เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 83 เร่งเดินทางมา
หวังซีฟังแล้วขนลุก จากนั้นกลับรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก
ขุนนางเหล่านั้นยังมีที่ ‘หลอกลวงเบื้องสูงไม่ปิดบังเบื้องล่าง’ เฉินลั่วช่างดีเหลือเกิน บอกว่าฝากฝังเรื่องผงธูปหอมให้ตระกูลพวกเขา ทว่ากลับไม่พูดอะไรสักคำ ไม่บอกอะไรพวกเขาเลยสักอย่าง ดังนั้นพอพวกเขามาเจอเรื่องปั๋วหมิงเย่ว์อย่างไม่คาดคิด จึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
นางมองว่า ในเมื่อเฉินลั่วหยุดปั๋วหมิงเย่ว์ได้ในหนึ่งธนู ไล่ต่อยปั๋วหมิงเย่ว์ในห้องถวายฎีกาได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้ว่าปั๋วหมิงเย่ว์กำลังทำอะไรอยู่
หวังซีเดือดปุดปุด ลืมเรื่องกลิ่นฉุนของผงธูปหอมนั่นไป เอาแต่คิดเรื่องจะคิดบัญชีกับเฉินลั่วแทน
แต่ตอนที่นางลุกขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้น ก็รู้สึกว่าเช่นนี้เป็นการปล่อยเฉินลั่วไปอย่างง่ายดายเกินไป
วัดเจินอู่อยู่ห่างจากจิงเฉิงมากกว่าสิบลี้ คนที่สนใจเรื่องส่วนผสมของผงธูปหอมมากที่สุด และมีความสัมพันธ์กับผงธูปหอมมากที่สุดก็คือเฉินลั่ว เหตุใดนางต้องเดินทางไปกลับกว่าหลายสิบลี้เพื่อบอกเขาว่าผงธูปหอมนี้ร้ายแรงมากเพียงใดด้วย
นางไม่ทำเรื่องเปลืองเรี่ยวแรงประเภทนี้เป็นอันขาด
นางจะให้เฉินลั่วมาหาเอง
หวังซีเรียกหวังสี่เข้ามาภายใต้การจับจ้องของเซียวเหยาจื่อและคนอื่นๆ กระซิบคุยกับเขาที่ข้างหูครู่หนึ่ง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทางนี้ให้หวังสี่ฟัง กล่าวว่า เจ้าใช้ม้าด่วนเร่งกลับไป ถามคุณชายเฉินว่าควรทำอย่างไร ข้าจะอยู่ที่นี่ยื้อปรมาจารย์ทั้งสองท่านเอาไว้ รอเขาสั่งการ!
นางไม่เชื่อว่าเขาจะไม่มา
หวังสี่รับคำแล้วจากไป
หวังซีถึงได้มีอารมณ์มาสนทนากับเซียวเหยาจื่อและไห่เทา
นางถามไห่เทาอย่างจริงใจว่า ไม่ทราบว่าท่านได้ตอบปั๋วหมิงเย่ว์ไปหรือยัง
หากตอบปั๋วหมิงเย่ว์ไปแล้ว ไห่เทาคงไม่ตามหาคนที่ตัดสินใจแทนตระกูลหวังได้อย่างร้อนใจเช่นนี้
เขาฟังจากน้ำเสียงนั่นของหวังซีแล้ว คล้ายคุ้นเคยกับปั๋วหมิงเย่ว์เป็นอย่างดีก็ไม่ปาน ประกอบกับหวังซีเรียกคนข้างกายผู้หนึ่งเข้ามา แปดถึงเก้าในสิบส่วนน่าจะเป็นการไปจัดการเรื่องของปั๋วหมิงเย่ว์
ความตั้งใจเดิมของเขาก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นเมื่อใคร่ครวญคร่าวๆ แล้วก็บอกหวังซีอย่างสงบว่า ข้ากับเซียวเหยาล้วนรู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ จึงบอกกล่าวตระกูลหวังสักคำก่อนดีกว่า ขณะที่กล่าว เขามองเซียวเหยาจื่อครั้งหนึ่ง กล่าวว่า ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่หวังมีแผนการอย่างไร
