เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 95 ถกเถียง
หวังซีกลับรู้สึกว่านี่ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
เฉินลั่วมิใช่คนไร้การไร้งานทำ หากเขาเป็นคนที่อยากไปว่าราชการก็ไป ไม่อยากไปว่าราชการก็ไม่ไปเช่นนั้นละก็ กลับทำให้นางดูแคลนมากกว่า จากที่นางได้รับการสั่งสอนมานั้น เจ้าจะไม่ทำงานก็ได้ แต่ในเมื่อทำแล้ว ก็ต้องทุ่มเทกำลังทำให้ดีที่สุด
การที่เฉินลั่วเป็นเช่นนี้ มองจากมุมของหวังซีแล้ว ถึงเป็นท่าทีที่เหมาะสมและเอาการเอางาน
“ข้าไม่คิดจะไปร่วมดูความครึกครื้นในวันพรุ่งนี้อยู่แล้ว” นางกล่าวกับหงโฉว “ต่อให้ซือจูอยากจับตาดูข้าก็ทำไม่ได้กระมัง”
หงโฉวคิดไม่ออกว่าหวังซีจะอ้างเหตุผลอะไรไม่ไปสวนหิมะงาม
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกนางอยากได้น้ำแข็งจากข้ามิใช่หรือ พรุ่งนี้ข้าต้องไปหาน้ำแข็งให้พวกนาง!”
หงโฉวได้ยินแล้วดวงตาเป็นประกาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนางก็จะได้ออกไปเที่ยวข้างนอกได้ทั้งวันแล้วใช่หรือไม่
ได้ยินว่าโรงน้ำชาอีหยวนของจิงเฉิงมีปรมาจารย์จากซูหัง[1]มาขับร้องบทกวีทุกวัน นางยังไม่เคยฟังบทกวีที่ขับร้องโดยปรมาจารย์จากซูหังมาก่อน และก็ไม่เคยไปโรงน้ำชาของจิงเฉิงมาก่อนด้วยเช่นกัน นางอยากติดตามคุณหนูใหญ่ออกไปเที่ยวเล่นเหลือเกิน!
นางชักชวนหวังซี “คุณหนูใหญ่ ท่านเคยฟังบทกวีที่ขับร้องโดยปรมาจารย์จากซูหังหรือยังเจ้าคะ ได้ยินว่าคนที่โรงน้ำชาอีหยวนของจิงเฉิงเชิญมาล้วนเป็นปรมาจารย์เก่าแก่ของซูหังทั้งสิ้น เสี่ยวหงอวี้ที่สู่จงของพวกเราเป็นคนเจียงซี ท่านอาจารย์หลิวหงอวี้ของนางก็เป็นคนซูหังมิใช่หรือ ไม่รู้ว่าบทกวีที่พวกนางขับร้องกับบรรดาปรมาจารย์ที่มาจากซูหังเหล่านั้นจะแตกต่างกันหรือไม่”
ชิงโฉวที่อยู่ด้านข้างได้ยินแล้วร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้ ไม่รอให้หวังซีตอบก็ยิ้มพร้อมกับจิ้มที่หน้าผากของหงโฉวแรงๆ กล่าวว่า “เจ้านี่น้า! ช่วยทำตัวให้มันดีหน่อย คุณหนูใหญ่บอกให้ไปไหนก็ไปที่นั่น มีที่ให้เจ้าได้ตัดสินใจตั้งแต่เมื่อไรกัน หากเจ้ายังกล้าพูดเหลวไหลอีก ข้าจะไปบอกหวังหมัวมัว ให้หวังหมัวมัวลงโทษให้เจ้าคัด ‘อมิตาพุทธสูตร’ หนึ่งเล่ม ข้าจะคอยดูว่าเจ้ายังจะมีเรี่ยวแรงไปคิดอะไรเหลวไหลอีกหรือไม่”
หงโฉวหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ชิงโฉวครั้งหนึ่ง
หวังซีหัวเราะฮ่าเสียงดัง กล่าวว่า “เกรงว่าคงไม่ได้ไปโรงน้ำชาอีหยวน แต่ว่าน่าจะไปหมู่บ้านเสี่ยวเหวินได้ ว่ากันว่าที่นั่นมีปลาสวยงามขายเป็นจำนวนมาก ข้าคิดว่าพวกเราเอามาเลี้ยงสักสองสามตัวได้ ให้เซียงเย่ได้มองแต่กินไม่ได้” กล่าวจบ นึกถึงท่าทางตะกละของเซียงเย่แล้วก็หัวเราะออกมาอีกคำรบหนึ่ง
