เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 1 แก้เคล็ดอุบัติชีวิตใหม่
ตอนที่ 1 แก้เคล็ดอุบัติชีวิตใหม่
เสียงสว่อน่า[1]บรรเลงท่วงทำนองโบราณอย่างรื่นเริง ดังกังวานไปทั่วทุกแห่งหน
ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย มั่วเชียนเสวี่ยสัมผัสได้ถึงร่างที่เบาหวิว ดูเหมือนเธอกำลังถูกอุ้มไว้บนหลังของใครบางคน ในยามนี้ร่างกายบาดเจ็บเหลือเกินทั้งบนศีรษะยังถูกคลุมด้วยผ้าจนแทบมองอะไรไม่เห็น
มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ นึกอยากเลิกผ้านั่นออกไปให้พ้นๆ เสียจริง
ความเจ็บปวดแล่นแปลบไปทั่วร่าง เวลานี้เธอหมดแรงและอ่อนแอเกินกว่าจะขยับตัวได้ตามใจ ทำได้เพียงนอนแน่นิ่งบนหลังของคนตรงหน้าแล้วปล่อยให้สถานการณ์ทุกอย่างดำเนินไป…
หรือนี่คือความฝัน
ทำไมถึงเหมือนจริงขนาดนี้!
จนเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะหยุดการเคลื่อนไหวไปแล้ว เช่นเดียวกับเสียงสว่อน่าที่สงัดลง ในเวลานี้ความเงียบงันเข้าครอบครองทุกพื้นที่
จู่ๆ หูของมั่วเชียนเสวี่ยพลันได้ยินเสียงจอแจของผู้คนที่กำลังสนทนาอยู่รอบตัว
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ยามนี้ท่านอาจารย์หนิงดูเหมือนจะหมดสติไปแล้ว ทั้งสตรีที่ถูกพามาก็มีสภาพอิดโรย นางคล้ายว่าจะไม่หายใจแล้วด้วย เรื่องพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเราจะทำอย่างไรกันดี”
“สถานการณ์เช่นนี้เห็นทีจำต้องเลี่ยงพิธีออกไปก่อน! พาทั้งคู่ไปยังห้องที่ตระเตรียมไว้สำหรับพิธีชงสี่[2]เร็วเข้า”
“อาการป่วยของท่านอาจารย์หนิงดูท่าไม่ค่อยดีนัก ถึงอย่างไรก็ต้องรับมือให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดก็สุดแล้วแต่ลิขิตสวรรค์เถิด”
ช่างเป็นฝันที่แปลกเสียจริง! มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วพลางผล็อยหลับไป
เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น ร่างกายของเธอยังคงหนักอึ้ง มั่วเชียนเสวี่ยส่ายหัวเล็กน้อยพลันลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง
สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่บ้านของเธอ ทั้งคานสีดำทะมึน ผ้าม่านสีแดงฉาด เครื่องเรือนไม้สีเทาแสนเรียบง่ายและผู้หญิงสองคนในชุดโบราณที่กำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาด
มั่วเชียนเสวี่ยวิตกพลางยกมือขึ้นอย่างอ่อนแรง นี่…นี่ไม่ใช่มือของเธอ!
นิ้วเรียวยาวสะสวย ผิวขาวนวลราวกับหยก สัมผัสเนียนดูนุ่มนวลดุจเด็กสาวบริสุทธิ์
หรือว่า…
เธอข้ามเวลามา?
มั่วเชียนเสวี่ยนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ยังคงสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อ๊ะ! เสียงร้องตกใจของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
“แม่นางตื่นแล้วหรือ” หญิงสาวในชุดสีเขียวสะดุ้งพลางร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ทั้งสองหันมองเธอที่ลืมตาตะลึงงัน จากนั้นจึงวางงานในมือลงแล้วเดินตรงดิ่งมาทางเธอ
ในเวลานี้ มั่วเชียนเสวี่ยเป็นกังวลจนไม่สนใจความเจ็บปวดอีกต่อไป เธอยกมือขวาขึ้นพยุงตัวลุกนั่ง น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“ที่นี่ที่ไหน…”
ทันทีที่รู้สึกตัว ดูเหมือนมือขวาของเธอกลับไม่ได้ค้ำอยู่บนเตียงตามที่ควรจะเป็น สัมผัสนุ่มนิ่มนี่มันอะไรกัน ในใจคิดก่อนจะหันไปมองแล้วพบว่ามีชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ข้างๆ เธอ!
“เขาเป็นใครกัน”
“สามีของแม่นางอย่างไรล่ะ!”
ดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยพลันเบิกกว้าง พลางชี้ไปที่ชายผู้นั้นแล้วค่อยๆ สลับกลับมาชี้ที่ปลายจมูกของตนเองด้วยท่าทางสั่นเทา ริมฝีปากค้างชะงักเอ่ยไม่ได้ศัพท์
“สามี? สามีของฉัน!?”
