เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 93 เรื่องงานแต่ง
หวังซีจะให้ฉังเคอช่วยยกดอกไม้ต้นไม้ให้นางได้อย่างไร
นางหยิบขนมวุ้นน้ำแข็งที่แม่ครัวเพิ่งทำใหม่มารับรองฉังเคอ
ขนมวุ้นน้ำแข็งใสแวววาว ราดด้วยน้ำเชื่อมสีน้ำตาล ประดับหน้าด้วยถั่วเชื่อมสีแดง แตงหอมสีเขียว มะม่วงสีเหลือง และลูกหลีหอมสีขาวที่แช่ให้เย็นในน้ำบ่อมาแล้ว บรรจุอยู่ในถ้วยแก้ว กินเข้าไปหนึ่งคำ หวานและเย็นสดชื่นไปถึงหัวใจ บรรเทาความร้อนลงไปได้หลายส่วน
“อร่อย!” ฉังเคอกล่าวจบ ก็ตักกินอีกหนึ่งช้อนใหญ่อย่างอดใจไม่อยู่
หวังซีเม้มปากอมยิ้ม กล่าวว่า “เป็นของหวานของพวกข้าทางด้านโน้น ทำมาจากเมล็ดของผลมะเดื่อเถา แต่ว่ากินมากเกินไปไม่ได้ ในนั้นเติมผงปูนขาวเข้าไปด้วย ทุกครั้งที่กินมันข้าล้วนรู้สึกเหมือนกำลังกินยาพิษเข้าไป แต่ก็ยังชอบกินมากอยู่ดี หน้าร้อนของทุกปีล้วนต้องอยากกินหลายๆ ครั้งอย่างอดใจไม่ได้”
จิงเฉิงเองก็มีขายเหมือนกัน แต่ฉังเคอไม่รู้ว่าในนี้มีการเติมผงปูนขาวลงไปด้วย นางถือขนมวุ้นน้ำแข็งที่เหลืออีกครึ่งถ้วยนั้นเอาไว้จะกินก็ไม่ใช่ จะไม่กินก็ไม่ใช่ สุดท้ายครุ่นคิดแล้วก็เหมือนกับหวังซี ในเมื่อทุกคนต่างกินกันมานานหลายปีขนาดนี้ คาดว่านางกินน้อยลงหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรกระมัง
นางกินขนมวุ้นน้ำแข็งที่เหลืออีกครึ่งถ้วยอย่างมีความสุข
ทั้งสองคนคุยเรื่องงานเลี้ยงย้ายบ้านขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ตามความเห็นของฉังเคอ เชิญเพียงคุณหนูรองอู๋ ลู่หลิงและคุณหนูพานก็พอแล้ว คุณหนูหกของจวนปั๋วนั้นคิดว่าน่าจะเป็นเพียงคำพูดตามมารยาทเท่านั้น อาจไม่มาก็ได้ แจ้งให้ทราบสักครั้งก็พอ นางอยากมาก็มา ไม่อยากมาก็ไม่ต้องคะยั้นคะยอ
ด้วยนิสัยของหวังซี นางไม่มีทางเชิญคุณหนูหกตระกูลปั๋ว แต่นางรับปากเฉินลั่วแล้วว่าจะช่วยเขาสืบเรื่องงานแต่งของเฉินอิง จึงจำเป็นต้องทำความรู้จักคุณหนูเหล่านี้เอาไว้ ไม่ต้องพูดถึงคุณหนูหกตระกูลปั๋วแม้แต่คุณหนูของจวนเซียงหยางโหวอีกสองสามท่านก็ต้องส่งเทียบไปให้ด้วยถึงจะถูก
ทั้งสองคนกินขนมถั่วเขียวที่แม่ครัวของหวังซีทำเสร็จใหม่ๆ ไปด้วย หารือเรื่องคนที่ต้องเชิญไปด้วย
หวังซีจิตใจกระวนกระวายอยู่ไม่สุขเล็กน้อย
ด้านท่านหมอเฝิงยังไม่มีข่าวคราว ด้านหลงจู๊ใหญ่รับปากแล้วว่าจะช่วยหาผู้ช่วยให้เฉินลั่วสักคนหนึ่งก็มิใช่เรื่องที่กระทำได้ในเวลาอันสั้น เรื่องงานแต่งของเฉินอิงก็มิใช่ว่าจะสืบได้ในคราวเดียว พรุ่งนี้ทางด้านซือจูก็จะจัดงานเลี้ยงรับรององค์หญิงฟู่หยาง เมื่อหลายวันก่อนซือจูได้ประกาศเจตนารมณ์ออกมาแล้วว่า นี่คือโอกาสดีในการได้รู้จักสตรีชั้นสูงของจิงเฉิง คุณหนูทั้งหลายของจวนหย่งเฉิงโหวควรแต่งกายให้งดงามไปร่วมงานสักครั้ง ล้วนมีแต่ผลดีต่องานแต่งของตัวเองและสายสัมพันธ์หลังออกเรือนทั้งสิ้น นางคิดว่าเมื่อถึงเวลาจะหาข้ออ้างหนึ่งมาหลบร้อนอยู่ในเรือนของตัวเอง
คิดถึงตรงนี้ นางนึกถึงเมื่อครู่ที่ฉังเคอพูดกับนางขึ้นมา อดถามอย่างแปลกใจระคนสงสัยไม่ได้ว่า “งานแต่งของคุณหนูรองกำหนดลงมาตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดถึงไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรเลย เพิ่งเจรจากันหรือว่ากำหนดเอาไว้แล้ว?”