สาวใช้เด็กที่มีหน้าที่ดูแลเซียงเย่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ นอนไม่หลับไปตลอดทั้งคืน กลัวหวังซีจะซื้อปลากลับมาเลี้ยงจริงๆ เช่นนั้นเซียงเย่จะเศร้าเสียใจมากเพียงใดนะ
และมิเท่ากับว่านางต้องอุ้มเซียงเย่ไว้ทุกวันมิให้คลาดสายตาหรอกหรือ
ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ทางด้านสวนหิมะงามยังทำความสะอาดเป็นครั้งสุดท้ายอยู่นั้น จู่ๆ หมัวมัวที่เป็นแม่บ้านประจำเรือนคุณหนูหกปั๋วก็มาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าอย่างกะทันหัน บอกว่าคุณหนูหกปั๋วต้องเข้าวังบ่ายวันนี้ แต่เพราะสาวใช้ไม่ระวัง ผ้าคลุมไหล่ที่เตรียมไว้สำหรับถวายให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงถูกแมวข่วนจนเสียหาย ผ้าคลุมไหล่ผืนนั้นซื้อมาจากร้านของตระกูลหวัง จึงอยากขอให้หวังซีช่วยเหลือ ไปพบหลงจู๊ใหญ่ของตระกูลหวังเป็นเพื่อนคุณหนูหกปั๋วสักครั้งหนึ่ง
ถึงแม้ว่าคนจำนวนมากจะหวาดระแวงจวนชิ่งอวิ๋นโหวเนื่องด้วยเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าทำให้ตระกูลพวกเขาขุ่นเคืองใจ
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันถึงฮองเฮาเหนียงเหนียงด้วย
องค์ชายรองจะได้เป็นรัชทายาทหรือไม่ ฮองเฮาเหนียงเหนียงจะได้เป็นฮองไทเฮาหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องของอนาคต แต่ถ้าผู้ใดกล้าทำให้พวกเขาขุ่นข้องหมองใจ พวกเขาย่อมทำให้เจ้าลำบากในตอนนี้ได้
แค่ได้ฟังฮูหยินผู้เฒ่าก็ให้ซือหมัวมัวพาหมัวมัวของตระกูลปั๋วตรงไปที่สวนร่มหลิวโดยที่ยังไม่ทันได้บอกกล่าวหวังซีสักคำ และพาหวังซีออกจากบ้านไปเลย
และไม่เอ่ยถึงเรื่องยืมน้ำแข็งเลยแม้แต่น้อย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอารามรีบร้อนจึงลืมไป หรือเป็นเพราะรู้สึกว่าเรื่องของคุณหนูหกปั๋วสำคัญกว่าเรื่องของซือจูกันแน่?
หวังซียังมิได้รับประทานมื้อเช้า ในใจอดรู้สึกขุ่นเคืองไม่ได้ กล่าวว่า “ได้ยินว่าตรงหัวมุมทางทิศตะวันออกของย่านต้าจ้าหลานมีร้านอาหารเช้าแห่งหนึ่งทำเต้าฮวยและปาท่องโก๋ได้อร่อยมาก”
จวนชิ่งอวิ๋นโหวอยู่ซอยไหวหลิ่วเขตเสี่ยวสือยง อยู่ทางทิศใต้ของจวนหย่งเฉิงโหว ใช้เวลานั่งรถม้าจากจวนหย่งเฉิงโหวไปไม่ถึงหนึ่งก้านธูป แต่ย่านต้าจ้าหลานนั้นอยู่ทางทิศเหนือของเขตต้าสือยง ตรงถนนใหญ่ทางประตูหน้า ต้องใช้เวลานั่งรถม้าจากจวนหย่งเฉิงโหวถึงสองเค่อ
หวังซีอยากไปกินเต้าฮวยที่นั่น ต้องใช้เวลาไปและกลับครึ่งชั่วยาม
ทว่าหมัวมัวผู้นั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง เช่นนั้นพวกเราไปรับมื้อเช้าที่ร้านนั่นก่อนแล้วค่อยไปพบคุณหนูหกของพวกข้าก็แล้วกัน!”
ยอมลงให้นางถึงเพียงนี้เชียว!