นี่มัน…
พระเจ้าเล่นตลกอะไรกัน ลิขิตให้ข้ามภพมาไม่พอ ยังประทานสามีให้กับเธอด้วยงั้นเหรอ
“อาซ้อฟาง[3] ไหนๆ นางก็ฟื้นแล้ว คงเป็นการดีหากได้เจ้าคอยดูแล หมูที่บ้านยังไม่มีผู้ใดให้อาหาร เห็นทีข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน”
หญิงสาวมองไปที่มั่วเชียนเสวี่ยราวกับเห็นผี เธอทำปากยื่นพร้อมกับกล่าวลาอาซ้อฟางก่อนจากไป
อาซ้อฟางเอ่ยตอบรับคำหญิงสาวผู้นั้น พลางปรี่เข้ามาช่วยประคองร่างของมั่วเชียนเสวี่ยที่สั่นเทาพร้อมกับลูบเบาๆ เพื่อปลอบขวัญ
“แซ่ของสามีเจ้าคือหนิง อาจารย์แห่งหมู่บ้านหวังจยาของเรา เมื่อไม่กี่วันก่อนท่านอาจารย์หนิงเกิดล้มป่วยไม่ได้สติ บางคนบอกว่าอาการป่วยนั้นมีมูลเหตุน่าสงสัย เป็นไปได้ว่าท่านอาจถูกบางสิ่งครอบงำอยู่ แม้การทำพิธีชงสี่นี้อาจไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ท่านกลับมาหายดี อย่างไรก็ตาม โชคดีที่เจ้าถูกพาตัวมาที่นี่แต่ด้วยพิษไข้รุมเร้าจึงทำให้พลอยไม่ได้สติไปด้วย ดังนั้น…”
ดังนั้นเธอจึงกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประกอบพิธีนั่น?
ที่บอกว่าฝันเมื่อวาน…คือเรื่องจริงงั้นเหรอ!
แล้วที่บอกว่าถูกพามา? แท้จริงแล้วเธอเป็นใครกันแน่
ความผิดหวังเกาะกินในใจมั่วเชียนเสวี่ย “พวกเขาสามารถตัดสินเรื่องชีวิตของข้าตามต้องการได้อย่างไร หากพ่อแม่ของข้าไม่เห็นด้วยแล้ว…”
ครั้นได้ยินคำพูดตัดพ้อ อาซ้อฟางจึงเอ่ยขึ้นด้วยความสงสาร “ผู้คนในหมู่บ้านทั้งแปดที่ห่างไกลออกไปสิบลี้[4]แห่งนี้ แม้ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามแต่อย่างน้อยก็พอเคยเห็นหน้าค่าตากันอยู่บ้าง เจ้าคงยังไม่คุ้นชินนักทั้งไม่ใช่คนใกล้ตัวแล้วด้วย อย่าถือโทษในคำพูดของข้าที่อาจดูเสียมารยาทเลย หากเจ้ามีพ่อและแม่เป็นที่พึ่งพิง เหตุใดจึงเร่ร่อนจนเกิดจับไข้ขึ้นสูงอยู่ที่ริมลำธารโดยไม่มีผู้ใดตามหาเล่า…”
ไม่มีใครตามหาอย่างนั้นเหรอ ถึงเป็นเช่นนั้น ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์กำหนดชะตากรรมของเธอนี่
ยามนี้มั่วเชียนเสวี่ยรู้ดีว่าคงไม่ใช่เวลาที่จะมามัวหาเหตุผลอะไร หากอยู่ในสถานที่แปลกตาไร้ซึ่งญาติมิตรคอยอุปถัมภ์ สิ่งที่ควรกระทำที่สุดคือทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้าให้ดีเสียก่อนจะตัดสินใจพูดสิ่งใดออกมา
ทั้งนี้ อาซ้อฟางเป็นคนดี ในทุกวันคอยดูแลเอาใจใส่เธออยู่เสมอ ทั้งจัดหาอาหารและเครื่องดื่ม
หญิงสาวอีกคนที่ได้พบกันเมื่อครั้งแรกคือ อาซ้อจ้าวเอ้อร์ เจ้าหล่อนแวะเวียนมาที่นี่อีกครั้งพร้อมกับของฝากอย่างขนมปังข้าวโพด ทำเอามั่วเชียนเสวี่ยน้ำตาแทบเล็ด ไม่ใช่เพราะซาบซึ้งในรสชาติแต่เพราะมันแข็งมากเสียจนอาจทำให้ฟันคลอนได้หากกินเข้าไป
ภายในลานกว้างบริเวณบ้านมีต้นหลิวเก่าแก่อยู่ต้นหนึ่ง แต่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ ทำให้ใบของมันพลันเหี่ยวแห้งและร่วงหล่นเต็มพื้นไปหมด ยามลมพัดผ่านราวกับพวกมันกำลังหมุนตัวเต้นรำอยู่ ช่างเป็นความรู้สึกที่หดหู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มั่วเชียนเสวี่ยยืนอยู่ที่ลานบ้าน มือเอื้อมออกไปหยิบใบไม้ที่โรยราพลางทอดถอนหายใจ
เจ้าอยู่ได้เพียงไม่กี่วัน เสมือนในชาติภพของข้า…