หากเพิ่งเจรจามักจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องเวลาบ่อยๆ การเก็บเงียบเอาไว้ก่อนเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่หากกำหนดวันเอาไว้แล้ว งานแต่งนี้คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ถ้ายังไม่บอกกล่าวสักคำ ตอนวางของหมั้นไม่มีคนไปดูความครึกครื้น ทั้งสองครอบครัวล้วนเสียหน้า นี่จึงไม่ค่อยปกตินัก
เดิมทีฉังเคอมาเพื่อคุยเรื่องนี้กับหวังซี แต่ซ้ายมีขนมวุ้นน้ำแข็งหนึ่งถ้วย ขวามีขนมถั่วเขียวอีกหนึ่งถ้วยของหวังซีคอยโจมตี จึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
นางรีบกดเสียงลงต่ำ ขยับเข้าใกล้หวังซีกระซิบที่ข้างหูว่า “แม่สามีของคุณหนูใหญ่ช่วยเป็นแม่สื่อให้ คนครอบครัวนั้นแซ่หวง แม้นพ่อสามีจะเป็นเพียงขุนนางฝ่ายทหารยศขั้นหกผู้หนึ่ง แต่ก็เป็นผู้สอบผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางฝ่ายทหาร สมบัติพัสถานอุดมสมบูรณ์ คนที่หมั้นหมายกับพี่สาวรองคือบุตรชายคนรองของพวกเขา ได้ยินว่าสอบผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางฝ่ายทหารตั้งแต่อายุยังน้อย ท่านป้าสะใภ้ใหญ่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ท่านลุงใหญ่กับท่านย่าล้วนไม่มีใครว่าอะไร เป็นพี่สาวรองที่โวยวายอยู่หลายวัน เพียงแต่ว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะให้พี่สาวรองแต่งเข้าไป ก่อนจะมีการวางของหมั้นอย่างเป็นทางการ คาดว่าคงไม่ป่าวประกาศออกมา”
หวังซีไม่เคยเห็นคุณหนูใหญ่ของจวนหย่งเฉิงโหวมาก่อน ไม่รู้ว่านางเป็นคนเช่นไร จึงไม่รู้จะกล่าวอะไรเกี่ยวกับงานแต่งในครั้งนี้
เทียบกับจวนหย่งเฉิงโหวแล้ว สถานะของตระกูลหวงก็ต่ำไปบ้างจริงๆ
แต่หย่งเฉิงโหวกับฮูหยินผู้เฒ่าต่างไม่ว่าอะไร ทำให้คนอดคิดมากไม่ได้
หวังซีถามเกี่ยวกับคุณชายรองของตระกูลหวงว่าหน้าตาเป็นเช่นไร อายุเท่าไร ที่บ้านยังมีใครอีกบ้าง
บางอย่างฉังเคอก็ตอบได้ บางอย่างก็ตอบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม นางเอ่ยถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา “ได้ยินว่าตระกูลหวงสร้างตัวขึ้นมาจากการทำกิจการค้าข้าวค้าเมล็ดพันธ์พืชต่างๆ ว่ากันว่าเมื่อก่อนตระกูลของพวกเขาเคยทำการค้ากับจวนชิ่งอวิ๋นโหว ดังนั้นถึงทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ หาไม่แล้ว ตระกูลที่ขนส่งเมล็ดข้าวและพันธ์พืชทางน้ำตระกูลหนึ่งอย่างพวกเขา คงไม่อาจให้บุตรหลานได้เรียนหนังสือฝึกทหารและรับราชการได้”