หวังซีลูบจี้หยกเหอเถียนแกะสลักลายสมดังปรารถนาของสร้อยห้อยเอวเบาๆ ครุ่นคิดอยู่ในใจ คุณหนูหกปั๋วปรากฏตัวอย่างกะทันหันเช่นนี้ หากมิใช่เพราะแจ้งให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องแล้ว นางยังคิดว่าคนที่ฮูหยินผู้เฒ่ายอมรับผู้นี้เสแสร้งแกล้งทำเสียอีก
อย่างไรก็ตาม ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือจริงๆ
หวังซีได้รับประทานเต้าฮวยที่อยากรับประทาน ได้กินปาท่องโก๋ที่อยากกิน ทั้งยังได้ลิ้มรสนมถั่วเขียวหมักกินคู่กับแป้งวงแหวนทอดอย่างสบายใจด้วย กินจนอิ่มหนำสำราญใจแล้วถึงได้เดินทางไปจวนชิ่งอวิ๋นโหว
จวนชิ่งอวิ่นโหวกินพื้นที่ถนนตลอดทั้งเส้นของซอยไหวหลิ่ว กำแพงสีขาวชายคาสีเทา ประตูสี่เหลี่ยมธรรมดา หากมิใช่เพราะแขวนป้าย ‘จวนชิ่งอวิ๋นโหวพระราชทาน’ เอาไว้บนประตูล่ะก็ หวังซีคงไม่เชื่อว่านี่คือประตูหลักของจวนชิ่งอวิ๋นโหวอันลือเลื่อง
อย่างไรก็ตาม หวังซีเข้าทางประตูข้างของประตูชั้นใน เนื่องจากสถานะของนางยังไม่เพียงพอให้จวนชิ่งอวิ๋นโหวต้องเปิดประตูหลัก
ประตูที่นางเข้าไปคือประตูข้างที่อยู่ข้างๆ ซอยกันไฟของประตูชั้นใน
นี่คือประตูสำหรับรับรองแขกสตรีที่มาเยี่ยมเยียน
หวังซีปฏิบัติตามหลักและมารยาท ไม่อาจมองสำรวจทิวทัศน์เรือนชั้นในของจวนชิ่งอวิ๋นโหว จนกระทั่งรถม้าจอด ไป๋ซู่ประคองนางลงจากรถม้าแล้วถึงได้มีเวลามองสำรวจทัศนียภาพโดยรอบ
ผู้ใดจะรู้ว่าพอนางเงยหน้าขึ้นกลับเห็นคุณหนูหกปั๋วยืนรอนางอยู่ตรงหน้าประตูโดยมีสาวใช้เจ็ดถึงแปดคนห้อมล้อมอยู่
นางตกใจอย่างยิ่ง สัมผัสได้ถึงเจตนาดีของคุณหนูหกปั๋ว อดยิ้มจริงใจตามขึ้นมาด้วยไม่ได้ ก้าวออกไปคารวะทักทายคุณหนูหกปั๋ว
คุณหนูหกปั๋วหันมาขยิบตาให้นางอย่างซุกซนเล็กน้อย ลดเสียงลงกล่าวว่า “บุรุษและสตรีของตระกูลพวกข้าแบ่งแยกตามลำดับอาวุโส เจ้าดูจากลำดับของข้าก็รู้แล้วว่าพี่น้องชายหญิงของตระกูลพวกข้ามีจำนวนมาก มีเรื่องอะไร พวกเราไปคุยกันที่เรือนของข้าดีกว่า”
พี่น้องชายหญิงที่บ้านของหวังซีก็มีมากเช่นกัน ทว่าไม่จำเป็นต้องระแวดระวังกันและกันมากมายขนาดนี้
นางพยักหน้ายิ้มๆ นางกับคุณหนูหกปั๋วเดินทะลุกำแพงดอกไม้และผ่านสะพานโค้งไปก็ถึงเรือนของคุณหนูหกปั๋ว
เรือนดังกล่าวสร้างอยู่กลางต้นหลิวผืนหนึ่ง เป็นบ้านสามทางเข้าตัวเรือนห้าเภท ต้นไม้ดอกไม้อุดมสมบูรณ์ ค่อนข้างกว้างขวางสวยงาม เป็นลานบ้านของคุณหนูหกปั๋วเพียงผู้เดียว
หวังซีนึกถึงความคับแคบของจวนหย่งเฉิงโหวขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าเป็นจวนโหวเหมือนกัน แต่ก็ยังมีการแบ่งลำดับชั้นกันอีก
สาวใช้ของคุณหนูหกปั๋วนำชาหลงจิ่นที่เก็บเกี่ยวก่อนวันเช็งเม้งมาขึ้นโต๊ะให้นาง กลิ่นหอมฉพาะตัวนั่น ทำให้หวังซีรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
นางอดไม่ได้สูดกลิ่นหอมเข้าลึกๆ สองสามครั้ง
คุณหนูหกปั๋วเห็นแล้วอมยิ้ม กล่าวว่า “คุณหนูหวังนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วใช่หรือไม่”
หวังซีตะลึงงัน จากนั้นหัวสมองขบคิดอย่างรวดเร็ว
นางนึกถึงชาที่เฉินลั่วมอบให้นาง
หรือว่านี่เป็นชาที่มาจากแหล่งเดียวกัน? ส่งให้ตระกูลปั๋วพร้อมๆ กับส่งให้ตระกูลเฉินด้วย?
