้วนคลาดกันแล้วหรอกหรือ”
ไป๋กั่วและหวังหมัวมัวต่างตกตะลึง
หวังซีกล่าวอย่างขึงขังว่า “ต้องคิดหาทางออกสักทางถึงจะใช้การได้”
แทนที่จะไปนั่งฟังสตรีของจวนโหวพูดคุยเรื่องไร้สาระอยู่ตรงนั้นอย่างน่าเบื่อหน่ายทุกวัน มิสู้ไปดูคนผู้นั้นรำกระบี่ดีกว่า!
ไป๋กั่วร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย
ถ้าหากพวกนางยังสืบให้แน่ชัดไม่ได้เสียทีว่าคนผู้นั้นจะออกมารำกระบี่เวลาไหนจะทำอย่างไร
นางอดหันไปมองหวังหมัวมัวมิได้
สมควรแล้วที่หวังหมัวมัวได้รับความไว้วางใจจากมารดาของหวังซีให้รับผิดชอบหน้าที่สำคัญ เมื่อนางเห็นเช่นนั้นก็กล่าวยิ้มๆ อย่างไม่รีบร้อนว่า “เมื่อก่อนตอนอยู่บ้าน คุณหนูใหญ่ชอบไปนั่งฟังเวลาที่ทุกคนไปคารวะนายหญิงผู้เฒ่าแล้วก็ยามที่บ่าวไพร่ไปขอคำชี้แนะจากนายหญิงใหญ่เป็นที่สุดมิใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ นิสัยถึงเปลี่ยนไปแล้วเจ้าคะ”
หวังซีทอดถอนใจกล่าว “มิใช่ว่านิสัยข้าเปลี่ยนไป เป็นคนของจวนโหวเหล่านั้นที่ไม่มีอะไรให้น่าสนใจ พูดไปพูดมาล้วนเป็นเรื่องเดิมๆ วกไปวนมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นประโยคไม่กี่ประโยคนั้น ไหนเลยจะเหมือนเวลาที่ท่านป้าสะใภ้ ท่านอาสะใภ้ และท่านอาหญิงที่บ้านไปคารวะท่านย่า หากมิใช่บ้านนี้เกิดเรื่องอะไรใหม่ๆ ขึ้น ก็เป็นบ้านนั้นมีเรื่องน่าสนุกอะไรเกิดขึ้น หรือไม่ก็คิดหาวิธีการไปประจบขอสิ่งของจากท่านย่า เล่ห์กลแต่ละอย่างไม่มีซ้ำ เสมือนได้ดูงิ้วก็ไม่ปาน มันน่าสนใจกว่านี่นา! ไม่สิ งิ้วที่แสดงยังน่าสนใจไม่เท่าดูพวกนางเลยด้วยซ้ำ”
น้ำเสียงนั่น เต็มไปด้วยความดูแคลนที่มีต่อจวนโหว
หวังหมัวมัวอยากจะเช็ดหน้าผากที่ไร้ซึ่งเหงื่อของตนเสียเหลือเกิน
นางรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านเองก็อย่าเพิ่งร้อนใจ นี่หงโฉวยังไม่รู้แน่ชัดเลยว่าคนรำกระบี่ผู้นั้นจะปรากฏตัวออกมาเวลาใดมิใช่หรือ ถึงแม้ที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าจะน่าเบื่อ แต่มีก็ดีกว่าไม่มี รอให้ทางหงโฉวมีข้อมูลที่แน่ชัดแล้ว พวกเราค่อยไม่ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมคนเหล่านั้นก็ได้ จะได้ไม่กลายเป็นว่าพอพวกเราตกลงกับฮูหยินผู้เฒ่าเสียดิบดีว่าจะไปยามเหม่า[2] ผลปรากฏว่าคนข้างบ้านเริ่มรำกระบี่ยามเฉิน[3]ของทุกวันแทน นั่นมิเท่ากับว่าต้องคลาดกันเหมือนเดิมหรอกหรือ!”
หวังซีรู้สึกว่ามีเหตุผลยิ่ง
พูดคุยกันไป ไม่นานพวกนางก็มาถึงเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า
ฉังหนิงและคนอื่นๆ มาถึงกันแล้ว เห็นหวังซีมาถึงเป็นคนสุดท้ายอีกครั้ง ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ต่อว่าแม้แต่ประโยคเดียว ยังจับมือหวังซีไปสอบถามว่านางนอนหลับสบายหรือไม่ คุ้นที่หรือยังอีกด้วย ฉังหนิงคิดว่าหวังซีเข้าไปอยู่ที่สวนหิมะงามร่วมเดือนแล้ว ต่อให้ไม่คุ้นที่ก็ควรจะคุ้นได้แล้ว มองดวงหน้าขาวอมชมพูของหวังซีแล้วในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง
นางกลอกตาไปมา หาโอกาสหนึ่งไปคล้องแขนฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ อย่างออดอ้อนว่า “พี่สาวสกุลซือจะมาถึงเมื่อไรหรือเจ้าคะ นางมาถึงแล้วจะพักอยู่ที่ใด ให้อยู่ใกล้พวกข้าสักหน่อยได้หรือไม่ พวกข้าพี่สาวน้องสาวจะได้เล่นสนุกกันอย่างเต็มที่!”
พี่สาวสกุลซือ?
ผู้ใดกัน?