หวังซีสะดุดใจ
ฉังเคอเติบโตอยู่ในจวนโหว เป็นธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการค้า
นางกลับได้ยินและได้เห็นมามากจนซึมซับไปเองแล้ว
สาเหตุที่มีของอย่างใบอนุญาตค้าเกลือนั้น ก็เพราะว่าการขนส่งเมล็ดข้าวและพันธ์พืชจากใต้ขึ้นเหนือผ่านการขนส่งทางน้ำเพื่อส่งไปยังเก้าเหล่าทัพนั้นเกิดความสูญเสียมากเกินไป ถึงได้มีการปล่อยให้พ่อค้ามาทำการขนส่งอาหารเหล่านี้แทน โดยพ่อค้าเหล่านั้นต้องแบกรับความสูญเสียที่เกิดจากการขนส่งอาหารด้วยตัวเอง จากนั้นเมื่อส่งอาหารถึงเก้าเหล่าทัพแล้วนำไปแลกเป็นใบอนุญาตค้าเกลือ แล้วนำใบไปแลกเปลี่ยนเป็นเกลือหลวงที่ฝ่ายกิจการเกลือหลวง จากนั้นนำไปขายต่อให้ประชาชนคนทั่วไป
ในระหว่างนี้ ไม่รู้ว่ามีการปรุงแต่งเรื่องราวขึ้นมากมายเพียงใด
หากปีนั้นตระกูลหวงนั่นผูกสัมพันธ์กับจวนชิ่งอวิ๋นโหว ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำก็มิใช่เรื่องแปลก
เพียงแต่ว่าเมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เกรงว่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวคงทำเงินได้มากกว่า
หวังซีนึกถึงลุงของแผ่นดินท่านหนึ่งในราชวงศ์ก่อน ทำเงินได้เป็นจำนวนมากจากการนำชุดบุฝ้ายของทหารในกรมกลาโหมมาขายต่อในราคาสูง
เปรียบเทียบกับลุงของแผ่นดินท่านนี้แล้ว ไม่รู้ว่าฝีมือของจวนชิ่งอวิ๋นโหวสูงส่งกว่ามากมายเพียงใด
หวังซีคว้าตัวเซียงเย่ที่กระโจนผ่านข้างกายนางขึ้นมา ลูบคางให้แมว หยอกเย้าจนเซียงเย่นอนหงายท้องหันไปร้องใส่นาง เมี้ยวเมี้ยว นางถึงได้กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นจวนชิ่งอวิ๋นโหวเป็นลุงของแผ่นดินมาสองครั้ง ที่จิงเฉิงต่อให้มิใช่คนที่ร่ำรวยที่สุด เกรงว่าก็น่าจะเป็นลำดับต้นๆ”
“ถูกต้อง” ฉังเคอแปลกใจเล็กน้อยที่หวังซีพูดเรื่องพวกนี้ นางพยักหน้ากล่าว “คนในตระกูลของพวกเขาทำสงครามเป็น ท่านปู่ข้าบอกว่า มีเพียงคนทำสงครามเป็นถึงทำเงินได้มากที่สุด เจ้าดูอย่างจวนชิงผิงโหว คนมากมายขนาดนั้น แต่เมื่อหญิงสาวในตระกูลของพวกเขาออกเรือนล้วนมีสินเจ้าสาวจำนวนถึงห้าพันตำลึงกันทุกคน ส่วนบุตรชายตอนแต่งงานได้สามพันตำลึง แค่ในจิงเฉิงก็มีเทือกสวนไร่นาถึงหนึ่งพันกว่าหมู่ ดังนั้นตระกูลของพวกเขาจึงสูญเสียคนไปมาก แต่คนเอาไปเหน็บแนมถากถางก็มีไม่น้อยเช่นกัน”
หวังซีประหลาดใจ กล่าวว่า “คนจวนชิ่งอวิ๋นโหวทำสงครามเป็น?”
เช่นนั้นเงินทองของพวกเขาได้มาจากการทำการค้าหรือมาจากการทำสงครามกันแน่?