ในเวลานั้นอาซ้อฟางเข้ามาพร้อมกับอาหาร เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยนั่งใจลอยอยู่ใต้ต้นไม้ก็พลันนึกถึงครั้นที่ตนถูกพามาที่นี่เพียงตัวคนเดียว ดวงใจคงรู้สึกอ้างว้างไม่น้อย คิดได้ดังนั้นจึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงและชักชวนให้เธอกลับเข้าไปข้างในด้วยกัน “ไข้เพิ่งจะหายดี ออกมาสูดอากาศท่ามกลางลมแรงเช่นนี้ หากเป็นหวัดจะทำเยี่ยงไร”
หลังจากเข้ามาข้างใน อาซ้อฟางรีบหยิบยกอาหารที่เตรียมมาออกจากกล่องอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าข้างในมีชามน้ำแกงอยู่ด้วย มั่วเชียนเสวี่ยจึงถือโอกาสหยิบมันขึ้นมาพลางชันตัวขึ้นพิงหัวเตียง จากนั้นใช้มือข้างหนึ่งประคองริมฝีปากหนาของชายหนุ่มที่นอนอยู่ไว้ ส่วนอีกข้างก็คอยจับช้อนเพื่อป้อนอาหารพร้อมกับค่อยๆ เช็ดส่วนที่ไหลเลอะมุมปากอย่างนุ่มนวล
เนื่องจากเธอหายดีแล้ว คงไม่ต้องให้ใครมาเฝ้าดูแล
อย่างน้อยชายผู้นี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอ คงทำได้เพียงรอให้เขาฟื้นขึ้นมาเท่านั้นถึงจะรู้เรื่องราวความเป็นไปทั้งหมดได้
“มองไปมองมาเจ้าก็ดูน่ารักและอ่อนโยนเสียจริง ต้องเป็นคนพร้อมถึงด้วยปัญญาเป็นแน่ ทั้งกริยาท่าทางที่แสนเรียบร้อยหาใครในแถบหมู่บ้านนี้จะเปรียบได้”
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้ม “จริงหรือ! ซ้อก็เช่นเดียวกัน เพียงดูจากการตระเตรียมอาหารก็ทราบได้ทันทีว่าอาซ้อฟางเป็นคนใส่ใจรายละเอียดอ่อนแม้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เสมอ”
ใครๆ ย่อมมักใคร่ฟังถ้อยคำเยินยอ อาซ้อฟางก็เป็นหนึ่งในนั้น ใบหน้าสวยเผยรอยยิ้มบางพลางเอ่ยถามต่อ “เมื่อสองสามวันก่อนเจ้าอาจรู้สึกมึนงงเพราะพิษไข้ ยามนี้อาการก็ดีขึ้นมากแล้ว จำได้หรือยังว่าเจ้าเป็นใครและมาจากที่ใด”
มือของมั่วเชียนเสวี่ยพลันหยุดชะงัก คำถามเมื่อครู่ทำให้หญิงสาวนึกเค้นเรื่องเหตุการณ์เมื่อช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
“ข้ารู้เพียงแค่ชื่อของข้า…มั่วเชียนเสวี่ย ส่วนสถานที่อาศัยอยู่และครอบครัวเป็นใครนั้น…ข้าจำไม่ได้”
เธอเล่าไปพลางหวนนึกถึงพ่อแม่ที่ไม่ได้พบหน้า ถ้อยคำเฮือกสุดท้ายถูกกลั่นออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไม่อาจสกัดกลั้นไว้ได้ “พอคิดแล้วก็ปวดหัว หากชีวิตนี้ไม่ได้พบกันอีก…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ อาซ้อฟางเอ่ยขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับสายน้ำช่วยชโลมใจ “คงเป็นเพราะอาการพิษไข้เมื่อหลายวันก่อน แม้ยังจำไม่ได้ในยามนี้ แต่อย่าเพิ่งถอดใจไปเลย จงใช้ชีวิตต่อแล้วปล่อยให้มันเป็นเรื่องในวันข้างหน้าจะดีกว่า”
[1] สว่อน่า หรือปี่โหว(ปี่ไม้ไผ่) เครื่องดนตรีทางตอนเหนือของจีนที่มีลักษณะคล้ายแตร
[2] ชงสี่ พิธีเติมความสุขให้เพื่อขับไล่ความทุกข์และเรื่องร้าย เป็นวิธีแก้เคล็ดเพื่อเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี
[3] อาซ้อ คือพี่สะใภ้ หรือใช้เรียกขานภรรยาของชายที่มีอายุมากกว่าตน โดยไม่จำเป็นต้องมีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดก็ใช้เรียก
[4]ลี้ หรือหลี่ มาตราวัดความยาวของจีน โดย 1 ลี้เท่ากับ 500 เมตร