ถือได้ว่าวันนี้มีเรื่องแปลกใหม่บ้างแล้ว
หวังซีจับจ้องฮูหยินผู้เฒ่าและฉังหนิง หูตั้งตรงขึ้นมา
ฉังหนิงเห็นแล้วพึงพอใจเล็กน้อย เหลือบมองหวังซีครั้งหนึ่ง ไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปาก ก็กล่าวอย่างน่ารักอ่อนโยนขึ้นก่อนว่า “น้องสาวสกุลหวังคงยังไม่เคยเจอพี่สาวสกุลซือมาก่อนกระมัง นางเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนสกุลซือ หรือก็คือหลานสาวร่วมสายโลหิตของท่านย่า พี่สาวสกุลซือหน้าตางดงามยิ่ง ปฏิบัติต่อผู้อื่นก็ดี ทั้งยังมีจิตใจกว้างขวาง ทุกครั้งที่มาเป็นแขกที่จวนของพวกข้า ล้วนนำของขวัญมาฝากพวกข้าเป็นจำนวนมาก เนื่องจากท่านลุงต่างสกุลต้องโยกย้ายจากต้าถงไปเป็นแม่ทัพที่อวี๋หลิน จึงส่งพี่สาวสกุลซือกลับจิงเฉิง เมื่อครู่ท่านย่าบอกว่านางจะมาพักอยู่ที่จวนของพวกข้าสักระยะหนึ่ง” ขณะที่กล่าว นางก็ตั้งใจเน้นคำว่า “เจ้ามาช้าไปหน่อย ก็เลยไม่ทันได้ฟัง”
หวังซีอยากรู้เพียงว่าพี่สาวสกุลซือท่านนี้จะเป็นคนน่าเบื่อเช่นเดียวกับฉังหนิงหรือไม่
นางยิ้มไม่ได้กล่าวอะไร ทว่าในใจกลับกำลังทบทวนระเบียนประวัติครอบครัวขุนนางที่บิดาของนางจัดเตรียมให้นางก่อนหน้านี้
ตระกูลซือเป็นตระกูลเดิมของฮูหยินผู้เฒ่า อยู่เป่าติ้ง สืบทอดตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองพลขั้นสี่บนมาจากบรรพบุรุษ เมื่อก่อน ชื่อเสียงของตระกูลซือไม่โดดเด่น ท่านโหวผู้เฒ่ามิได้ให้ความสำคัญกับตระกูลของภรรยา จึงไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันสักเท่าไร ต่อมาน้องชายร่วมอุทรของฮูหยินผู้เฒ่าผูกสัมพันธ์กับอวี๋จงอี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป่าติ้งในเวลานั้น ตระกูลซือก็เลยรุ่งเรืองตามขึ้นมาด้วย กระทั่งอวี๋จงอี้ได้รับแต่งตั้งเข้าสู่คณะเสนาบดี ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหมและมหาบัณฑิตพระที่นั่งอู่อิง หลานชายของฮูหยินผู้เฒ่าสอบผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางฝ่ายทหารได้เข้ารับราชการ อาศัยเส้นสายของอวี๋จงอี้ ได้เป็นแม่ทัพประจำก่วงตง แม่ทัพประจำซานตงและแม่ทัพประจำต้าถงตามลำดับ
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดครั้งนี้ถึงโยกย้ายไปอยู่อวี๋หลิน
เมื่อเทียบกับต้าถงแล้ว อวี๋หลินค่อนข้างห่างไกลเล็กน้อย!
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นหวังซีไม่พูดอะไร เข้าใจว่าหวังซีรู้สึกไม่ดี จึงกล่าวต่อจากคำพูดของฉังหนิงว่า “นี่ก็เป็นวาสนาที่หาได้ยากยิ่ง ตอนเป็นเด็กอาจูมาเที่ยวเล่นที่บ้านบ่อยๆ นับตั้งแต่ที่นางติดตามพ่อของนางไปต้าถงก็ไม่ค่อยได้มาแล้ว ถือโอกาสนี้ให้พวกเจ้าได้ทำความรู้จักกัน” นึกขึ้นได้ว่าตนยังมีเรื่องบางอย่างต้องการคุยกับหวังซี จึงหันไปส่งสายตาให้ซือหมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เวลาไม่เช้าแล้ว พวกเจ้าเองก็แยกย้ายกันเถอะ อาซีรั้งอยู่ก่อน ไปอ่าน ‘วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร’ เป็นเพื่อนข้าสักสองสามหน้า”
ทุกคนขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” ทยอยกันออกจากประตูไป
มีเพียงฉังหนิงที่แสดงสีหน้าบูดบึ้ง ก่อนออกจากประตูลอบขึงตามองหวังซีครั้งหนึ่ง ถึงได้หมุนกายจากไป
จนกระทั่งไม่มีคนอยู่ด้วยแล้ว ฉังเหยียนอดเกลี้ยกล่อมฉังหนิงไม่ได้ว่า “พี่สาวรองไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ หวังซีผู้นั้นเป็นเพียงบุตรสาวของพ่อค้า ต่อให้เจ้าเอาชนะได้ ก็มิใช่เรื่องน่ายินดีอะไร”
ฉังหนิงกล้ำกลืนโทสะนี้ลงไปไม่ได้ กล่าวว่า “เป็นท่านย่าที่ผิดต่อมารดาของนาง พวกเราไม่ได้ผิดต่อมารดาของนางเสียหน่อย เหตุใดต้องให้พวกเราอดทนด้วย”
ฉังเคอที่เดินตามหลังพวกนางสองคนอยู่นั้นเพิ่งรู้ว่าหวังซีเป็นใครจริงๆ ก็ตอนที่ได้ยินฉังหนิงพูดขึ้นมาเมื่อวานนี้ นางมองเงาหลังของฉังหนิง แล้วก็หันกลับไปมองเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้งตามสัญชาตญาณโดยไม่รู้ตัว
…………………………………………………………………..
[1] ยามอิ๋น 03.00-05.00 นาฬิกา
[2] ยามเหม่า 05.00-07-00 นาฬิกา
[3] ยามเฉิน 07.00-09.00 นาฬิกา
ตอนต่อไป