ฉังเคอกล่าวยิ้มๆ “เจ้าควรแปลกใจว่าเหตุใดยามออกเรือนหญิงสาวจากจวนชิงผิงโหวได้สินเจ้าสาวห้าพันตำลึง แต่บุตรชายได้สามพันตำลึงมากกว่ามิใช่หรือ”
หวังซีไม่เห็นด้วย กล่าวว่า “เดิมทีหญิงสาวคลอดมาก็ลำบากกว่าเล็กน้อยอยู่แล้ว หญิงสาวจากตระกูลพวกข้ายามออกเรือนก็ได้สินเจ้าสาวมากกว่าบุตรชายยามแต่งงานเช่นกัน นี่มีอะไรให้น่าแปลกใจหรือ”
ฉังเคออับอาย กล่าวว่า “ข้าคิดว่าจะมีแค่จวนชิงผิงโหวที่เป็นเช่นนี้เสียอีก คิดไม่ถึงว่าตระกูลพวกเจ้าก็เป็นเช่นนี้ด้วย แต่ข้าเติบโตมาขนาดนี้ ก็เคยเห็นแค่พวกเจ้าสองตระกูลเท่านั้น คนตระกูลอื่น ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นแล้ว อย่างตระกูลพวกข้า หญิงสาวออกเรือนคลังกองกลางออกเงินให้เพียงห้าร้อยตำลึงเท่านั้น แต่บุตรชายแต่งงานกลับได้หนึ่งพันห้าร้อยตำลึง”
หวังซีหัวเราะร่วน กล่าวว่า “นี่เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง ต่อไปยังมีเรื่องให้พบเห็นอีกมาก อีกหน่อยก็ไม่รู้สึกแปลกแล้ว”
ฉังเคอพยักหน้า
แต่ไม่รู้เลยว่าแม้นนางจะอายุยืนยาว แต่ก็ได้พานพบเพียงสองตระกูลนี้เท่านั้น
แน่นอน ต่อมาตัวนางเองและหวังซีล้วนไม่นับอยู่ในนั้น นางมักจะรู้สึกว่านางกับหวังซีล้วนโชคดีที่มีตระกูลหวัง
นางพูดถึงเรื่องของจวนชิ่งอวิ๋นโหวขึ้นมา “บรรพบุรุษของคุณหนูหกปั๋วเดิมเป็นคนกานซู่ เทียดของคุณหนูหกปั๋วเคยเป็นแม่ทัพฝ่ายซุ่มโจมตีภายใต้การนำของตระกูลอู๋จวนชิงผิงโหวมาก่อน เพราะทุ่มเทสร้างผลงานจนสุดท้ายได้เป็นแม่ทัพใหญ่ของซานตง ส่วนทวดของคุณหนูหกปั๋วสอบผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางฝ่ายทหาร เป็นนายทะเบียนผู้หนึ่งอยู่ที่กองบัญชาการทหารทั้งห้า ถึงได้พาทั้งครอบครัวมาตั้งรกรากที่จิงเฉิง ในสมัยของจักรพรรดิเซี่ยวจง ย่าที่เป็นพี่สาวของปู่ของคุณหนูหกถึงมีคุณสมบัติได้รับคัดเลือกเข้าวัง แรกเริ่มเป็นเหม่ยเหริน ต่อมาเป็นผินเฟย และสุดท้ายได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา…
…ตระกูลปั๋วถึงได้กระโดดขึ้นมาเป็นขุนนางชั้นสูงในรัชสมัยดังกล่าว…
…แต่ตระกูลปั๋วขึ้นมามีชื่อเสียงโดดเด่นนั้น มิใช่เพราะอาศัยสถานะลุงของแผ่นดิน…
…ปู่ของคุณหนูหกปั๋วเองก็เป็นผู้สอบผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางฝ่ายทหาร ปีนั้นชิงผิงโหวต่อสู้กับทหารชนเผ่าอยู่ที่จินชวน สูญเสียนายทหารชั้นสูงติดๆ กันถึงเจ็ดนาย และสูญเสียเมืองไปสิบกำแพงเมือง ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ส่งปู่ของคุณหนูหกปั๋วไปสอบถาม ผู้ใดจะรู้ว่าปู่ของคุณหนูหกปั๋วเองเมื่อไปถึงแล้ว กลับถูกทหารชนเผ่าล้อมเมืองไว้พร้อมกับชิงผิงโหว…
…ปู่ของคุณหนูหกปั๋วเดือดดาล ยึดตราสั่งการของชิงผิงโหว เปลี่ยนผู้สั่งการอย่างกะทันหัน ไม่เพียงฝ่าเมืองออกมาเท่านั้น ระหว่างที่ราชสำนักยังไม่ส่งทหารและอาวุธมานั้นยังยึดเมืองกลับมาได้ติดๆ กันถึงหกเมือง ไล่ต้อนคนชนเผ่าไปจนถึงเมืองถู่ปัว ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายพลจากจักรพรรดิพระองค์ก่อน…
…ที่คนถู่ปัวไม่รุกรานพื้นที่ราบตอนกลางมานานหลายปีขนาดนี้ ก็เป็นคุณูปการของท่านปู่ของคุณหนูหกปั๋ว…