แต่หากเพียงแค่นั้น คุณหนูหกปั๋วคงไม่ถามนางเช่นนี้
นางคาดเดาอย่างใจกล้า เอ่ยอ้อมๆ ว่า “ชานี้คงมิใช่ของบรรณาการหรอกกระมัง คุณหนูหกปั๋วมี คล้ายกับว่าจวนเป่าชิ่งจ่างกงจู่ก็มีเหมือนกัน”
“ไม่แปลกที่พี่ชายเจ็ดบอกกว่าเจ้าเป็นคนฉลาด” คุณหนูหกปั๋วยิ้ม กล่าวต่อว่า “ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว ชานี้ข้าขอมาจากเฉินลั่ว เขาขอให้ข้าช่วยเหลือ วันนี้ให้เชิญเจ้ามาหลบอยู่ที่บ้านของพวกข้า ข้าไม่มีทางยอมเป็นข้ารับใช้ให้เขาใช้งาน จึงขอใบชานี้มาจากเขา ให้เขาได้เจ็บใจเสียบ้าง”
แต่เฉินลั่วไม่ชอบดื่มชานี่นา!
ในสายตาของคุณหนูหกปั๋วอาจเป็นชาล้ำค่า แต่ในสายตาของเฉินลั่วก็เป็นแค่ใบไม้ไม่กี่ใบเท่านั้น
เขาจะรู้สึกเจ็บใจได้อย่างไร
เพียงแต่ว่าหวังซีไม่อาจกล่าวถ้อยคำนี้ออกไปตรงๆ ได้
จากน้ำเสียงของคุณหนูหกปั๋ว เฉินลั่วกับนางสนิทสนมกันเป็นอย่างดี แต่นางกลับไม่รู้ว่าเฉินลั่วไม่ชอบดื่มชา เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามิได้ดีเหมือนอย่างที่คุณหนูหกปั๋วแสดงออกมา
ระหว่างที่ยังไม่เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง นางย่อมไม่พูดอะไรกับคุณหนูหกปั๋ว
“คิดไม่ถึงว่าคุณหนูหกปั๋วกับใต้เท้าเฉินจะสนิทสนมกันถึงเพียงนี้” นางเผยความแปลกใจออกมาเล็กน้อย
คุณหนูหกปั๋วหันมาขยิบตาให้นางอีกครั้ง ครั้งนี้สีหน้าไม่มีแววซุกซนเล็กน้อยนั่นอีกแล้ว แต่เจือแววเย้ยหยันเอาไว้หลายส่วน กล่าวว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับพี่ชายรองเฉินดีกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้เสียอีก หาไม่แล้ว เขาก็คงไม่มาขอร้องให้ข้าออกหน้าเชิญเจ้าออกมาจากจวนหย่งเฉิงโหวอย่างรีบร้อนเช่นนี้”
หมายความว่าอย่างไร
หวังซีไม่เข้าใจ มองคุณหนูหกปั๋วอย่างฉงนสงสัย
คุณหนูหกปั๋วหัวเราะฮ่า พลางกล่าว “ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้ารู้ไว้ว่า บ่ายวันนี้ข้าทั้งไม่มีแผนจะเข้าวัง ผ้าคลุมไหล่ที่จัดเตรียมสำหรับถวายฮองเฮาเหนียงเหนียงก็มิได้ถูกแมวข่วนเสียหาย ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่มีทางซื้อผ้าคลุมไหล่จากข้างนอกไปถวายฮองเฮาเหนียงเหนียงก็พอแล้ว เจ้าอยู่ดื่มชาชมบุปผากับข้าที่นี่ให้สบายใจเถิด ประเดี๋ยวเฉินลั่วเสร็จจากว่าราชการ ข้าค่อยส่งมอบตัวคนให้เขา ปิ่นดอกไม้ใบทำจากหยกเกสรทำจากทองคำชิ้นนั้นก็จะตกมาถึงมือข้าแล้ว ข้าเปรมปรีดิ์สมปรารถนา ผู้อื่นก็พึงพอใจ”
หวังซีตระหนกตกใจ
นี่มันการจัดการอะไรของเฉินลั่วกัน?