มีคนไปหาถึงบ้านเหมือนกัน แต่เลือกบอกตระกูลหวังก่อน ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับมิตรภาพระหว่างเซียวเหยาจื่อกับหวังเฉินอย่างแน่นอน แต่หวังซีก็ไม่อาจคิดแค่ว่าเกี่ยวพันกับมิตรภาพของหวังเฉินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นางยิ้มแย้มกล่าวว่า ไต้ซือทั้งสอง ข้าอายุน้อย ไม่รู้ความ ทว่าก็ได้รับการสั่งสอนจากผู้อาวุโสในบ้านมา บุญคุณเพียงหนึ่งหยดน้ำ ให้ตอบแทนเสมือนเป็นน้ำพุ บัดนี้เรื่องราวยุ่งเหยิงและซับซ้อน ไม่อาจบอกกล่าวส่วนสำคัญให้ไต้ซือทั้งสองท่านเป็นข้อๆ ให้กระจ่างได้ แต่คาดว่าไต้ซือทั้งสองท่านก็น่าจะเข้าใจแล้ว เวลาไม่คอยท่า ไต้ซือทั้งสองท่านมีเรื่องอะไร มิสู้กล่าวมาตามตรง หากตระกูลหวังของพวกข้าทำให้ได้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ไม่มีทางปล่อยให้ไต้ซือทั้งสองท่านกลับไปมือเปล่าอย่างแน่นอน
ถ้อยคำนี้ของนางไม่เพียงกล่าวอย่างจริงใจเท่านั้น ยังกล่าวได้ตรงจุด กระแทกตรงไปที่ส่วนสำคัญ ในที่สุดก็ทำให้เซียวเหยาจื่อเริ่มยอมรับนาง
เขาจ้องมองหวังซีด้วยแววตากระจ่างใสพลางเอ่ยขึ้นว่า ถ้อยคำนี้ของคุณหนูใหญ่พูดในนามของตระกูลหวัง?
แน่นอน! หวังซีกล่าวยิ้มๆ ไม่อย่างนั้นหลงจู๊ใหญ่ของพวกข้ามาพบไต้ซือทั้งสองท่านคนเดียวก็พอแล้ว เหตุใดต้องให้ข้ามาพบท่านทั้งสองอีก
ตอนกล่าวถ้อยคำนี้ นางคิดว่า หากเป็นเรื่องเงินทอง ถ้าตระกูลหวังทำไม่ได้แล้วภายใต้ผืนฟ้านี้จะมีตระกูลใดทำได้อีก แต่ถ้าหากเป็นเรื่องอำนาจ แน่นอนว่ากำลังของตระกูลหวังคงไม่พอ แต่ใครใช้ให้เบื้องหลังของนางมีเฉินลั่วยืนอยู่อีกผู้หนึ่งด้วยเล่า
ไม่ว่าเงื่อนไขของทั้งสองคนจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็น่าจะนั่งลงมาเจรจากันดีๆ ได้
ครานี้ เซียวเหยาจื่อกับไห่เทาแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง เซียวเหยาจื่อถึงกล่าวขึ้นว่า ไห่เทาอยากขอบริจาคทานจากตระกูลของพวกเจ้าสักอย่างหนึ่ง
ขอบริจาคทาน? หวังซีมึนงง
สิ่งของอะไรที่ควรค่าพอให้ไห่เทาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับข่าวของผงธูปหอม?
ชั่วขณะนั้นนางคิดไม่ตก
ไห่เทาก้มหน้าลง กล่าวเสียงเบาอย่างกระดากอาย คุณหนูใหญ่น่าจะทราบ วัดหนานหวาของพวกข้าอยู่ที่เขาซื่อกู้ ที่ผ่านมาวัดหนานหวาของพวกข้าอยากซื้อเขาซื่อกู้มาโดยตลอด แต่สืบไปสืบมา ล้วนไม่รู้ว่าเขาซื่อกู้อยู่ในมือของผู้ใด หลายปีก่อน ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ข่าวว่าเขาซื่อกู้เป็นของตระกูลเวิงที่เสากวน แต่เมื่อพวกข้าเร่งไปถึง ตระกูลเวิงก็ย้ายไปอยู่ที่ฉังเต๋อของหูเป่ยนานแล้ว พวกข้าจึงตามไปที่ฉังเต๋ออีก ทว่าโฉนดที่ดินของเขาซื่อกู้กลับถูกกูไหน่ไนของตระกูลเวิงใช้เป็นสินเจ้าสาวเอาไปตระกูลจิงที่เต๋อหยางด้วยแล้ว
ตระกูลจิงที่เต๋อหยางคือบ้านเดิมของท่านย่าของหวังซี
นางอ้าปากกว้างอย่างช่วยไม่ได้
คงมิใช่ว่าโฉนดที่ดินของเขาซื่อกู้เป็นสินเจ้าสาวของท่านย่าของนางหรอกกระมัง