…แต่ว่าในเวลานั้นจวนชิงผิงโหวชื่อเสียงเกรียงไกร อีกทั้งปั๋วไทเฮาในตอนนั้นก็ได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮาแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดปัญหา คนตระกูลปั๋วจึงมิได้เปิดเผยเรื่องนี้ออกไป คนจำนวนมากไม่รู้ว่าสงครามที่จินชวนนั้นความจริงแล้วชิ่งอวิ๋นโหวผู้เฒ่าเป็นแม่ทัพใหญ่…
…ด้วยเหตุนี้ชิ่งอวิ๋นโหวผู้เฒ่าได้รับบาดเจ็บสาหัส ป่วยอยู่หลายปี สุดท้ายก็เสียชีวิต…
…และเพราะเหตุนี้บิดาของคุณหนูหกปั๋วจึงยืนอยู่ในกองบัญชาการทหารทั้งห้าได้อย่างมั่นคง…
…ฉะนั้นยามจวนชิงผิงโหวเจอจวนชิ่งอวิ๋นโหวมักจะมีท่าทางกระอักกระอ่วนอยู่บ้างเล็กน้อย”
กล่าวถึงตรงนี้ ฉังเคอหัวเราะคิกออกมาหลายเสียง ถึงได้กล่าวต่อว่า “ตอนท่านปู่ของข้ายังมีชีวิตอยู่ชอบนินทาตระกูลปั๋ว พูดอะไรทำนองว่า ‘ในสนามรบแม่ทัพไม่ต้องรอรับคำสั่งจักรพรรดิ’ ชิ่งอวิ๋นโหวผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์เพทุบาย ใครจะรู้ว่าเขารบไปจนถึงเมืองถู่ปัวหรือว่าฆ่าล้างราชาของถู่ปัวกันแน่ ไม่อย่างนั้นตระกูลปั๋วจะมีเงินมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร…
…แต่ข้าคิดว่า ท่านปู่ของข้าต้องริษยาที่ชิ่งอวิ๋นโหวผู้เฒ่าเก่งกาจ ได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์แล้วยังได้เงินทองอีก…
…ท่านอาทั้งสองคนของคุณหนูหกปั๋วล้วนมีตำแหน่งผู้บังคับบัญชายศขั้นสี่เป็นมรดกตกทอด หนึ่งในนั้นยังสอบผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางฝ่ายทหารอีกด้วย!”
ไม่แปลกที่ฮ่องเต้ไม่กล้าจู่โจมรุนแรง
หวังซีตามใจเซียงเย่ ช่วยลูบหน้าท้องให้มัน จนกระทั่งเซียงเย่ร้อง เมี้ยวเมี้ยว หลับตาพริ้มกำลังจะหลับ นางถึงได้ยื่นแมวส่งให้สาวใช้ที่มีหน้าที่ดูแลมัน กล่าวกับฉังเคอว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนี้ งานแต่งของคุณหนูรองครั้งนี้ไม่เลวเลยทีเดียว! คนผู้นั้นเป็นบุตรชายคนรอง นางไม่ต้องดูแลบ้าน เข้ากับนิสัยของนางพอดี”
นิสัยของฉังหนิงนั้น ไม่เหมาะจะเป็นสะใภ้ใหญ่จริงๆ
ฉังเคอกล่าว “เพียงแต่ไม่รู้ว่าบัดนี้ตระกูลหวงยังไปมาหาสู่กับจวนชิ่งอวิ๋นโหวอยู่หรือไม่ แต่พี่สาวใหญ่ของข้าเป็นคนพึ่งพาได้ แม่สามีของนางเป็นแม่สื่อให้พี่สาวรอง นางน่าจะทราบเรื่อง ในเมื่อนางรู้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่น่าปล่อยให้ฉังหนิงต้องเสียเปรียบ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าฉังหนิงโวยวายอะไร…
…หากข้าเป็นท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ก็ต้องกักตัวนางไว้ในเรือนไม่ให้นางออกมาเหมือนกัน…
…หากนางไปพูดอะไรไม่เหมาะสมต่อหน้าองค์หญิงฟู่หยาง จะยิ่งเสียหน้า”
หวังซีเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
ทั้งสองคนพูดคุยกันเจื้อยแจ้ว ซือหมัวมัวคนข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าถือกล่องอาหารหนึ่ง บรรจุขนมหวานไว้เจ็ดถึงแปดอย่างเข้ามา บอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าให้นางไปรับมื้อเย็นด้วย เห็นฉังเคออยู่ที่นี่ จึงถือโอกาสแสดงน้ำใจ เชิญฉังเคอด้วย เพียงแต่ว่าถ้อยคำนั่นดูไม่ค่อยจริงใจเท่าไรนัก
………………………………………………………………………………..
ตอนต่อไป