คุณหนูหกปั๋วเห็นแล้วเกรงว่าจะทำให้นางตกใจ รีบกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว พี่ชายรองเฉินมีความขุ่นแค้นเก่ากับซือจู ต้องการดึงท่อนฟืนออกจากเตาไฟ อยากหาเรื่องซือจูสักเล็กน้อย จึงยืมชื่อของเจ้าไปหาเรื่อง”
กล่าวถึงตรงนี้ นางอดไม่ได้เผยสีหน้าขออภัยออกมาให้เห็นหลายส่วน คิดว่าหวังซีนั้นก็นับได้ว่าเป็นดั่งภูตผีตัวเล็กตัวน้อยที่ต้องทนทุกข์อยู่ด้านข้างยามเทพเซียนทะเลาะเบาะแว้งกัน
ตระกูลซืออยากได้ตำแหน่งพระชายาเอกของเหล่าองค์ชาย วางแผนให้ซือจูแต่งเข้าตระกูลราชวงศ์ ซือจูนั้นถูกใจผู้ใดไม่ถูกใจ ดันถูกใจองค์ชายรอง
ภรรยาดีมีเกียรติไปกว่าครึ่ง
ตระกูลซือจะดีเพียงไร แต่นิสัยของซือจูเป็นเช่นนั้น ต่อให้ฮ่องเต้เห็นด้วย ฮองเฮาเหนียงเหนียงก็ไม่มีทางเห็นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายรองไม่มีทางยอมเด็ดขาด
คุณหนูหกปั๋วสงสัยว่าเฉินลั่วอาจได้รับการไหว้วานจากองค์ชายรองถึงได้กลั่นแกล้งซือจู แน่นอนว่านางย่อมยื่นมือเข้าไปช่วยอยู่แล้ว
สงสารก็แต่คุณหนูหวัง คนนั่งอยู่ในบ้านดีๆ เคราะห์ร้ายกลับตกลงมาจากฟากฟ้า
หากซือจูทราบเรื่อง ไม่รู้ว่าจะกลั่นแกล้งคุณหนูหวังอย่างไรบ้าง
นึกถึงตรงนี้ นางรีบกล่าว “งานเลี้ยงย้ายบ้านของคุณหนูหวัง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องส่งเทียบเชิญมาให้ข้าด้วยสักใบหนึ่ง ที่ข้าบอกไปก่อนหน้ามิใช่แค่คำกล่าวตามมารยาท ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าคุณหนูหวังเป็นคนคบหาได้ คิดว่าเวลาที่พวกเราพี่สาวน้องสาวจะได้เล่นกันอย่างมีความสุขก็เป็นเวลาเพียงหนึ่งหรือสองปีนี้เท่านั้นแล้ว ตอนที่ยังไปมาหาสู่กันได้ก็ควรจะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ถึงจะถูก”
หวังซีฟังถ้อยคำนี้แล้วกลับรู้สึกระแวดระวังอยู่ในใจ
ต่อให้เฉินลั่วอยากกลั่นแกล้งซือจู คุณหนูหกปั๋วก็ปฏิบัติต่อนางอย่างกระตือรือร้นเกินไปเล็กน้อย
ที่เฉินลั่วตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับนาง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็เพราะข้างกายเฉินลั่วไม่มีสตรีที่ช่วยเหลือเขาได้ รวมถึงการพบหมี่เหนียงจื่ออย่างรีบร้อนในครั้งนี้ก็เป็นเพราะเหตุนี้ด้วยเช่นกัน
ดูจากท่าทางของคุณหนูหกปั๋ว นางมีความสัมพันธ์กับเฉินลั่วฉันมิตรสหายอยู่หลายส่วนจริงๆ
คุณหนูหกปั๋วคงมิใช่พันธมิตรอีกคนหนึ่งของเฉินลั่วหรอกกระมัง