ไห่เทาหันไปพยักหน้าให้หวังซีอย่างละอาย กล่าวว่า หากตระกูลหวังช่วยให้เรื่องนี้สำเร็จได้ อาตมาจะซาบซึ้งในบุญคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ไม่…ไม่เพียงอาตมาเท่านั้น แม้แต่คนที่วัดหนานหวาทั้งบนและล่าง ล้วนจะซาบซึ้งในบุญคุณอย่างหาที่สุดมิได้กันถ้วนหน้าเช่นกัน
เสากวนห่างจากสู่จงพันลี้ อย่าพูดถึงท่านย่าของนางเลย แม้แต่พี่ชายใหญ่ของนาง ก็ไม่มีทางไปซื้อที่ดินที่เสากวน คาดว่าคงเป็นโฉนดที่ดินหนึ่งแผ่นที่เก็บมาตั้งแต่อดีตกาล
ถวายให้วัดหนานหวาก็น่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
หวังซีรีบกล่าว เรื่องที่ท่านกล่าวมานี้ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก หากตระกูลหวังของพวกข้ามีของชิ้นนี้ ข้าก็คงจะตัดสินใจถวายให้วัดของท่านตั้งแต่ตอนนี้ได้ แต่เนื่องจากเป็นสินเจ้าสาวของท่านย่าของข้า เช่นนั้นก็คงต้องถามท่านย่าของข้าสักคำก่อน แต่ท่านวางใจเถอะ ท่านย่าของข้าศรัทธาในพระพุทธองค์อย่างจริงใจมาโดยตลอด วัดหนานหวาเป็นวัดใหญ่ของทางใต้ หากถวายที่ดินให้วัดหนานหวาได้ ท่านย่าของข้าย่อมรู้สึกยิ่งกว่าเป็นเกียรติ เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องตั้งแต่อดีตนานนมมาแล้ว โฉนดที่ดินของเขาซื่อกู้จะอยู่ในมือของท่านย่าข้าจริงหรือไม่นั้น คงต้องสอบถามสักหน่อยถึงจะใช้การได้…
…อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโฉนดที่ดินนี้จะอยู่ในมือของท่านย่าข้าหรือไม่ ในเมื่อท่านเอ่ยมาแล้ว ตระกูลหวังของพวกข้าจะต้องหาวิธีสืบข่าวตำแหน่งแห่งที่ของโฉนดที่ดินผืนนั้นมาให้ได้อย่างแน่นอน
ตระกูลสามีไม่อาจไปยุ่มย่ามกับสินเจ้าสาวของบุตรสะใภ้ได้
ไห่เทาโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
หลายปีมานี้ยิ่งอยู่วัดหนานหวาก็ยิ่งเจริญก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าด้วยข้อจำกัดของเขาซื่อกู้ ทำให้ไม่อาจขยับขยายมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้วัดหนานหวาก็เลยไม่อาจรองรับผู้มาสักการะที่มากขึ้นได้ ยากที่จะช่วงชิงเอาสมญา ‘วัดที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของหวาหนาน’ กับวัดเก่าแก่อื่นๆ ได้
หากใช้นามของตระกูลขุนนางแก้ปัญหาเรื่องซื้อที่ดินเขาซื่อกู้ได้เป็นดีที่สุด แต่ก่อนหน้านี้พวกเขากับตระกูลปั๋วไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรกัน ไม่รู้ว่านายท่านที่ดูแลกิจการในครอบครัวของจวนชิ่งอวิ๋นโหวเป็นคนเช่นไร แทนที่จะขอความช่วยเหลือจากจวนชิ่งอวิ๋นโหว มิสู้ผูกสัมพันธ์กับตระกูลหวังที่ซื่อสัตย์และรักษาคำมั่นสัญญาดีกว่า
คุณหนูใหญ่สกุลหวังยินดีไปสอบถามให้ เช่นนั้นก็ดียิ่งแล้ว
ขอบคุณคุณหนูใหญ่! เซียวเหยาจื่อยอมรับน้ำใจในครั้งนี้ หันไปกล่าวขอบคุณหวังซียิ้มๆ
หวังซีจึงถามถึงเรื่องผงธูปหอมอย่างละเอียดขึ้นมา ทราบหรือไม่ว่าใช้เครื่องเทศอะไรบ้าง หากเปลี่ยนจากยางกำยานเป็นเครื่องเทศชนิดอื่นจริง จะทำให้คนหลับจนเสียชีวิตไปโดยไม่รู้ตัวได้จริงๆ หรือ ถ้าเปลี่ยนเป็นเครื่องเทศอย่างอื่น จะมีอะไรแตกต่างหรือไม่
ไห่เทาเองก็พยายามตอบนางอย่างสุดความสามารถเช่นกัน น่าจะเป็นเครื่องเทศตัวที่ข้ากับเซียวเหยาเคยคุยกันก่อนหน้านี้ เครื่องหอมกับตำรับยาก็เหมือนกัน มีเจ้ากับมีไพร่พล มีนายกับมีผู้ช่วย แม้นกล่าวว่าใช้เครื่องเทศชนิดอื่นแทนยางกำยานได้ แต่สุดท้ายแล้วเปลี่ยนมันอย่างไร จะให้กลิ่นที่เด่นชัดขึ้นหรือทำให้คนติดตราตรึงใจได้ลึกล้ำขึ้นหรือไม่นั้น ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ จะทำให้คนหลับแล้วไม่ตื่นได้หรือไม่นั้น ตามทฤษฎีแล้วทำได้ แต่รายละเอียดว่าเปลี่ยนเป็นเครื่องเทศอะไรนั้น ยังต้องพิสูจน์กันอีกอย่างระมัดระวัง…
คนสองสามคนสนทนาอยู่ในเรือนปีกโดยตลอด นักพรตเด็กยังมาเปลี่ยนน้ำชา นำผลไม้และขนมมาให้พวกเขาใหม่ด้วย พวกเขาคุยไปกินไป แล้วก็กินไปดื่มไป เห็นดวงตะวันเคลื่อนไปทางทิศตะวันตกแล้ว เฉินลั่วก็ยังไม่มาปรากฏตัว
คนหนุ่มผู้นี้คงมิใช่ว่าไม่สะดวกออกหน้ามาหรอกกระมัง
ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็น่าจะให้คนนำจดหมายมาแจ้งสักฉบับถึงจะถูก
หวังซีวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในใจ ทว่าก็ไม่อาจใช้เวลาอยู่ที่นี่ต่อไปได้แล้ว ขณะที่กำลังขบคิดว่าจะกล่าวอ้อมๆ อย่างไรให้ไห่เทาประวิงเวลาไปอีกสักสองสามวันก่อนแล้วค่อยตอบปั๋วหมิงเย่ว์ หรือไม่ก็ไม่ต้องตอบปั๋วหมิงเย่ว์ไปเลยอยู่นั้น ก็มีนักพรตเด็กวิ่งเข้ามาบอกว่าหวังสี่พาคนมาขอพบหวังซี
นางสงสัยว่าเฉินลั่วคงมาถึงแล้ว รีบลุกขึ้นกล่าวว่า ข้าไปดูสักหน่อย บอกให้หลงจู๊ใหญ่อยู่คุยกับเซียวเหยาจื่อและไห่เทา
ถึงดวงตาของเซียวเหยาจื่อกับไห่เทาจะเผยความสงสัยออกมาทว่าก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ทำสัญญาณให้หวังซีไปจัดการธุระก่อนได้เลย
หวังซีตามนักพรตเด็กผู้นั้นออกจากเรือนปีกไป
เวลานี้ดวงตะวันของคิมหันต์จากไปแล้ว ลำแสงสีทองแผ่ทั่วลานบ้าน เฉินลั่วสวมชุดอี้ส่านคอป้ายด้านล่างเป็นกระโปรงจีบสีขาวพระจันทร์ทอลายดอกไม้หลากสีสัน ในมือถือแส้ทองดำเอาไว้เส้นหนึ่ง ยืนตัวตรงสูงเด่นเป็นสง่าอยู่กลางลานบ้าน ประหนึ่งเทพเทียนเจียง เมื่อมองไปแล้ว ทำให้คนมองไม่เห็นผู้อื่นอีก
เฉินลั่ว! หวังซีกระซิบกล่าว
ทั้งๆ ที่นางเป็นคนเรียกเขามา แต่พอเขามาจริงๆ แล้ว ก็ไม่รู้ว่าไฟโกรธของหวังซีหายไปไหนแล้ว
เจ้าบอกว่าปั๋วหมิงเย่ว์ไปหาพระที่มีนามว่าไห่เทาผู้นั้น? เขาขยับมาหาหวังซี ขมวดคิ้วมุ่น ไม่มีคำทักทายแม้แต่คำเดียว เอ่ยถามถึงเรื่องราวโดยตรงทันที นอกจากเรื่องนี้แล้ว ไห่เทายังพูดอะไรอีกบ้าง เขาได้เสนอเงื่อนไขอะไรหรือไม่
คำถามเจาะเข้าประเด็นในเข็มเดียว ทว่ามิได้เอ่ยถึงเรื่องของปั๋วหมิงเย่ว์
หวังซีเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เร่งด่วนมาก จึงไม่อ้อมค้อมกับเฉินลั่ว กล่าวว่า เจ้ารู้เรื่องของปั๋วหมิงเย่ว์หรือไม่ ไห่เทาต้องการโฉนดที่ดินของเขาซื่อกู้ซึ่งเป็นสินเจ้าสาวของท่านย่าของข้า แต่ข้าไม่รู้ว่าโฉนดที่ดินนั่นอยู่ในมือท่านย่าของข้าจริงหรือไม่ แล้วก็ไม่รู้เช่นกันว่าท่านย่าของข้าจะยอมถวายให้วัดหนานหวาหรือไม่
เฉินลั่วพยักหน้าน้อยๆ
คุยกับคนฉลาดก็เรียบง่ายเช่นนี้ ไม่ต้องอธิบายกันไปมาให้มากความ
เขากล่าว เรื่องของปั๋วหมิงเย่ว์ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว หากโฉนดที่ดินของเขาซื่อกู้อยู่ในมือท่านย่าของเจ้าจริงๆ จะมอบให้พวกเขาก็มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่อาจมอบให้พวกเขาไปง่ายๆ เช่นนี้ นอกจากต้องตรวจสอบว่าเหตุใดพวกเขาถึงต้องการโฉนดที่ดินของเขาซื่อกู้ให้ได้แล้ว ยังต้องตรวจสอบสถานะของไห่เทาผู้นี้ด้วย ส่วนเรื่องที่เป็นเหตุทำให้ท่านย่าต้องสูญเสียทรัพย์สินนั้น ข้าจะหาทางชดใช้ให้
ไม่เห็นครอบครัวของพวกเขาเป็นคนโง่งมก็ดี
เฉินลั่วตรงไปตรงมา หวังซีเองก็ไม่คลุมเครือ กล่าวว่า ข้าจะให้คนกลับสู่จงไปสอบถามเรื่องโฉนดที่ดินให้กระจ่าง หากโฉนดที่ดินอยู่ในมือของครอบครัวพวกข้าจริงๆ ถึงเวลาข้าจะให้คนที่บ้านส่งมอบโฉนดที่ดินไปไว้ในมือท่าน
เรื่องชดใช้อะไรนั่น นางไม่กังวล
เชื่อว่าโอกาสจากสำนักพระราชวังหนึ่งโอกาสย่อมช่วยเหลือตระกูลหวังได้มากกว่าโฉนดที่ดินของเขาซื่อกู้
เฉินลั่วพึงพอใจต่อถ้อยแถลงของหวังซีเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า ถึงวัดเจินอู่จะเทียบไม่ได้กับวัดไป๋หม่า ทว่าก็สร้างวัดมาหลายร้อยปีแล้ว หากพวกเขามีเจตนา ย่อมสืบได้ว่าข้าคือใคร แทนที่จะให้พวกเขาแพร่งพรายร่องรอยของข้าออกไป มิสู้ไปบอกพวกเขาอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาดีกว่า เจ้าเข้าไปพร้อมกับข้า แนะนำเซียวเหยาจื่อกับไห่เทาให้ข้ารู้จัก
เขามีวิธีทำให้พวกเขาหุบปาก กระทั่งช่วยเป็นโล่กำบังให้เขาได้
หวังซียิ้มตาหยีกล่าวรับคำ
รอยยิ้มนั่นกลับสุกสว่างยิ่งกว่าลำแสงอาทิตย์อัสดงที่ส่องสะท้อนของย่ำสนธยาเสียอีก ราวกับส่องไปถึงก้นบึ้งหัวใจคนได้
เฉินลั่วหยุดครู่หนึ่ง ถึงได้ยกเท้าเข้าไปในเรือนปีก
เซียวเหยาจื่อกับไห่เทาทำความเคารพเฉินลั่วอย่างตื่นตกใจ บนหน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดออกมา
ปั๋วหมิงเย่ว์ไม่ต้องพูดถึงแล้ว บุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหลังตระกูลหวังเป็นถึงบุตรชายของเจิ้นกั๋วกงกับเป่าชิ่งจ่างกงจู่ และผู้บังคับบัญชาสูงสุดกองพลม้าทะยานซ้ายอย่างเฉินลั่ว เรื่องนี้ดูจะเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
ไม่รู้ว่าพวกเขาจะรับผิดชอบไหวหรือไม่!
ผู้ละทางโลกทั้งสองท่านต่างรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
……………………………………………………………..
ตอนต่อไป